Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

โรคมาลาเรียชนิดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน

Posted By Plookpedia | 07 เม.ย. 60
1,739 Views

  Favorite

โรคมาลาเรียชนิดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน

      เป็นโรคชนิดที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาช้าหรือรักษาไม่ถูกต้องซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นโรคมาลาเรียฟัลซิพารัม ผู้ป่วยอาจมีอาการตั้งแต่น้อย ๆ เช่น อาการอ่อนแรง จนถึงอาการรุนแรงหมดสติ องค์การอนามัยโลกกำหนดลักษณะอาการผู้ป่วยที่รุนแรงไว้ดังนี้

๑) สติสัมปชัญญะเปลี่ยนแปลง

      ผู้ป่วยที่เป็นมาลาเรียขึ้นสมองส่วนใหญ่ประวัติจะมีไข้นำมาก่อนหลังจากนั้นจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสติสัมปชัญญะ เช่น เพ้อหรือนอนนิ่งไม่พูด ปัสสาวะราด ผู้ป่วยที่เป็นมาลาเรียขึ้นสมองส่วนใหญ่จะฟื้นใน ๒-๓ วันภายหลังจากได้รับการรักษา แต่ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อรุนแรงอาจฟื้นช้าโดยปกติแล้วเมื่อผู้ป่วยฟื้นก็จะหายเป็นปกติโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลงเหลืออยู่เลย สติปัญญาของผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีเหมือนเดิมมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น (ซึ่งพบในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่) ที่มีอาการผิดปกติทางสมองหลงเหลือให้เห็น เช่น จิตเภท (psychosis) ตัวสั่น มือสั่น

 

โรคมาลาเรีย
ผู้ป่วยโรคมาลาเรียที่มีอาการรุนแรงจนหมดสติ

 

๒) ชักหลายครั้ง

      อาการชักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ มักเป็นการชักทั้งตัวมีไม่กี่คนที่มีการกระตุกเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ในขณะที่ชักผู้ป่วยอาจมีการอาเจียนร่วมด้วยซึ่งมีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นสาเหตุของการเกิดปอดบวมจากการสำลัก

๓) ซีดมาก

      ภาวะซีดพบได้บ่อยในเด็กและหญิงมีครรภ์ทั้ง ๆ ที่เป็นมาลาเรียชนิดที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภาวะนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้เด็กเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นมาลาเรียบ่อย ๆ ผู้ป่วยมาลาเรียที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง ไตวาย จะเกิดภาวะซีดได้บ่อยโดยเฉพาะถ้ามีเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือดสูงถ้าพบเชื้อที่อยู่ในระยะตัวแก่จะพบภาวะซีดได้มากขึ้น พยาธิกำเนิดของภาวะซีดในมาลาเรียมี ๒ สาเหตุใหญ่ ๆ  คือ
      ๑. การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้น โดยมีการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อมาลาเรีย
      ๒. การสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูกลดลง

๔) น้ำตาลในเลือดต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคมาลาเรียฟัลซิพารัม มีผู้ป่วย ๓ กลุ่ม ที่มักเกิดภาวะนี้ คือ  
      ๑. ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เช่น พบเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือดมาก หรือเลือดมีภาวะกระเดียดกรด
      ๒. หญิงมีครรภ์  
      ๓. เด็ก
      ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกรับเข้าโรงพยาบาลหรือขณะอยู่ในโรงพยาบาลและอาจเกิดซ้ำได้หลาย ๆ ครั้งทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยเหล่านั้นกำลังได้รับน้ำเกลือที่มีน้ำตาลผสมอยู่ การเกิดภาวะนี้อาจเกิดภายหลังจากผู้ป่วยฟื้นจากมาลาเรียขึ้นสมองหรือเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่ฟื้นคืนสติแล้วแต่มีอาการเหงื่อออก ใจสั่น มีพฤติกรรมแปลก ๆ และไม่รู้สติอีกครั้งควรนึกถึงภาวะนี้เสมอ อาการแสดงสำคัญที่มักพบและช่วยให้นึกถึงภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำของผู้ป่วยที่เป็นมาลาเรียขึ้นสมองคือผู้ป่วยมีอาการทรุดลง หายใจหอบลึก เกร็งหรือชัก ผู้ป่วยที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่ในกระแสเลือดมาก ๆ หรือกำลังได้รับยาควินินเข้าหลอดเลือดต้องเฝ้าสังเกตภาวะนี้เป็นระยะ ๆ
      หญิงมีครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสที่ ๓ (ระยะครรภ์เดือนที่ ๗-๙) ที่เป็นโรคมาลาเรียฟัลซิพารัม ทั้ง ๆ ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นอาจพบอัตราการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมากกว่าร้อยละ ๕๐ ของผู้ป่วย เด็กที่ป่วยเป็นโรคมาลาเรียฟัลซิพารัมก็เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้บ่อยเช่นกัน ยารักษามาลาเรียบางชนิด เช่น ควินินจะกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้โดยเฉพาะในผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงที่ได้รับควินินชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด

 

โรคมาลาเรีย
ลักษณะของเม็ดเลือดแดงที่ติดเชื้อมาลาเรีย

 

๕) ภาวะกระเดียดกรดหรือแอซิโดซิส (acidosis)

      ภาวะกระเดียดกรดเกิดได้ในผู้ป่วยที่เป็นมาลาเรียที่มีภาวะแทรกซ้อนโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือดมากหรือเลือดมีภาวะกระเดียดกรดร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย เช่น ไตวาย น้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดกระเดียดกรดจะหอบมากและหอบลึก  การคั่งของกรดแลกติก (lactic acidosis) ในเลือดเกิดจาก ๓ สาเหตุ คือ
      ๑. เกิดจากเชื้อมาลาเรียสร้างขึ้นโดยเฉพาะเชื้อมาลาเรียในระยะตัวแก่จะสร้างกรดมากขึ้น
      ๒. เกิดจากภาวะขาดออกซิเจนของเซลล์ของร่างกายเนื่องจากเชื้อมาลาเรียชนิดฟัลซิพารัมในเม็ดเลือดแดงจะเกาะกับเส้นเลือดเล็ก ๆ ทำให้ออกซิเจนจากเลือดที่จะไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายลดลงทำให้เซลล์ของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ใช้พลังงานโดยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ออกซิเจน ผลที่ตามมาคือการคั่งของกรดในกระแสเลือด
      ๓. ผู้ป่วยที่เป็นมาลาเรียรุนแรงจะมีการทำงานของตับลดลงทำให้การกำจัดกรดแลกติกในกระแสเลือดโดยตับลดลงและเกิดการคั่งของกรดขึ้น

๖) ไตวาย (ไตล้มเหลว)

      ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงอาจมีการทำงานของไตเสื่อมลงจนไตวายเฉียบพลัน ผู้ป่วยบางรายอาจมีปัสสาวะลดลงแพทย์อาจต้องล้างไตผู้ป่วยจนกว่าไตจะฟื้นตัว

๗) ปอดบวมน้ำ (น้ำท่วมปอด)

ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงอาจมีภาวะปอดบวมน้ำ โดยสาเหตุอาจเกิดจาก
      ๑. ผู้ป่วยได้รับน้ำเกลือทางหลอดเลือดมากเกินไป จนเกิดภาวะปอดบวมน้ำ
      ๒. ปอดของผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงมีการทำงานที่เสื่อมลง โดยมีการรั่วของของเหลวจากกระแสเลือดเข้าไปในปอด จนเกิดภาวะปอดบวมน้ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ แม้ผู้ป่วยจะไม่ได้รับน้ำเกลือทางหลอดเลือด มากเกินไปก็ตาม

 

โรคมาลาเรีย
ภาพรังสีแสดงปอดที่ผิดปกติ มีภาวะปอดบวมน้ำ ใน ๒ วันต่อมาหลังเข้ารับการรักษา

