การแสดงละครชาตรีแก้บนมีธรรมเนียมการแสดงแบ่งได้เป็น ๓ ส่วน คือ พิธีกรรม การแสดงละคร และพิธีลาโรง โดยขั้นตอนของการแสดงทั้ง ๓ ส่วนกำหนดไว้เป็นลำดับ ดังนี้
มีทั้ง พิธีกรรม และการแสดงละคร โดยมีขั้นตอน ดังนี้
๑) พิธีทำโรง
๒) บูชาครู
๓) โหมโรง
๔) ร้องเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์
๕) รำถวายมือ
๖) ประกาศโรง
๗) รำซัดชาตรี
๘) แสดงละคร
๙) ลาเครื่องสังเวย
มีทั้งพิธีกรรม การแสดงละคร และพิธีลาโรง โดยมีขั้นตอนดังนี้
๑) โหมโรง
๒) ประกาศโรง
๓) แสดงละคร และปิดการแสดง
๔) พิธีลาโรง
ขั้นตอนการแสดงมักขึ้นอยู่กับสถานที่ที่จัดแสดงหากเป็นการแสดงแก้บนที่บ้านของเจ้าภาพซึ่งปลูกโรงสำหรับทำการแสดงก็มักมีขั้นตอนเต็มรูปแบบ แต่จะตัดทอนบางขั้นตอนออกไป เช่น พิธีทำโรง รำถวายมือ หากเป็นการแสดงแก้บนตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ที่วัดมหาธาตุวรวิหารจังหวัดเพชรบุรี จะรำกันภายในวิหารหรือหน้าประตูวิหาร ส่วนการแสดงละครจะแสดงในศาลาหน้าวิหารซึ่งในภาคเช้าและภาคบ่ายมีรายละเอียดดังนี้
ในช่วงเช้าส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการทำพิธี หลังจากเสร็จพิธีกรรมแล้วจึงมีการแสดงแล้วจบด้วยพิธีลาเครื่องสังเวยซึ่งต้องทำก่อนเวลา ๑๒.๐๐ น. ในภาคเช้าเริ่มด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ ดังนี้
เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรงแสดงเพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ บรรพบุรุษ มาชุมนุม เพื่ออำนวยพรให้เกิดความเป็นสิริมงคลโดยแบ่งออกเป็นการปลูกโรงและการเบิกโรง
การปลูกโรง
โรงละครชาตรีแต่เดิมเป็นศาลาโถงโดยใช้เสา ๔ ต้น ปักตรงมุม ๔ มุม เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กลางโรงมีเสากลาง ๑ ต้น ซึ่งเดิมใช้ไม้ชัยพฤกษ์หรือไม้กฤษณาแต่ปัจจุบันไม้ ๒ ชนิดนี้หายากขึ้นจึงใช้ไม้ไผ่แทน พิธีกรรมของการปักเสากลางมีความเชื่อเล่าสืบต่อกันมาว่าพระเทพสิงหรกับแม่ศรีคงคาเป็นสามีภรรยากันและมีความสามารถในการแสดงละครชาตรีมากแม้กระทั่งนางฟ้าก็ชวนกันมาดู จนลืมขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรทำให้พระอิศวรกริ้ว ตรัสว่าจะจัดละครโรงใหญ่ขึ้นแสดงประชันและจะทำลายการแสดงของพระเทพสิงหร พระวิสสุกรรมจึงทูลเตือนพระอิศวรว่าพระองค์เป็นใหญ่ในโลกไม่สมควรจะไปทับถมผู้น้อยแต่พระอิศวรไม่ยอมรับฟัง พระวิสสุกรรมจึงแจ้งแก่พระเทพสิงหรและแม่ศรีคงคาว่าถ้าจะจัดแสดงละครชาตรีขึ้นเมื่อใดพระองค์จะเสด็จมาประทับป้องกันภัยอันตรายและไม่ให้แสดงแพ้พระอิศวรจึงมีการทำเสาผูกผ้าแดงปักไว้กลางโรงเพื่อให้พระวิสสุกรรมเสด็จมาประทับตลอดการแสดงจึงกลายเป็นธรรมเนียมว่าโรงละครชาตรีต้องมีเสากลางและเสากลางนี้ยังใช้เป็นที่ผูกซองคลีซึ่งเป็นซองสำหรับใส่อาวุธต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงเพื่อสะดวกในการหยิบจับ ต่อมาธรรมเนียมการมีเสากลางก็ยกเลิกไปพร้อมกับความเชื่อดังกล่าวปัจจุบันโรงละครชาตรีปลูกเป็นศาลาโถง มีเสาอยู่ ๔ มุม ขนาดประมาณ ๔x๔ เมตร ปูเสื่อบนพื้นโรงซึ่งเป็นดิน ด้านหนึ่งมีตั่งสำหรับนั่งแสดงหันหน้าไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะแก้บนถวายสองข้างตั่งมีที่สำหรับวางศีรษะฤษี ชฎา และมีถังคลีไว้ใส่อาวุธและอุปกรณ์การแสดง ส่วนวงปี่พาทย์ตั้งอยู่ด้านข้างหรือด้านตรงข้ามกับตั่งอีก ๒ ด้านเป็นที่นั่งพักผู้แสดงซึ่งทำหน้าที่ตีกรับและเป็นลูกคู่ร้องรับบทตัวละครที่กำลังแสดงโดยมีผู้ชมนั่งอยู่รอบ ๆ
การเบิกโรง
การประกอบพิธีเบิกโรงจะทำพิธีเมื่อปลูกโรงเสร็จแล้ว โดยมีขั้นตอนในการทำพิธี ๓ ขั้นตอน คือ การบูชาครู การปัดเสนียดจัญไร และการสะกดโรง
๑) การบูชาครู หัวหน้าคณะละครหรือโต้โผผู้ทำพิธีจะห่มหรือคล้องคอด้วยผ้าสีขาว จุดธูปเทียนบูชาครู นั่งบริกรรมคาถาอยู่กลางโรงพร้อมวางเครื่องบูชาหันหน้าเข้าโรง เครื่องบูชาประกอบด้วย
๑. ชุดบูชาครู เช่น ศีรษะฤษี หน้าพราน พร้อมด้วยเครื่องบูชา ดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู บุหรี่ ฯลฯ
๒. ศิราภรณ์หรือเครื่องแต่งตัวของผู้แสดง เช่น ชฎา มงกุฎ กะบังหน้า
๓. เครื่องดนตรี เช่น โทนชาตรี ๑ คู่ ิตะโพน ฉิ่ง กรับ
๔. ธูป ๓ ดอก เทียน ๓ เล่ม หมากพลู
๕ คำ สำหรับพิธีเบิกโรง
๕. ธงสีแดง ๑ ผืน ปักไว้ที่โทนชาตรีและผ้าขาวสำหรับผู้ทำพิธีใช้คล้องคอหรือห่ม
๒) การปัดเสนียดจัญไรเป็นพิธีกรรมที่ทำเพื่อขจัดภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการแสดง เริ่มด้วยผู้ทำพิธีจะดึงธงสีแดงออกจากโทนชาตรีแล้วยกธงขึ้นโบกเหนือศีรษะซ้ายขวา ๓ ครั้งและโบกทวนเข็มนาฬิกา ๓ ครั้ง จากนั้นนำธงไปผูกรวมกับกิ่งมะยมที่เสาโรงโดยผูกด้วยผ้าขาวเป็นเงื่อนกระตุก การโบกธงนี้ที่มีปรากฏอยู่ในนาฏยศาสตร์ตำรารำของอินเดียซึ่งกล่าวว่าพระอินทร์โบกธงให้พวกยักษ์ที่มาก่อกวนการแสดงแก่หง่อมหมดเรี่ยวแรงไปส่วนกิ่งมะยมที่ผูกไว้กับเสาโรงเป็นความเชื่อที่จะให้ผู้ชมซึ่งมีทั้งเทวดาและมนุษย์ชื่นชอบนิยมการแสดง
๓) การสะกดโรงเป็นพิธีเชิญเทวดามาประทับ ณ โรงละครเพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้ทำพิธีนำหมากพลูมาคลี่ออกทีละคำใช้ไม้ตีกลองเขียนยันต์บริกรรมคาถากำกับที่ใบพลูแล้วจีบม้วนกลับเหมือนเดิม หมากพลูคำที่ ๑ ใส่ในปากโทนชาตรีใบหนึ่งใช้มือปิดปากโทนพร้อมว่าคาถาแล้วตีโทน หมากพลูคำที่ ๒ ใส่ในปากโทนชาตรีอีกใบหนึ่งแล้วทำพิธีแบบเดียวกันใช้ไม้ตีกลองเขียนลงยันต์หน้าโทนชาตรีทั้ง ๒ ใบแล้วรัวทีละใบจากนั้นบรรเลงเครื่องดนตรีทุกชิ้นพร้อมว่าคาถากำกับเป็นการบูชาพระประโคนธรรพครูเทพทางดนตรีเสร็จแล้วจุดเทียนนำมาวนทวนเข็มนาฬิกาเหนือเครื่องศิราภรณ์ หมากพลูคำที่ ๓ นำไปไว้ใต้ถังคลีหรือใต้เสื่อที่ปูพื้นโรงพร้อมประกาศเชิญพระแม่ธรณีให้มาคุ้มครองและสะกดโรงให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยแล้วโยนหมากพลูคำที่ ๔ ขึ้นบนหลังคาหรือเหน็บไว้บนหลังคาโรงเพื่อเชิญเทวดาและบูชาฟ้าดิน ส่วนหมากพลูคำสุดท้ายนำไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าภาพบนบานไว้ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าการสะกดโรงช่วยสะกดให้ผู้แสดงสามารถอดทนอดกลั้นแสดงได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องเข้าห้องน้ำเพราะมีความเชื่อว่าเมื่อแต่งหน้าแล้วหากเข้าห้องน้ำคาถาที่ครูลงไว้ให้ในแป้งและสีผึ้งทาปากอาจเสื่อมไป เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วก็ยกชุดบูชาครูนำไปวางไว้ข้างตั่งด้านซ้ายของโรงส่วนศิราภรณ์วางไว้หลังตั่งหรือวางไว้บนตั่งชิดด้านหลัง ในปัจจุบันเจ้าภาพที่มีความสามารถปลูกโรงได้มีน้อยลงพิธีทำโรงจึงค่อย ๆ หมดไปเหลือเพียงพิธีสะกดโรง การบูชาพระประโคนธรรพ การบูชาพระแม่ธรณีและเทวดาต่าง ๆ เพื่อป้องกันเสนียดจัญไรและทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้แสดงและคณะละครชาตรี
พิธีบูชาครูจัดทำขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลขอบารมีครูคุ้มครองและให้ประสบความสำเร็จในการแสดงโดยมีศีรษะพระภรตฤษีหรือพ่อแก่เป็นสิ่งบูชาแทนครู บางคณะอาจบูชาหน้าพรานซึ่งเป็นหน้ากากไม้แกะสลักโดยมีเครื่องบูชาครูที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ซึ่งประกอบด้วย ดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู บุหรี่ เหล้าขาว เงินกำนลและอาจมีอาหารคาวหวาน ผลไม้ น้ำ ตั้งบูชาด้วย ขณะที่ผู้แสดงทำพิธีบูชาครูเจ้าภาพจะจุดธูปเทียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ติดสินบนไว้ให้มารับสินบน
เป็นการบรรเลงดนตรีก่อนแสดงโดยใช้เพลงโหมโรงหลายเพลงซึ่งในสมัยโบราณบรรเลงเฉพาะเพลงซัดชาตรีเท่านั้น สมัยต่อมาจึงเพิ่มเพลงโหมโรงแบบละครนอก คือ เพลงสาธุการ ตระ รัวสามลา ต้นเข้าม่าน ปฐม ลา เสมอ เชิดฉิ่ง เชิดกลอง กลม ชำนาญ กราวใน และจบลงด้วยเพลงวา การแสดงโหมโรงมีนัยหลายประการ เช่น เพื่อเป็นการบูชาครูดนตรีเทียบเสียงเครื่องดนตรีใช้เป็นสัญญาณบอกว่าใกล้เวลาจะเริ่มแสดงและเป็นการเรียกผู้ชม
เป็นการร้องเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าภาพติดสินบนไว้ให้มารับสินบนเพื่อให้สินบนขาดโดยเจ้าภาพเป็นต้นเสียงกล่าวเชิญมีการออกนามสิ่งศักดิ์สิทธิ์และรายการที่เจ้าภาพบนบานไว้ เช่น เครื่องสังเวยหรือละคร ผู้แสดงทั้งหมดพนมมือหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้แสดงเป็นตัวพระ-นางคู่หน้าทำหน้าที่เป็นต้นเสียงร้องเพลงในบทเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนคนอื่น ๆ เป็นลูกคู่ร้องรับในวรรคหลังหรือร้องไปพร้อม ๆ กัน เพลงที่นิยมใช้ในการขับร้อง คือ เพลงช้างประสานงา เพลงแขกหนัง เพลงเชื้อ เพลงลาวเสี่ยงเทียน บทร้องเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีความแตกต่างกันไปในแต่ละคณะ ดังตัว อย่างบทร้องเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคณะขวัญเมืองประดิษฐ์ศิลป์จังหวัดเพชรบุรี ดังนี้
บทร้องเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์
(เพลงช้างประสานงา)
สิบนิ้วลูกหนอยอประนม ยกขึ้นตั้งบังคมเหนือเกศา
เจ้าพระคุณศักดิ์สิทธิ์เรืองฤทธา ได้เป็นที่พึ่งพาของมนุษย์
ท่านผู้ใดขัดสนมาบนบาน พ่อโปรดปรานปรานีเป็นที่สุด
คุณพ่อชูช่วยไม่ม้วยมุด ทั้งใต้ฟ้ามนุษย์ได้อาศัย
ละครได้มารำอยู่หน้าศาล วันนี้เขามีงานเป็นการใหญ่
เขาจะแก้สินบนที่บนไว้ พ่อโปรดช่วยอวยชัยลูกบ้างรา
เจ้าของงานจุดธูปเทียนเวียนคำนับ ขอเชิคุณพ่อมารับเอาเถิดหนา
เชิญพ่อสังฆราชเจ้าแตงโมเป็นเจ้าของ ขอเชญิมารับมาจองเอาเถิดหนา
เชิญคุณพ่อหลักเมืองทองทรงศักดิ์ พ่อก็เป็นหลักเมืองเรืองพารา
เชิญเจ้าวัดเจ้าวาอยู่ที่นี่ ได้มาก่อร่างสร้างที่แต่ก่อนมา
คุณพ่อมาถึงแล้ว คลาดแคล้วขึ้นประทับบนพลับพลา
ผ้าขาวเขาก็ปูไว้สวยสม ส่วนร่มเขาก็กางเอาไว้ท่า
เขามีทั้งหมอนอิงพิงพนัก ไว้รอรับองค์เทพท้าวเทวา
เขามีทั้งหัวหมูและบายศรี บัดนี้เขาก็แต่งเอาไว้ท่า
เขามีทั้งกล้วยสุกมะพร้าวอ่อน พร้อมไปด้วยธูปเทียนชวาลา
ขนมต้มแดงแป้งจี่ ทั้งข้าวไข่เขาก็มีเอาไว้ท่า
เขาบนอย่างไรถวายอย่างนั้น สารพันที่จะมีอยู่นานา
เชิญคุณพ่อมารับสินบนไป ให้ขาดกันวันนี้เจ้าพ่อหนา
ลูกขอให้ขาดกันวันนี้นา อย่าให้เป็นสินบนหน้าสินบนหลัง
ทั้งสินบนหน้าสินบนหลัง ให้ขาดกันวันนี้เจ้าพ่อหนา
ละครกล่าวคำจะรำถวาย ทั้งพระหัตถ์เบื้องซ้ายและเบื้องขวา
(ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว)
การแสดงละครชาตรีแก้บนไม่จำเป็นต้องไปจัดแสดงในสถานที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าภาพบนไว้เพียงแต่กล่าวเชิญให้มารับสินบนดังคำร้องเชิญข้างต้นก็ได้
เป็นการรำเพื่อบูชาครูและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เจ้าภาพประสบความสำเร็จตามที่บนบานไว้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการแก้สินบนเพื่อให้การแก้สินบนเสร็จสมบูรณ์ การรำถวายมือมี ๒ แบบ คือ รำถวายมือเป็นยกไม่มีการแสดงละครและรำถวายมือก่อนแสดงละครหรือรำเบิกโรง ผู้แสดงมีจำนวนตามที่เจ้าภาพกำหนดซึ่งไม่น้อยกว่า ๖ คน แต่งกายยืนเครื่องพระ-นาง หรือตามท้องเรื่องนั้น ๆ โดยยืนรำเป็นคู่หันหน้าไปทางทิศที่ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพลงที่ใช้รำถวายมือ คือ เพลงช้า-เพลงเร็ว ท่ารำก็เป็นท่ารำตามแบบพื้นฐานรำไทย
เป็นการร้องเพื่อบูชาและสรรเสริญพระคุณครู บิดามารดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นพิธีกรรมแรกที่ร้องแบบชาตรี ซึ่งเป็นบทร้องที่บรรพบุรุษใช้ร้องสืบต่อกันมาใช้ทำนองเพลงกรับและร้องกำพรัดเป็นสำเนียงร้องทำนองนอก เนื้อร้องคล้ายบทโนรา ผู้ทำหน้าที่ประกาศโรง คือ หัวหน้าคณะ คนบท หรือผู้แสดงเป็นพระเอกโดยต้องได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สืบทอดการประกาศโรงเท่านั้น ปัจจุบันบท ร้องประกาศโรงที่ยังใช้กันมีอยู่ ๓ บท คือ บทประกาศพระคุณครูและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทครูสอนกับบทสอนรำ และบทสรรเสริญคุณบิดามารดา บทแรกเป็นบทหลักที่ต้องใช้ประกาศโรงทุกครั้ง ส่วนบทที่ ๒ และบทที่ ๓ อาจยกเว้นไม่ต้องใช้ก็ได้
๑. บทประกาศพระคุณครูและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
การแสดงบทนี้ผู้แสดงจะนั่งอยู่บนตั่งแล้วทำท่ารำไปตามบทร้อง ดังตัวอย่างบทประกาศพระคุณครูและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคณะพรหมสุวรรณ์ จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
คุณเอยคุณครู เหมือนดั่งแม่น้ำพระคงคา
คิ่นคิ่นแล้วจะแห้งแต่ก็ยังไหลมา ยังไม่รู้สิ้นไม่รู้สุด
สิบนิ้วลูกหนอลูกจะยอดำเนิน สรรเสริไหว้คุณพระพุทธ
ลูกจำศีลเอาไว้ให้บริสุทธิ์ ไหว้พระเสียแล้วจึงสวดมนต์
ลูกไหว้พระพุทธพระธรรมทั้งพระสงฆ์เจ้า ยกไว้ใส่เกล้าใส่ผม
เล่นไหนให้ดีมีคนรัก หยุดพักให้ดีมีคนชม
ยกไว้ใส่เกล้าใส่ผม ถวายบังคมทุกราตรี
กลางคืนจะไหว้พระจันทร์เจ้า คุณนายมหาตโยคี
ขอศัพท์ขอเสียงให้เกลี้ยงดี จะร้องกล่าวธรรมกล่อมจิต
กลางคืนจะไหว้พระจันทร์เจ้า เช้าเช้าจะไหว้พระอาทิตย์
บทบาทพลาดพลั้งอย่าร้องผิด ผิดน้อยจะขอความสมา
จะขอไปด้วยทั้งปัญญา สะสมไปด้วยทั้งปัญญา
ขอศัพท์ขอเสียงลูกบ้างรา ปัญญาลูกมาเหมือนน้ำไหล
ขอศัพท์ขอเสียงลูกดังก้อง เหมือนฆ้องชวาเขาหล่อใหม่
ขอศัพท์ขอเสียงลูกเกลี้ยงใจ ไหลไปเหมือนท่อธารา
*ลอยเสียแล้วล่องเอย ยูงทองมันล่องตามน้ำมา
* บทนี้จะร้อง เมื่อมีการรำซัดต่อ
๒. บทครูสอนและบทสอนรำ
การแสดงบทนี้ผู้แสดงจะนั่งรำอยู่บนตั่งโดยมีต้นเสียงและลูกคู่ร้องรับจนจบบทครูสอนและบทสอนรำ บทสอนรำมีท่ารำ ๑๒ ท่า คล้ายกับท่ารำ ๑๒ ท่าของโนรา ดังตัวอย่างบทครูสอนและบทสอนรำของละครชาตรีคณะบางแก้ว จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๓๘ ดังนี้
บทครูสอน
กระสวยสอนงา อย่างเรากระสวยสอนงา
ครูสอนให้ผูกผ้า สอนให้ข้าทรงกำไล
ครูสอนให้ทรงเทริดน้อย อีกทั้งแขนซ้ายแขนขวา
เรากระเดื่องเยื้องแขนซ้าย ตีค่าได้ห้าตำลึงทอง
เรากระเดื่องเยื้องแขนขวา ตีค่าได้ห้าพระพารา
ตีนเราก็ถีบเอาพนัก ส่วนมือก็ชักเอาสายทอง
จะหาไหนได้เหมือนน้อง ลำยองเหมือนเทวดา
บทสอนรำ
ครูข้าเจ้าเอย ให้รำเพียงพก
มาวาดไว้ที่ปลายอก กนกเป็นแผ่นผาลา
ชูขึ้นเสมอหน้า เรียกว่าระย้าดอกไม้
ปลดปลงลงมาได้ ครูให้ข้ารำเป็นโคมเวียน
ฉันมีรูปภาพ วาดไว้ให้เหมือนดังรูปเขียน
กนกเป็นโคมเวียน ย่างเท้าตะเคียนมาพาดตาล
ฉันนี้เหวย พระพุทธเจ้าท่านห้ามมาร
ฉันนี้นงคราญ นารายณ์จะข้ามพระสมุทร
รำเล่นสูงสุด พระยาครุฑร่อนมา
ครุฑแลเห็นนาค ครุฑก็ลากถลา
กลับเป็นรูปครุฑ ฉุดนาคนาคา
ฉวยฉุดนาคได้ พาไปเวหา
เป็นรูปหนุมาน ทะยานไปเผาเมืองลงกา
เป็นรูปเทวา ขึ้นขี่อาชาชักรถ
ฤาษีดาบส ลีลาจะเข้าพระอาศรม
สี่มุมปราสาทวาดไว้ ให้เป็นเหมือนหน้าพรหม
มานั่งจงกรม คือองค์นารายณ์จะน้าวศร
ฉันนี่บวร นารายณ์จะวางพระศรชัย
๓. บทสรรเสริญคุณบิดามารดา
