ตราบใดที่มีความไม่แน่นอน หรือ การคาดคะเนจะมีเรื่องของ "ความน่าจะเป็น" เกี่ยวข้องด้วยเสมอ ค่าของความน่าจะเป็นช่วยบอกให้ทราบล่วงหน้าได้ว่า เรื่องที่ไม่แน่นอนนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงไหน เช่น ในการหยิบสลาก 1 ใบ จากสลาก 10 ใบ เราบอกไม่ได้แน่นอนว่า จะหยิบได้ใบไหน แต่โอกาสที่จะหยิบได้ใบใดย่อมมีเหมือนๆ กัน คือ 1 ใน 10 ใบ เรียกค่า 1/10 นี้ว่า "ค่าของความน่าจะเป็นใน การหยิบสลาก 1 ใบ"
ทำนองเดียวกัน ถ้าในกล่องหนึ่งมีของเหมือนๆ กันอยู่ 100 ชิ้น และ ทราบว่าปกติจะมีของเสียประมาณ 5 ชิ้น รวมปนอยู่โดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าว่าชิ้นใดเสีย เมื่อหยิบของนั้นมา 1 ชิ้น โอกาสที่จะได้ของเสียจะมีอยู่ 5 ใน 100 เรียกค่า 5/100 นี้ว่า ค่าของความน่าจะเป็นในการหยิบได้ของที่เสีย 1 ชิ้น ถ้ามีของเสียหลายชิ้น โอกาสที่หยิบของ 1 ชิ้น และ พบว่าเสียย่อมมีมาก ถ้าเสียทั้ง 100 ชิ้นเมื่อหยิบขึ้นมา 1 ชิ้น การที่จะได้ของเสียย่อมเกิดขึ้นแน่ ค่า100/100 หรือ 1 คือ ค่าของความน่าจะเป็น ที่จะได้ของเสีย ซึ่งเป็นค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นแน่นอน และ ถ้าในของ 100 ชิ้นนั้น ไม่มีของเสียเลย โอกาสที่หยิบของมาชิ้นหนึ่งแล้ว จะพบว่าเป็นของเสีย ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่ ค่า 0/100 หรือ 0 หรือค่าของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ ค่าของความน่าจะเป็นที่สำคัญอันดับแรกมี 3 ประเภท คือ
รูป ข ลากขึ้น โดยมีข้อสมมุติที่ว่า ความน่าจะเป็นของการสำเร็จ ในการทดลองหนึ่งครั้ง เป็น 0.1 เช่น การทดลองการหยิบ 0 จากตารางตัวเลขสุ่ม แสดงให้เห็นว่า เมื่อ n มีค่าใกล้อนันต์ หรือ เมื่อค่า n เพิ่ม การแจกแจงทวินามจะกลายเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องสมมาตร ไม่ว่า p และ q จะเท่ากันหรือไม่ การแจกแจงรูปโค้งระฆังคว่ำที่ต่อเนื่องเช่นนี้ คือ การแจกแจงปกติ ซึ่งเป็นขีดจำกัดของการแจกแจงทวินาม เมื่อ n มีค่าใกล้อนันต์
การแจกแจงทวินามขึ้นอยู่กับข้อสมมุติที่ว่า ประชากรนั้นมีมากจนนับไม่ได้ และ ตัวอย่างสุ่มนั้นเลือกมาโดยวิธีนำไปแทนที่ กล่าวคือ จะต้องคืนหน่วยที่หยิบขึ้นมาสังเกตแล้วลงไปก่อนที่จะมีการหยิบหน่วยต่อไป ดังนั้นการสังเกตการณ์จึงเป็นอิสระแก่กัน ความน่าจะเป็นของการสังเกตการณ์ในแต่ละครั้งจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าประชากรนับได้ และ ตัวอย่างสุ่มออกมา โดยวิธีไม่นำไปแทนที่ คือ เมื่อหยิบหน่วยขึ้นมาสังเกตแล้วไม่คืนลงไปที่เดิมก่อนที่จะหยิบหน่วยต่อไป ความน่าจะเป็นจะเปลี่ยนไป สำหรับการสังเกตการณ์แต่ละครั้ง การแจกแจงความน่าจะเป็นในกรณีนี้เรียกว่า การแจกแจงไฮเพอร์จีออเมตริก
ถ้าหยิบของ n หน่วย โดยวิธีไม่นำไปแทนที่จากเซตหนึ่งซึ่งประกอบด้วย ของชนิดหนึ่งจำนวน N1 หน่วย และ อีกชนิดหนึ่งจำนวน N2 หน่วย ทั้ง 2 ชนิด นี้เกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้ ดังนั้น จำนวนทางทั้งหมดในการหยิบของ n หน่วย จาก ประชากรนี้ คือ
แสดงว่าในหนังสือเล่มนั้น จะมีคำผิดหน้าละ 5 คำอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าถ้าหนังสือหนา 100 หน้า จะมีคำผิดหน้าละ 5 คำอยู่ประมาณ 10 หน้า แต่บอกไม่ได้ว่าหน้าไหน
อีกตัวอย่างหนึ่ง สมมุติว่า เครื่องจักรอัตโนมัติผลิตสกรูออกมาแล้ว มีสกรูที่ใช้ไม่ได้หรือเสีย จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ เครื่องมือที่ยังไม่ได้ประกอบชนิดหนึ่ง ต้องการสกรู 98 ตัว สำหรับประกอบ และ สกรูนี้จะจัดอยู่ในกล่องๆ ละ 100 ตัว ความน่าจะเป็นที่ผู้ซื้อเครื่องมือชนิดนี้ จะไม่มีสกรูที่ดีเพียงพอ ที่จะประกอบให้ สำเร็จได้ สำหรับ m = np = 100 (.02) = 2 ซึ่งสามารถคำนวณจากความน่า จะเป็นที่จะได้สกรูเสีย 0, 1 หรือ 2 หน่วย คือ
ดังได้กล่าวแล้วว่าการแจกแจงทวินาม จะมีค่าใกล้การแจกแจงต่อเนื่อง ของรูปที่สมมาตร ถ้า n เพิ่มขึ้นให้มากพอ การแจกแจงที่สมมาตรนี้จะใกล้เคียง กับการแจกแจงปกติซึ่งเป็นขีดจำกัดของการแจกแจงทวินาม สิ่งที่น่าสนใจ คือ การแจกแจงปกติก็เป็นขีดจำกัดของการแจกแจงปัวส์ซงด้วย กำหนดค่าของ p ให้ np จะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อ n เพิ่มขึ้น กราฟของการแจกแจงปัวส์ซงจะมีลักษณะใกล้กับโค้งรูประฆังคว่ำมากขึ้นทุกที
เส้นโค้งเรียบรูประฆังคว่ำที่แสดงในรูป ก หรือ รูป ข เรียกว่าเส้นโค้งปกติ ซึ่งเป็นขีดจำกัดของการแจกแจงทวินามเมื่อ n มีค่าใกล้อนันต์ เราได้ทราบฟังก์ชัน ความน่าจะเป็นทวินาม ดังนี้
สมมุติว่าโรงงานผลิตหลอดไฟแห่งหนึ่ง เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอายุของหลอด ไฟไว้ และ คำนวณได้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วหลอดหนึ่งๆ จะมีอายุ 800 ชั่วโมง คือนับ ตั้งแต่เริ่มใช้จนกระทั่งหลอดเสียจะใช้เวลาประมาณ 800 ชั่วโมง และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 40 ชั่วโมง ถ้าทราบหรือทดสอบไว้ว่าอายุหลอดไฟมีการแจกแจงปกติ ก็จะสามารถคำนวณความน่าจะเป็นที่หลอดไฟจะมีอายุเท่าใดได้ เช่น ความน่าจะเป็น หรือ โอกาสที่จะพบหลอดไฟซึ่งใช้ได้นานระหว่าง 778 ถึง 834 ชั่วโมง จะคำนวณได้จากสูตร (3) ซึ่งจะให้ค่า 0.51 นั่นคือ จะมีหลอดไฟเหล่านี้ ประมาณ 51 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอายุระหว่าง 778 ถึง 834 ชั่วโมง
สูตร (1), (3) และ (4) ที่ใช้ในการหาค่าของความน่าจะเป็นของเรื่อง ที่แทนได้ด้วย x นั้น จะมีคำนวณไว้ให้ในตารางของหนังสือเรื่องความน่าจะเป็นทั่วๆ ไป นอกจากการแจกแจงความน่าจะเป็นขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งสามแบบนี้แล้ว ยังมีแบบต่างๆ อีกมากที่สลับซับซ้อน และ ยุ่งยากมากขึ้น ต่างก็มีลักษณะ เฉพาะสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถใช้ความรู้ทางสถิติทดสอบได้ว่า เหตุการณ์ที่คาดว่าจะมีความน่าจะเป็นตามที่คาดคะเนนั้น จะมีการกระจายของ ความน่าจะเป็นตามที่ตั้งรูปแบบไว้ หรือ ไม่ ในชั้นสูงขึ้นไปจะได้เห็นความสัมพันธ์ ระหว่างคณิตศาสตร์ชั้นสูง และ เรื่องราวของความน่าจะเป็นมากขึ้น ในระยะประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี้ ความน่าจะเป็นได้รับความสนใจ และ การนำไปใช้ในทางวิทยาการอย่างมาก ผิดกับในสมัยเริ่มแรกที่วิชานี้ได้มีกำเนิดขึ้น