อาการปวดหัวมีหลายประเภท ดังนั้นการระบุตำแหน่งและลักษณะของอาการปวดจะช่วยบอกสาเหตุได้
ปวดศีรษะจากความตึงเครียด
อาการปวดศีรษะจากความตึงเครียดมีแนวโน้มจะแผ่กระจายไปทั่วศีรษะทั้งสองข้าง โดยมักเริ่มจากด้านหลังและคืบไปข้างหน้า ลักษณะนี้เป็นอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด อาการปวดตา ความเครียด ความหิว มักเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวจากความตึงเครียด และอาจเป็นเรื้อรังได้
ปวดศีรษะจากไซนัส
อาการปวดหัวเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกป่วยหรือคั่งในจมูก เนื่องจากเกิดการบวมของโพรงไซนัส ทำให้เกิดอาการปวดที่หลังแก้ม จมูก และตา อาการจะปวดมากที่สุดเมื่อตื่นนอนตอนเช้าและขณะที่ก้มตัวไปข้างหน้า
ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
เป็นการปวดแบบแปล๊บๆ เป็นชุดๆ คือ ปวดทุกวันในช่วงเวลาเดิม บางครั้งอาจเป็นหลายครั้งต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน อาการปวดหัวแบบนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวของหลอดเลือดในสมอง และอาจเกิดจากการออกแรงหรือออกกำลังกายอย่างหนัก แสงจ้า หรือแม้แต่ความสูง
ไมเกรน (Migraine) เป็นภาวะสุขภาพที่มีอาการปวดศีรษะเป็นจังหวะตุบๆ อย่างรุนแรงที่ข้างใดข้างหนึ่งของศีรษะ รวมถึงมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และมีความรู้สึกไวต่อแสงและเสียงอย่างมาก อาการปวดไมเกรนอาจกินเวลหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน และอาการปวดอาจรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้
สำหรับบางคน มีสัญญาณเตือนที่เรียกกันว่า ออร่า (Aura) ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนหรือมาพร้อมอาการปวดหัว ออร่าอาจรวมถึงการรบกวนการมองเห็น เช่น แสงระยิบระยับแผ่ขยายเป็นวงกว้าง หรือเห็นจุดบอดขณะมองสิ่งต่างๆ รวมถึงการรบกวนอื่นๆ เช่น อาการชาที่ใบหน้าด้านใดด้านหนึ่ง หรือที่แขนขา และการพูดติดขัด พูดลำบาก
ไมเกรนมักเกิดขึ้นในวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยเริ่มต้นผู้ใหญ่ โดยอาการมี 4 ขั้น คือ ระยะอาการบอกเหตุ (Prodrome), ระยะอาการเตือน (Aura), ระยะปวดศีรษะ (Headache) และระยะหลังจากปวดศีรษะ (Postdrome) ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่เป็นไมเกรนจะผ่านอาการทั้ง 4 ระยะนี้
ระยะอาการบอกเหตุ (Prodrome)
หนึ่งหรือสองวันก่อนเป็นไมเกรนอาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เป็นสัญญาณเตือนได้แก่
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ภาวะซึมเศร้าไปจนถึงภาวะเคลิ้มสุข
- มีความอยากอาหาร
- คอแข็ง
- ปัสสาวะบ่อย
- ท้องผูก
- หาวบ่อย
- มีภาวะบวม
ระยะอาการเตือน (Aura)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นไมเกรนแบบไม่มีอาการเตือน บางคนออร่าอาจเกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างเป็นไมเกรน ออร่าเป็นอาการที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาการเตือนมักค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นต่อเนื่องหลายชั่วโมง โดยอาการเตือนมีหลายรูปแบบ คือ
- มองเห็นแสงกระพริบ จุดสว่าง หรือแสงวาบ
- ตาพร่ามัว มองเห็นเป็นเส้นคลื่น
- มีอาการอ่อนแรง เคลื่อนไหวลำบาก
- พูดลำบาก
- ชาที่ใบหน้าด้านใดด้านหนึ่ง ชาที่มือหรือเท้า
ระยะปวดศีรษะ (Headache)
ไมเกรนมักเกิดขึ้นตั้งแต่ 4 ถึง 72 ชั่วโมงหากไม่ได้รับการรักษา ไมเกรนเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนนั้นแตกต่างกันไปแล้วแต่ละบุคคล ไมเกรนอาจเกิดขึ้นไม่บ่อยหรือเกิดขึ้นได้หลายครั้งต่อเดือน ระหว่างไมเกรนอาจมีอาการดังนี้
- ปวดศีรษะข้างเดียว แต่มักปวดทั้งสองข้าง
- ปวดเป็นจังหวะตุบๆ
- มีความรู้สึกไวต่อแสง เสียง บางครั้งรวมถึงกลิ่นและสัมผัสด้วย
- คลื่นไส้ และ อาเจียน
ระยะหลังจากปวดศีรษะ (Postdrome)
หลังอาการไมเกรนกำเริบ อาจจะรู้สึกเหนื่อยล้า สับสน และหมดสติไปนานเป็นวัน อย่างไรก็ตามหากเคลื่อนไหวศีรษะอย่างกะทันหันก็อาจทำให้ปวดศีรษะได้อีกครั้งในเวลาสั้นๆ
หากมีอาการไมเกรนเป็นประจำและรุนแรงหรือควบคุมอาการไม่ได้ ให้จดบันทึกอาการไมเกรนที่เกิดขึ้นและวิธีที่ใช้รักษา จากนั้นไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาต่อไป
หากพบว่ามีอาการปวดศีรษะผิดแปลกไปจากปกติที่เคยเป็นควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น
- ปวดศีรษะเฉียบพลันรุนแรงเหมือนฟ้าผ่า
- ปวดศีรษะร่วมกับมีไข้ คอเคล็ด สับสัน ชัก เห็นภาพซ้อน ชาหรืออ่อนแรงที่อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
- ปวดศีรษะหลังได้รับบาดเจ็บ
- ปวดศีรษะเรื้อรังแย่ลงหลังจากไอ ออกกำลัง ตึงเครียด หรือเคลื่อนไหวกะทันหัน
อาการปวดศีรษะมักพบสาเหตุได้ง่าย แต่ไมเกรนมีตัวกระตุ้นทั่วไป ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
เพศและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ผู้หญิงมีแนวโน้มจะเป็นไมเกรนมากกว่าผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดไมเกรนในผู้หญิง
โรคภูมิแพ้ หรือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบในร่างกาย เนื่องจากไมเกรนมีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบหลอดเลือด ดังนั้นโรคภูมิแพ้จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้น
ประวัติครอบครัวและกรรมพันธุ์ ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นไมเกรนมีแนวโน้มที่จะเป็นไมเกรนได้
สิ่งแวดล้อม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน เช่นการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความเครียด อาหาร กลิ่น และการอดนอน
แม้จะไม่มีวิธีรักษาเฉพาะสำหรับไมเกรนและอาการปวดหัว แต่การใช้ยาและปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตสามารถช่วยรักษาและป้องกันอาการต่างๆ ในอนาคตได้