เป็นการร้องกำพรัดซึ่งเป็นทำนองนอกที่พรรณนารำลึกถึงพระคุณของบิดามารดา ปัจจุบันผู้ที่สามารถร้องได้มีน้อยลงและไม่ค่อยนิยมแสดงเนื่องจากอาจต้องการความรวดเร็วจึงต้องตัดทอนบท ร้องนี้ให้สั้นลงดังตัวอย่างบทสรรเสริญพระคุณบิดามารดาของละครชาตรี คณะนายสมพงษ์ จันทร์สุข จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๓๘
ร้องกำพรัด
ไหว้บุญคุณครูแล้วเสร็จสรรพ จะกลายกลับไหว้คุณพระมารดา
คุณพระแม่เอยเลี้ยงข้ามา ได้พิทักษ์รักษาจนรอดตัว
เลี้ยงลูกน้อยจนโตให่ น้ำใจมิให้ลูกได้ชั่ว
กว่าลูกจะรอดมาเป็นตัว คุณพระแม่อยู่หัวก็ผ่ายผอม
อุตส่าห์หาวนอนจนค่อนรุ่ง กลัวริ้นกลัวยุงจะไต่ตอม
ฟักฟูมแม่ก็อุ้มมาถนอม ค่ำเช้าแม่กล่อมให้ลูกหลับ
(เปลี่ยนทำนอง)
ผูกเปลเวช้าเอาผ้ามาวง กลัวละอองผองผงจะลงทับ
ยามรุ่งแม่นอนบ่ห่อนหลับ ตรับหูคอยฟังเสียงลูกร้อง
เมื่อยามพระแม่จะกินข้าว แม่เจ้ามิทันจะอิ่มท้อง
ได้ยินเสียงลูกตื่นสะอื้นร้อง แม่ละไว้ค่อยย่องมองเข้ามา
ครั้นถึงจึงจับเอาสายเปล แม่ก็ร้องโอ้ละเห่โอละชา
ครั้นลูกร้องนักแม่ก็สอดมือยก กลัวลูกจะตกจากเปลผ้า
ฟักฟูมแม่ก็อุ้มเจ้าเดินมา กินนมชมหน้าสำราใจ
ลูกคิดคิดถึงพระคุณมารดา รำลึกขึ้นมาน้ำตาไหล
ลูกน้อยจะได้สิ่งอันใด เอาไปแทนคุณพระมารดา
(เปลี่ยนทำนอง)
โกยเอยโกยทราย ในสินสมุทรผุดขึ้นมา
เอามาชั่งกับคุณพระมารดา ทรายนั้นเบากว่าหาเท่าไม่
คุณเอยคุณของพี่ หนักแล้วยิ่งกว่าภูเขาใหญ่
ครั้นว่าหาเท่าพระแม่ไม่ ที่ได้พิทักษ์รักษา
คุณเอยคุณของพ่อ หนักแล้วยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
อีกทั้งคุณพระราชมารดา หนักแล้วยิ่งกว่าแผ่นดิน
อีกทั้งน้ำนมข้าวแม่ป้อน แม่เคี้ยวแม่คายให้ลูกกิน
ลูกไม่ลืมฟ้าไม่ลืมดิน ไม่ลืมคุณพระราชมารดา
วิธีการร้องกำพรัด ผู้เป็นต้นเสียงจะร้องนำแล้วลูกคู่ร้องตาม ดังนี้
ต้นเสียงร้อง : ไหว้บุญคุณครูแล้วเสร็จสรรพ จะกลายกลับไหว้คุณพระมารดา
ลูกคู่ร้องรับ : ไหว้บุญคุณครูแล้วเสร็จสรรพ จะกลายกลับไหว้คุณพระมารดา
จะร้องรับเช่นนี้ไปจนถึงบท "ค่ำเช้าแม่กล่อมให้ลูกหลับ" จึงเปลี่ยนทำนองใหม่ ดังนี้
ต้นเสียงร้อง : ผูกเปลเวช้า (เอย) เอาผ้ามาวง กลัวละออง (ขวัญเอย) ผองผง (ซ้ำ) จะลงทับ
ลูกคู่ร้องรับ : กลัวละออง (ขวัญเอย) ผองผง (ซ้ำ) จะลงทับ
ต้นเสียงและลูกคู่ร้องพร้อมกัน : ข้าเจ้าเอย หน่องเอ๋ย (น้องเอย)
จะร้องรับเช่นนี้ไปจนถึงบท "เอาไปแทนคุณพระมารดา" แล้วจึงเปลี่ยนทำนองเป็นเพลงกรับชาตรีไปจนจบเพลง
เมื่อจบบทร้องประกาศโรงแล้วผู้แสดงจะลงจากตั่งและคุกเข่าที่พื้นเวทีหน้าตั่งแล้วรำซัดชาตรีต่อไป วงดนตรีทำเพลงบรรเลงโทนชาตรีแต่บางคณะอาจร้องประกาศโรงแบบย่อและไม่มีรำซัดชาตรีต่อ
เป็นการรำบูชาครูก่อนเริ่มการแสดงละครและรำถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้รำต้องบริกรรมคาถาขณะที่รำด้วย และต้องเป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาในกลุ่มเครือญาติ ท่ารำซัดของละครชาตรีเมืองเพชรมี ๑๒ ท่า ซึ่งแปลงมาจากท่ารำโนราโดยอาจเลือกรำเพียงบางท่าก็ได้
เมื่อทำพิธีในช่วงเช้าเสร็จก็เริ่มการแสดงละคร ลำดับของการแสดงละครมี ๓ ขั้นตอน คือ การเปิดเรื่อง การดำเนินเรื่อง และการปิดเรื่อง
๑) การเปิดเรื่อง
แบ่งเป็นการตั้งบทและการส่งบท การตั้งบทเริ่มด้วยตัวพระเริ่มแสดงจับเรื่องโดยร้องเพลงบทแรกหรือเพลงหน้าบท เมื่อร้องจบแล้วจึงเริ่มเจรจาเล่าความเดิมของเรื่องพร้อมกับแนะนำตัวว่า เล่นเป็นตัวละครตัวใด ทำอะไรมา และจะทำอะไรต่อไป การส่งบทคือการที่ตัวละครแต่ละตัวที่จะหมดบทในแต่ละฉากนั้นจะต้องกล่าวถึงตัวละครตัวต่อไปหรือเชื่อมโยงเหตุการณ์ตอนต่อไปเพื่อให้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
๒) การดำเนินเรื่อง ในละครชาตรีเน้นความ
รวดเร็ว สนุกสนาน จัดจ้าน ตลกขบขัน ไม่ค่อยเน้นสาระของเนื้อเรื่อง เมื่อดำเนินเรื่องด้วยการร้องตามบทแล้วจะมีการแทรกบทเจรจาทบทวนในบทร้องเพื่อขยายความให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น บางครั้งเจรจาในบทสองแง่สองง่ามเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกขบขัน
๓) การปิดเรื่อง
มักปิดเรื่องตามเวลาที่กำหนด สำหรับการแสดงในภาคเช้าจะปิดเรื่องก่อนเวลา ๑๒.๐๐ น. เพื่อพักเที่ยง การแสดงก็รวบรัดให้จบความช่วงหนึ่งก่อนที่จะเริ่มแสดงต่อในภาคบ่าย ในส่วนของการบอกบทเดิมมีผู้บอกบทที่คอยกำกับบททั้งเนื้อเรื่องและเพลงที่ใช้ให้แก่ผู้แสดงและวงปี่พาทย์ แต่ปัจจุบันตัวละครเป็นผู้ร้องเองโดยด้นกลอนตามเนื้อเรื่องจากความจำแต่บางครั้งก็มักใช้การด้นกลอนสดซึ่งภาษาอาจขาดความสละสลวยเมื่อผู้แสดงร้องต้นบทเองวรรคหนึ่งแล้วลูกคู่ก็ร้องรับเมื่อร้องและรำจบไปตอนหนึ่งก็เป็นช่วงเจรจา เริ่มจากแนะนำตัวว่า ชื่ออะไร เป็นใคร และจะทำอะไรต่อไป เพื่อให้ผู้ชมมีความเข้าใจ เมื่อผู้แสดงในบทบาทใด ๆ แสดงเสร็จในแต่ละตอนจะถอดเครื่องสวมศีรษะออกแล้วไปนั่งข้างวงปี่พาทย์เพื่อเป็นลูกคู่ช่วยร้องรับจนกว่าจะถึงบทของตนจึงออกมาแสดงอีกครั้ง
เป็นการลาเครื่องสังเวยโดยบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าภาพบนบานไว้ให้มารับสินบน พิธีนี้ทำก่อนเวลา ๑๒.๐๐ น. เป็นไปตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาถือว่าเป็นการหยุดพักการแสดงในภาคเช้า เพื่อให้ผู้แสดงพักเที่ยงมีวิธีหยุดพักการแสดงโดยคนบอกบทจะให้สัญญาณผู้แสดงซึ่งมักเป็นพระเอกหรือตัวตลกเจรจาตัดบท เช่น พระเอกกล่าวว่า "ศิษย์ขอกราบลาพระอาจารย์กลับไปหาบิดา" ส่วนพระอาจารย์ก็จะกล่าวว่า "อย่าเพิ่งไปเลยลูกเอ๊ย แดดร้อนตะวันเที่ยง ให้... (เอ่ยนามสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าของสินบน) มารับสินบนให้ขาดก่อนแล้วบ่าย ๆ ค่อยไป" เมื่อจบคำกล่าวจึงหยุดพักการแสดง ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงเชิด เจ้าภาพนำลาเครื่องสังเวยโดยถือเครื่องสังเวยไว้ระดับอกหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเชิญเครื่องสังเวยขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนวางลงแล้วเจ้าภาพตัดแบ่งเครื่องสังเวยใส่กระทงเป็นบัตรพลีนำไปวางไว้ที่โคนเสาของศาลเพียงตาหรือนอกกำแพงวัดพร้อมทั้งกล่าวเชิญวิญญาณลูกศิษย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณทั่วไปมารับไปก็เป็นอันเสร็จสิ้นการแสดงและพิธีกรรมในภาคเช้า