 

๘) การไหลเวียนเลือดล้มเหลว (ช็อก)

      ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงบางคนมีอาการช็อก สติสัมปชัญญะเปลี่ยนแปลงเร็วมากเมื่อตรวจร่างกายพบว่าผิวหนังแห้ง เย็น ซีด ซึ่งเกิดจากความดันโลหิตต่ำและมีการบีบตัวของหลอดเลือดบริเวณผิวหนังเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจำนวนมากจะเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

 

โรคมาลาเรีย
ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรง
โรคมาลาเรีย
ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรง มีตาเหลืองร่วมด้วย

 

๙) ตกเลือดมาก

      ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงอาจพบมีเลือดออกตามร่างกาย เช่น อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกจากจมูก ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากเกล็ดเลือดในผู้ป่วยต่ำมากหรือเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับปัจจัยการแข็งตัวของเลือดต่ำ ผู้ป่วยที่มีเลือดออกควรได้รับเลือดเกล็ดเลือดหรือปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทดแทน

๑๐) ดีซ่าน

      ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงมักเกิดดีซ่านร่วมกับภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไตวาย มาลาเรียขึ้นสมอง ดังนั้นถ้าพบดีซ่านในผู้ป่วยมาลาเรียผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วยได้ สาเหตุของดีซ่านในมาลาเรียรุนแรงเกิดจากตับทำงานลดลงและเม็ดเลือดแดงแตก

๑๑) ปัสสาวะมีสีดำคล้ำ

      ผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงบางคนปัสสาวะมีสีดำคล้ำเนื่องจากมีการแตกของเม็ดเลือดแดงเป็นจำนวนมากพร้อมกันทั้งเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อมาลาเรียซึ่งส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดงที่แตกจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะทำให้ปัสสาวะมีสีดำคล้ำ

 

โรคมาลาเรีย
ลักษณะปัสสาวะสีดำคล้ำ

 

๑๒) อัตราเชื้อในเลือดมีสูง  

      เช่น มีเม็ดเลือดแดงติดเชื้อตั้งแต่ร้อยละ ๕ ขึ้นไป ในผู้ป่วยบางรายเม็ดเลือดแดงที่มีเชื้อเกาะติดกับเส้นเลือดเล็กของอวัยวะต่าง ๆ ทำให้อวัยวะสำคัญทำงานผิดปกติไป เกิดภาวะต่าง ๆ เช่น หมดสติในผู้ป่วยมาลาเรียขึ้นสมองหรือไตวาย

๑๓) อ่อนแรงมาก

      ผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะเด็กเล็กเมื่อเป็นมาลาเรียรุนแรงจะอ่อนแรงมากไม่สามารถยืนหรือนั่งหรือดูดนมได้ 

      อัตราตายของผู้ป่วยโรคมาลาเรียชนิดรุนแรง คือ น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ในผู้ป่วยหญิงที่ไม่มีครรภ์ ส่วนผู้ป่วยหญิงที่มีครรภ์มีอัตราตายสูงถึงร้อยละ ๕๐ ถึงแม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตามอีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดอีกด้วย ผู้ป่วยมาลาเรียขึ้นสมองซึ่งมีสติสัมปชัญญะเปลี่ยนแปลงอาจมีอาการชักทั้งตัวหรือเฉพาะอวัยวะบางแห่ง เช่น แขนขากระตุก ภาวะเลือดกระเดียดกรด เกิดจากอวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิต ภาวะไตวาย ภาวะปอดบวมน้ำ และดีซ่านพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ส่วนภาวะซีด ชัก และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่  สำหรับภาวะปอดบวมน้ำมักพบในหญิงมีครรภ์การตกเลือดพบมากในโรคมาลาเรียชนิดรุนแรง แต่ปัจจุบันพบน้อยลงอาจเป็นเพราะผู้ป่วยมาพบแพทย์และได้รับการรักษาเร็วกว่าในอดีต

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow