Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การแพทย์แผนโบราณของไทยที่สืบต่อถึงปัจจุบัน

Posted By Plookpedia | 12 ก.ย. 60
1,293 Views

  Favorite

การแพทย์แผนโบราณของไทยที่สืบต่อถึงปัจจุบัน


เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าการแพทย์ของไทยโบราณแม้จะได้รับความรู้มาจากประเทศที่ก้าวหน้าไปบ้างในทางการแพทย์ เช่นประเทศอินเดียและประเทศจีนความรู้ที่ได้มาดูจะหนักไปในการรักษาทางยามากกว่าวิชาการทางศัลยกรรมเพราะผู้ที่จะเป็นศัลยแพทย์ได้ดีจำเป็นจะต้องมีความรู้เรื่องร่างกายของมนุษย์ดีด้วยเมื่อความรู้ทางพื้นฐานไม่แน่นพอการที่นำวิชาการไปถ่ายทอดต่อไปจึงไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เข้าใจว่าการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในสมัยสุโขทัยคงเป็นการรักษาโดยใช้ยาเป็นวิธีการที่สำคัญแม้กระนั้นเท่าที่ได้สืบค้นมาถึงขณะนี้ยังไม่พบบันทึกใดที่เกี่ยวกับการใช้ยาหรือวิธีการใดในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในสมัยสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้นแต่มีหลักฐานอยู่ประการหนึ่งซึ่งยังเป็นที่โต้เถียงกันมาก คือ ได้พบแผ่นหินที่มีช่องเจาะและมีรอยเท้า ๒ ข้างเหมือนฝาปิดส้วมซึมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันขณะนี้ชิ้นหนึ่งยังตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย นายแพทย์สำราญ วังสพ่าห์ เข้าใจว่าเป็นฝาส้วมจริง ๆ ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าประชาชนในกรุงสุโขทัยมีความก้าวหน้าในเรื่องสุขภาพอนามัยยิ่งกว่าชาวชนบทในปัจจุบัน คือ รู้จักควบคุมอุจจาระไม่ให้แพร่กระจายอันเป็นสาเหตุของโรคที่พบในปัจจุบันหลายโรคแต่บางท่านก็ไม่เชื่อกลับไปอธิบายว่าเป็นฐานรองรับศิวลึงค์ในลัทธิฮินดูผู้เขียนทดลองไปนั่งดูเท้าทั้งสองข้างวางได้ที่แต่เกิดสงสัยเพราะถ้าถ่ายอุจจาระจริง ๆ อุจจาระจะเลยรูที่เจาะไว้

