Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

เช็คสาเหตุและอาการ กระดูกสันหลังเสื่อม โรคที่คนยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม

Posted By Plook Blog | 20 พ.ค. 66
156 Views

  Favorite

“กระดูกสันหลังเสื่อม” เป็นโรคภัยไข้เจ็บอันเนื่องมาจากความเสื่อมของร่างกาย นับเป็นโรคที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและความทรมานในผู้ป่วย รวมถึงเป็นภาระให้กับผู้ดูแลเป็นอย่างมาก

 

Plook Blog

 

***************************************************************

หัวข้อในบทความนี้

•โรคกระดูกสันหลังเสื่อมคืออะไร?
•โครงสร้างของกระดูกสันหลัง
•สาเหตุของโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
•อาการของโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
•การรักษาโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
•การป้องกันโรคกระดูกสันหลังเสื่อม

 

***************************************************************

 

โรคกระดูกสันหลังเสื่อมคืออะไร?

โรคกระดูกสันหลังเสื่อม คือความเสื่อมของโครงสร้างร่างกายที่ช่วยให้มนุษย์สามารถยืนหรือนั่งตัวตรงได้ ประกอบไปด้วย ปล้องกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เอ็นยึดข้อต่อ และกล้ามเนื้อข้างเคียง มักพบในตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวเป็นประจำ เช่น กระดูกสันหลังส่วนคอ และกระดูกส่วนเอว โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยอายุ 40 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราพบผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากลักษณะการทำงานที่นั่งหรือยืนในท่าเดิมนาน ๆ และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมถึงไม่มีเวลาออกกำลังกายเท่าที่ควร

 

 

โครงสร้างของกระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลัง (Spine) เป็นโครงสร้างตามธรรมชาติของร่างกายที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องระบบประสาทส่วนกลาง ในที่นี้คือไขสันหลัง และเส้นประสาท และในมนุษย์จะมีรูปร่างแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ เพราะสามารถยืนตั้งตัวตรงได้ และช่วยในการเคลื่อนไหว โดยกระดูกสันหลัง ประกอบไปด้วย

1. ปล้องกระดูกสันหลัง (Vertebra)

2. หมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral disc)

3. ข้อต่อระหว่างกระดูก (Facet joint)

4. เอ็นยึดข้อต่อ (Ligament)

นอกจากนี้ ยังมีกล้ามเนื้อข้างเคียงที่ช่วยพยุงและยึดโยงกระดูกสันหลังชิ้นต่าง ๆ เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวของร่างกายอีกด้วย

 

 

สาเหตุของโรคกระดูกสันหลังเสื่อม

1. อายุที่มากขึ้น

2. น้ำหนักตัวที่มากเกินไป

3. การอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ เช่น นั่งทำงาน หรือยืน

4. การทำงานใช้งานหลังที่ไม่เหมาะสม เช่น ทำงานในท่าก้มเป็นประจำ เช่น ช่างซ่อมรถยนต์ หรือการแบกของหนัก ๆ เกินเกณฑ์เป็นเวลานาน ๆ

5. วิถีชีวิตที่ใช้งานกระดูกคอมากขึ้น เช่น การก้มดูโทรศัพท์มือถือ การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

 

เมื่อเกิดการใช้งานซ้ำ ๆ เหล่านี้ หมอนรองกระดูกจะเริ่มมีร่องรอยความเสียหาย จากนั้นก็จะเริ่มมีการสูญเสียน้ำ และมีการยุบตัวลง เกิดการไม่มั่นคงของโครงสร้างเกิดขึ้น กล้ามเนื้อข้างเคียงพยายามพยุงโครงสร้างเหล่านี้ และร่างกายตอบสนองด้วยการสร้างกลุ่มกระดูกงอก เพื่อรองรับโครงสร้างที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ผู้ป่วยจะเริ่มปวดเมื่อมีการคลอนของโครงสร้างเกิดขึ้น ถ้าหมอนรองกระดูกที่ยุบและกลุ่มกระดูกที่งอกนี้ไปกดเส้นประสาทข้างเคียงก็จะทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท

 

 

อาการของโรคกระดูกสันหลังเสื่อมแบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ก็คือ

1. อาการที่เกี่ยวกับระบบโครงสร้าง ได้แก่ อาการปวดคอ อาการปวดหลัง มักจะเป็น ๆ หาย ๆ อาจปวดเวลานั่งนาน ๆ หรือปวดเวลาขยับตัว หากผู้ป่วยที่มีอาการปวดคอ ก็อาจจะมีอาการปวดร้าวไปที่ท้ายทอย หรือบริเวณไหล่ได้ ผู้ป่วยบางรายที่มีการแข็งตัวของกระดูกสันหลัง ก็จะเกิดการก้มเงยได้ลำบาก ขยับตัวได้ลำบาก

2. อาการที่เกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งเกิดจากโครงสร้างของกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง ได้แก่ การปวดร้าวไปที่แขนหรือขา อาจมีอาการชา หรือการอ่อนแรงร่วมด้วย ซึ่งอาการจะเป็นข้างเดียว หรือเป็นทั้งสองข้างก็ได้ อาการทางระบบประสาทก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของรอยโรคที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยที่มีไขสันหลังถูกกดทับ นอกจากอ่อนแรงแล้ว ก็อาจมีอาการเดินลำบาก การใช้มือหยับจับของได้ไม่ถนัด หรือมีการกลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้

 

การวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังเสื่อม

หลังจากแพทย์ซักประวัติอาการปวด ลักษณะการใช้งาน และประวัติอื่น ๆ และตรวจร่างกาย ทั้งการเคลื่อนไหวกระดูกและข้อ และระบบประสาทแล้ว แพทย์จะส่งทำเอ็กซเรย์กระดูกสันหลังส่วนที่เกี่ยวข้อง หากได้ข้อมูลไม่ชัดเจน จำเป็นต้องทำ MRI เพื่อดูลักษณะของโครงสร้างที่เราสงสัย นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องตรวจการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยกระแสไฟฟ้า (EMG) ในผู้ป่วยบางราย สำหรับการเจาะเลือดเพื่อดูค่าผลเลือดที่เกี่ยวข้องนั้นจะทำในกรณีที่ต้องการวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน

 

 

การรักษาโรคกระดูกสันหลังเสื่อม

1. การรักษาแบบอนุรักษ์

-การให้ยาลดปวดหรือยาต้านอักเสบ

-การให้ยาลดปวดเส้นประสาท

-การทำกายภาพบำบัด เช่น การใช้ความร้อน การดึงหลังหรือคอ

-การฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อลดปวดตามข้อบ่งชี้

2. การรักษาโดยการผ่าตัด 

ซึ่งรูปแบบการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยโรคที่ผู้ป่วยเป็น เช่น การผ่าตัดเพื่อยกจุดกดทับ หรือการผ่าตัดเพื่อเสริมความมั่นคง โดยการใส่เหล็กดาม

 

 

การป้องกันโรคกระดูกสันหลังเสื่อม

1. การใช้งานหลังให้ถูกวิธี เช่น เวลาเรานั่ง เราควรจะต้องตัวตรง หลังชิดกับพนักพิง อาจจะมีหมอนเล็ก ๆ รองที่บริเวณหลังกับพนักพิง สำหรับเก้าอี้ที่ดี พนักพิงควรจะสูงถึงบริเวณไหล่ ส่วนเรื่องคอ บางครั้งเราก็จะเผลอในการที่จะก้มคอดูโทรศัพท์ หรืออ่านหนังสือ หรือดูจอโน๊ตบุ๊ค เราจะต้องคอยรู้ตัวตลอดเวลา ว่าคอเราควรจะตั้งตรง ตามองตรง และมองสิ่งที่เราจะมองลงไปประมาณ 15-20 องศา ก็จะช่วยทำให้อาการปวดคอลดลงได้

2. ไม่ควรใช้หลังในท่าเดิม ๆ นานเกินไป คววรหยุดพักยืดเส้นยืดสาย เช่น การนั่งเกิน 45 นาที ควรมีเวลาพักเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 10-15 นาที

3. ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรง และเสริมความยืดหยุ่น เช่น การฝึกเกร็งหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลัง ทั้งในเวลาที่มีการใช้งาน หรือจัดเวลาการออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลางลำตัว เช่น Planking นอกจากนี้ก็ยังต้องมีการออกกำลังเพื่อเสริมความยืดหยุ่นให้กับร่างกายด้วย

4. ลดการใช้งานหลังที่ไม่เหมาะสม งดการยกของหนัก หรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงบาดเจ็บที่บริเวณหลัง

5. การควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินเกณฑ์

6. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

 

 

 

 ------------------------------------------------------------------

 

 

ที่มาข้อมูล : นพ.ศรัณย์ ก่อวุฒิกุลรังษี แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ และกระดูกสันหลัง ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ โรงพยาบาลนวเวช

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Blog
  • 5 Followers
  • Follow