การแสดงในภาคบ่ายมีทั้งส่วนพิธีกรรมและส่วนละคร เริ่มด้วยปี่พาทย์บรรเลงโหมโรงเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. เพลงที่ใช้ ได้แก่ กราวใน รัว ครอบจักรวาล สิบสองภาษา ลงท้ายด้วยเพลงวา แล้วต่อด้วยบทประกาศโรง
เป็นการร้องหน้าบทก่อนการแสดงละครมีเนื้อหาเกี่ยวกับการพรรณนาชีวิตของผู้แสดงเพื่อขอความรักความเห็นใจจากผู้ชมและสร้างความเพลิดเพลินคลายร้อน ไม่มีการร้องรำทำบทเหมือนภาคเช้าดังตัวอย่างบทประกาศโรงบ่าย คณะพรหมสุวรรณ์ จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ๒๕๓๗
เพลงยามบ่าย
(เพลงชาตรีกรับ)
ยามบ่าย พระตะวันท่านฉายบ่ายไปแล้ว
พี่ทำไมได้อยู่โลมโฉมน้องแก้ว เหนื่อยนักพักแล้วหายเหนื่อยร้อน
เมื่อยามจะสรงพระคงคา เปลื้องผ้าภูษาไว้เสียก่อน
หยุดพักให้สบายหายเดือดร้อน สักหน่อยหนึ่งก่อนแล้วค่อยไป
ไปไหนอย่าไปให้เย็นค่ำ อยู่ข้างหลังเขาจะรำไว้คอยท่า
ละครอดหมากอดปูนยา ไม่รู้ที่จะไปหาของใครกิน
ฉันจะไหว้หม่อมแม่ห่มแพรสีดำ ขอหมากกินสักคำเป็นไรเล่า
ฉันจะไหว้หม่อมแม่ห่มแพรสีขาว แม่เจ้าได้ควรมาปรานี
คุณแม่จงได้ปรานี นึกว่าฉันนี้พลัดเมืองมา
ตัวฉันพลัดมาแต่บ้านนอก แม่อย่าลวงอย่าหลอกข้า
ฉันเป็นคนขัดพลัดบ้านเมืองมา เอ็นดูตัวข้าอย่าไยไพ
เมื่อจบบทประกาศโรงบ่าย ปี่พาทย์บรรเลงเพลงเชิดแล้วเริ่มแสดงละครในภาคบ่ายต่อไป
ในช่วงบ่ายเป็นการดำเนินเรื่องต่อจากภาคเช้าแล้วเบนเรื่องไปแสดงบทตลกโปกฮาเป็นเวลานานเพื่อให้คนดูรู้สึกสนุกสนานไม่ง่วงนอน จนบ่ายคล้อยก็กลับมารวบรัดดำเนินเรื่องให้จบตอนแต่มักยุติการแสดงในช่วงใดก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะตัดบทลงจบการแสดงได้ เมื่อได้เวลาเลิกแสดงประมาณ ๑๖.๐๐ น. โดยไม่คำนึงถึงว่าเนื้อเรื่องที่แสดงจะจบตอนได้หรือไม่ตัวละครที่แสดงอยู่ในขณะนั้นจะเป็นผู้ตัดบทปิดการแสดงโดยแทรกลงในบทเจรจาตามท้องเรื่องให้ถูกแบบแผน เช่น พระเอกเตรียมตัวจะขึ้นม้าเพื่อเดินทางไปเมืองอื่นเมื่อคนบทให้สัญญาณจบการแสดงเสนาที่เตรียมม้าไว้จะกล่าวว่า "เย็นแล้วจะออกเดินทางแล้วหมดสินบาทคาดสินบนคุณพ่อ...(เอ่ยนามสิ่งศักดิ์สิทธิ์) มารับเอาสินบนไปขอให้เจ้าของงานอยู่เป็นสุข... (กล่าวอวยพรเจ้าภาพ) ควรแก่เวลา" คำกล่าวปิดการแสดงมีความสำคัญจะขาดไม่ได้เพราะนอกจากปิดเรื่องแล้วยังเป็นการตัดสินบนให้ขาดโดยปี่พาทย์จะทำเพลงรัวประกอบพิธีลาโรงหรือถอนโรง
การทำพิธีลาโรง ผู้ทำพิธีต้องเป็นคนเดียวกันกับที่ทำในช่วงเช้าโดยจะทำพิธีต่าง ๆ หลังจบการแสดงและถอนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่อาจสะกดไว้ในช่วงเช้าโดยการบริกรรมคาถาและใช้มีดหมอตัดชาย คาโรงละครที่มุงด้วยใบจาก แต่ปัจจุบันมักใช้วิธีดึงกิ่งมะยมที่ผูกไว้กับเสาโรงออกพร้อมกับกล่าวว่า "ให้สินบนขาดกันในวันนี้" เป็นอันจบพิธีลาโรง