การแพทย์ที่ใช้อยู่ในสมัยสุโขทัยคงสืบต่อมาจนถึงสมัยอยุธยาและอาจสืบต่อมาถึงปัจจุบันด้วยเพราะตำรายาไทยที่พบและใช้มากมายก็เป็นตำรับที่สืบต่อกันมาไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าได้มีผู้ใดตั้งตำรับประสมยาขนานใดขนานหนึ่งขึ้นใหม่แต่ตำรับยาแต่ละตำรับก็สืบเนื่องกันมาตามการอบรมการเป็นแพทย์ในสมัยนั้น ๆ คือ การแพทย์แผนโบราณ ไม่ปรากฏมีโรงเรียนและมีหลักสูตรแน่นอนการจะเป็นแพทย์ก็คือเข้าไปฝึกฝนกับอาจารย์คนใดคนหนึ่งโดยตรงแบบชีวกโกมารภัจจ์ที่เดินทางไปศึกษาที่เมืองตักกสิลาศึกษากับอาจารย์คนใดคนหนึ่งตามความรู้ความชำนาญของอาจารย์คนนั้นซึ่งผิดกับการอบรมแพทย์ตามแผนปัจจุบันมากเพราะเมื่อได้จำแนกวิชาลงไปแล้วโรงเรียนแพทย์แผนปัจจุบันก็หาอาจารย์มาสอนเฉพาะแขนงวิชานั้น ๆ ไม่ได้มอบหมายศิษย์คนใดคนหนึ่งกับอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งอบรมสั่งสอนตลอดหลักสูตรของการเรียนแพทย์แพทย์ที่เป็นอาจารย์จึงอาจฝึกฝนในวิชาของตนให้มีความรู้กว้างขวางขึ้นแต่ก็ไม่อาจจะรู้ไปทุกแขนงวิชาของการแพทย์ความรู้อาจจะก้าวหน้าจริงตามความสามารถความชำนาญและการสืบสวนค้นคว้าของอาจารย์แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาที่ตนรู้ทั้งหมดแก่ศิษย์คนใดคนหนึ่งได้เพราะเขาจะไปเล่าเรียนกับอาจารย์คนอื่น ๆ ในแขนงวิชาต่าง ๆ จนจบหลักสูตรการแพทย์ต่อจากนั้นจึงจะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งตามความสมัครใจของศิษย์ผู้นั้นภายหลังเมื่อสำเร็จแพทย์แล้วแม้ในหนังสือบางเล่มจะกล่าวถึงวิธีการเรียนแพทย์แผนโบราณว่าคล้ายการแพทย์แผนปัจจุบัน คือ มีการเพ่งเล็งสมุฏฐานของโรคว่า คือ สาเหตุการเกิดโรคในการทายโรคและวินิจฉัยโรคแต่การแพทย์แผนปัจจุบันแม้จะศึกษาสาเหตุของการเกิดโรคเช่นกัน แต่ก็พิจารณาการเป็นโรคนอกจากสาเหตุแล้วยังพิจารณาอวัยวะที่เป็นโรคไปพร้อมกันด้วยสมุฏฐานของโรค
ในการแพทย์แผนโบราณไม่ได้เพ่งเล็งที่อวัยวะ หรือแม้จะเพ่งเล็งก็น้อยมาก ฉะนั้นจึงจัดสมุฏฐานออกเป็น ธาตุสมุฏฐาน คือ สมุฏฐานของการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนของธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน (ปัถวีธาตุ) ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) ธาตุลม (วาโยธาตุ) และธาตุไฟ (เตโชธาตุ) แม้จะมีฤดูสมุฏฐาน คือ สาเหตุจากความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ อายุสมุฏฐาน คือ อายุของบุคคลมีความโน้มเอียงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ได้ และกาลสมุฏฐาน คือ โรคซึ่งเกิดขึ้นตามเวลาแห่งวัน ทั้ง ๓ สมุฏฐานที่กล่าวก็เป็นเพียงข้อปลีกย่อยที่นำไปประกอบธาตุสมุฏฐานทั้ง ๔ ดังตัวอย่างที่ย่อจากคู่มือการศึกษาวิชาเวชกรรม (พ.ศ. ๒๕๑๓)
ต่อไปนี้

 

กองที่ ๒ กองอุตุสมุฏฐาน (ฤดูสมุฏฐาน) แปลว่า ฤดูเป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรคแบ่งออกเป็น ๓ หมวด ... หมวดที่ ๒ ในปีหนึ่ง แบ่ง ๔ ฤดู เป็นฤดูละ ๓ เดือน ฤดูที่ ๑ นับจากขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ เดือน ๖ ถึงสิ้นเดือนเป็นสมุฏฐานเตโชธาตุ ... หมวดที่ ๓ ในปีหนึ่งแบ่ง ๖ ฤดู เป็นฤดูละ ๒ เดือน ฤดูที่ ๕ นับจากแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ถ้าเป็นไข้เป็นเพื่อวาโย ธาตุ เสมหะและปัสสาวะ

กองที่ ๓ กองกาละสมุฏฐาน แบ่งออกเป็น ๔ ตอน (ยาม) ... ตอนที่ ๔ เวลากลางวัน นับแต่ ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. เวลากลางคืนนับตั้งแต่ ๐๓.๐๐ น. ถึง ๐๖.๐๐ น. เป็นสมุฏฐานวาโยธาตุ

 

จากตัวอย่างดังกล่าวธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุสมุฏฐานจึงเป็นรากฐานในการแพทย์แผนโบราณของไทย

 

ปัถวีธาติ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรคมี ๒๐ อย่าง

๑. เกษา (ผม) 
๒. โลมา (ขน) 
๓. นขา (เล็บ) 
๔. ทันตา (ฟัน) 
๕. ตะโจ (หนัง) 
๖. มังสัง (เนื้อ) 
๗. นหารู (เส้นเอ็น) 
๘. อัฐิ (กระดูก) 
๙. อัฐมัญซัง (เยื่อในกระดูก) 
๑๐. วักกัง (ม้าม) 
๑๑. หทยัง (หัวใจ) 
๑๒. กิโลมกัง (พังผืด) 
๑๓. ยกนัง (ตับ) 
๑๔. ปัทถัง (ไต) 
๑๕. ปับผาสัง (ปอด) 
๑๖. อันตัง (ลำไส้ใหญ่) 
๑๗. อันตคุนัง (ลำไส้น้อย) 
๑๘. อุทริยัง (อาหารใหม่) 
๑๙. กรีสัง (อาหารเก่า) 
๒๐. มัตถเกมตถลุงกัง (มันสมอง)

 

อาโปธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ๑๒ อย่าง

๑. ปิตตัง (น้ำดี) 
๒. เสมหัง (น้ำเสลด) 
๓. ปุพโพ (น้ำหนอง) 
๔. โลหิตัง (น้ำโลหิต) 
๕. เสโท (น้ำเหงื่อ) 
๖. เมโท (น้ำมันข้น) 
๗. อัสสุ (น้ำตา) 
๘. วสา (น้ำมันเหลว) 
๙. เขโฬ (น้ำลาย) 
๑๐. สังฆานิกา (น้ำมูต) 
๑๑. อสิกา (น้ำมันไขข้อ) 
๑๒. มุตตัง (น้ำปัสสาวะ)

 

วาโยธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ๖ อย่าง

๑. อุทธังคมาวาตา (ลมพัดขึ้น) 
๒. อโธคมาวาตา (ลมพัดลง) 
๓. กุจฉิสยาวาตา (ลมในท้อง) 
๔. โกฎฐานยวาตา (ลมในลำไส้) 
๕. อังมังคานุสาริวาตา (ลมพัดในกาย) 
๖. อัสสาสะปัสสะวาตา (ลมหายใจ)

 

เตโชธาตุ เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ๔ อย่าง

๑. สันตัปปัคคี (ไฟสำหรับอบอุ่นกาย) 
๒. ปริทัยหัคคี (ไฟสำหรับร้อน ระส่ำระสาย) 
๓. ธิรถอัคคี (ไฟสำหรับเผาให้แก่คร่ำคร่า) 
๔. ปริณามัคคี (ไฟสำหรับย่อยอาหาร)

 

รวมเป็นที่ตั้งและที่เกิดของโรค ๔๒ อย่าง แต่คำอธิบายค่อนข้างจะสับสนทำให้ยากต่อการเรียนตามความเข้าใจของแพทย์ที่เรียนแต่การแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น มีผู้ป่วยเป็นปัถวีธาตุพิการที่ยกนัง (ตับ) ตำราแผนโบราณอธิบายไว้ว่าถ้ายกนังพิการให้ตับโตตับย้อย ตับช้ำ ตับแข็ง และเป็นฝีที่ตับแต่ไม่บอกอาการอย่างอื่นกลับมากล่าวถึงอาโปธาติพิการที่ปิดตัง (น้ำดี) เมื่อพิการให้ปวดศีรษะ ตัวร้อน สะท้านร้อนสะท้านหนาว ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง จับไข้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังที่ได้อธิบายมาถ้าเป็นแพทย์แผนโบราณก็ต้องให้การรักษาธาตุที่พิการถึง ๒ ธาตุ คือ ปัถวีธาตุและอาโปธาตุ คือพิการทั้งตับและน้ำดีแต่การแพทย์แผนปัจจุบันถืออาการที่เกิดจากการผิดปกติของน้ำดี เช่น มีจับไข้ ตัวร้อน สะท้านร้อนสะท้านหนาว ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง มีตับเป็นสาเหตุ การรักษาก็มุ่งหน้าไปที่ตับแห่งเดียวเมื่อตับดีขึ้นอาการที่เกิดจากน้ำดีก็พลอยกลับไปปกติด้วย 

ขอลอก "ยาแก้ดีกำเริบ" ซึ่งปรากฏอยู่ใน "ตำราพระโอสถพระนารายณ์" มาให้ดูเป็นตัวอย่างตำราพระโอสถนี้หมอหลวงได้ประกอบถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นยาหลายขนานปรากฏชื่อหมอและมีวันคืนที่ได้ตั้งพระโอสถนั้น ๆ จดไว้ชัดเจนว่าอยู่ในระหว่างปีกุน จุลศักราช ๑๐๒๑ (พ.ศ.๒๒๐๒) ถึงปีฉลู จุลศักราช ๑๐๒๓ (พ.ศ.๒๒๐๔) คือ ระหว่างปีที่ ๓–๕ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตำราพระโอสถทั้งปวงนี้พึ่งรวบรวมเข้าคัมภีร์ในชั้นหลังอยู่ในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระหรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 

อนึ่งลักษณะดีกำเริบ ดีรั่ว ดีค่น ย่อมให้จักษุเหลือง จักษุเขียว อุจจาระปัสสาวะเนื้อก็เหลือง ให้ใจน้อยมักโกรธมักขลาดเจรจาด้วยผีละเมอเพ้อพกคลั่งไคล้ใหลหลงเพศดังนี้ให้เร่งยาฉับพลัน 

ถ้ามิถอยล่วงเข้าตรีโทษได้จะกลายเป็นลมอัมพาต ลมราทยักษ์ ลมวิหค กำหนดยามิต้อง ๗ วันตาย 

ถ้าจะยาไซ้ให้เอาหอมแดง รากขี้กาแดง รากสะอึก แก่นสนสมอไทย บอระเพ็ด เสมอภาค สิ่งละตำลึง ต้ม ๔ เอง ๑ กินแก้ดีกำเริบหายแล 

ถ้ามิถอยให้เอาแก่นจันทร์ กรุงเขมา แก่นสน กะพังโหมทั้งใบทั้งราก เสมอภาค ต้ม ๔ เอา ๑ กินหายแล 

ถ้าไข้นั้นให้ร้อนกระหายน้ำ เอาจันขาว ใบพลูแกขิง ขันทศกร เสมอภาค ทำเป็นจุณละลาย น้ำดอกไม้เป็นกระสายทั้งบดละลายกิน รำหัด พิมเสนด้วย แก้ร้อนแก้กระหายน้ำแล 

ถ้ามิถอยให้เอาเปลือกมะรุม ขมิ้นอ้อย พรรณผักกาด เสมอภาค น้ำดอกไม้เป็นกระสาย บดละลายกินแก้ร้อน แก้กระหายน้ำหายแล 

ถ้ามิถอยให้เอาน้ำอ้อยสด น้ำใบผักเป็ด พริกไทยรำหัด น้อยหนึ่งกินแก้ร้อนแก้กระหายน้ำหายแล 

ถ้ามิถอยให้เอา ชานอ้อย กำยาน แก่นปูนกรักชีกากรมหม้อใหม่ใส่น้ำไว้จึงเอาดินสอพองเผาให้สุกใส่ลงในหม้อน้ำนั้นให้คนไข้กินเนือง ๆ แก้ร้อน แก้กระหายน้ำหยุดแล 

เท่าที่คัดมาให้ดูนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่ายาไทยให้แก้ตามอาการมากกว่าการรักษาต้นเหตุเช่นการแพทย์แผนปัจจุบันโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันแน่ใจว่าไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ก็ไม่มีทางพยุงน้ำใจผู้ป่วยหรือปลอบใจญาติผู้ป่วยได้ดีเท่าการแพทย์แผนโบราณเพราะมียาแก้อาการตั้งน้อยไปหามาก

กะพังโหม

 

 

สาเหตุที่ยาไทยขาดความศักดิ์สิทธิ์ลงอาจมีสาเหตุ ๒ ประการ ประการหนึ่งคือบิดผันไม่บอกเล่าตัวยาที่เป็นจริงแก่กันดังตัวอย่างข้างล่างนี้

จันทร์ขาว

 

 

ในสมัยอยุธยามีหลักฐานการใช้ยาฝรั่งอยู่ในหนังสือ "ตำราพระโอสถพระนารายณ์" ขนาน ที่ ๗๘ ว่า

ขนานที่ ๗๘ น้ำมันมหาจักรให้เอาน้ำมันงาทนาน ๑ ด้วย ทนาน ๖๐๐ มะกรูดสด ๑๐ ลูก แล้วจึงเอา ... เพลิงขึ้นรุมเพลิงให้ร้อนเอาผิวมะกรูดใส่ลงให้เหลือเกรียมอีกแล้วยกลงกรองกากให้หมดเอาไว้ให้เย็นจึงเอาเทียนทั้ง ๕ (เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั้กแตน) สิ่งละ ๒ สลึง ดีปลีบาท ๑ การบูร ๒ บาท บดจงละเอียดปรุงลงในน้ำมันนั้นยอนหูแก้ลมแก้ริดสีดวงแก้เปื่อยคันก็ได้ใส่บาดแผลเจ็บปวดเสี้ยนหนามหอกดาบก็ได้หายแลแต่อย่าให้ถูกน้ำ ๓ วัน มิเป็นปุพโพ เลย ฯ

พิจารณาตามที่พรรณนาก็รู้สึกว่าว่ายาขนานนี้เป็นยาทาภายนอกแต่เหตุที่ใช้เทียนทั้ง ๕ ประสมลงไป เพราะเทียนทั้ง ๕ มีสรรพคุณภายใน คือ เทียนดำมีสรรพคุณแก้ลมอันบังเกิดแก่กองสมุฎฐานทำลายเสมหะอันผูกเป็นก้อนอยู่ในท้องแก้โลหิตได้สมบูรณ์เทียนแดงแก้เสมหะลมตีระคนกันซึ่งเรียกว่า สันนิบาต แก้ลมอันเสียดแทงในลำไส้ แก้ลมเคลื่อนเหียน เทียนขาว แก้ลมทั้งปวง ทำลายเสมหะอันผูก แก้นิ่วและมุตกิด เทียนตาตั้กแตน แก้ธาตุ ทำลายเสมหะ โลหิตกำเดาอันพิการให้สมบูรณ์ เทียนข้าวเปลือก ทำลายลมอันระคนกับเสมหะ แก้ลมในกอง อำมพฤกษ์

 

นอกจากการบิดเบือนความจริงแล้วสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ตำรายาไทยสูญหายไปมากและบางตำรับก็ใช้ไม่ได้ผลก็คือการปิดบังจนตำราสูญหายหรือมิฉะนั้นก็ทำลายต้นตอเสียไม่ให้ใครคัดลอกต่อไป

เทียนข้าวเปลือก

 

 

ประการสุดท้ายเป็นเพราะขาดการรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความชำนาญตัวอย่างที่เห็นได้อย่างดีจะอยู่ในสมัยใกล้กับปัจจุบัน คือ สมัยที่มีการสร้างโรงศิริราชพยาบาลเมื่อสร้างเสร็จแล้วหาหมอยาไทยหรือหมอแผนโบราณมาประจำไม่ได้เพราะแพทย์หลวงที่มีความชำนาญไม่ยอมรับมาประจำเป็นแพทย์และเป็นอาจารย์ในโรงพยาบาลเหตุที่ไม่ยอมมาเพราะวิธีการรักษาและการใช้ยาต่างครูต่างอาจารย์ไม่อาจรวมกันได้ไม่สามารถจะแลกเปลี่ยนความรู้และความชำนาญของแต่ละคนที่มีสู่ซึ่งกันและกันได้

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow