ดังได้กล่าวมาแล้วแต่ตอนต้นว่า ในการดำรงความเป็นมนุษย์ของคนเรานั้น มิได้หยุดอยู่แค่เพียงความสัมพันธ์ทางสังคม และเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังเกี่ยวข้องอย่างแยกออกไม่ได้กับเรื่องของระบบความเชื่อ เพราะระบบความเชื่อมีความหมายความสำคัญ ทั้งในด้านการบรรเทาความกระวนกระวายทางจิตใจ การสร้างความมั่นใจ และการสร้างพลังใจในการดำรงชีวิต รวมทั้งในขณะเดียวกัน ก็ช่วยในด้านการรักษา และควบคุมการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นอีกด้วย เรื่องของเศรษฐกิจเป็นความต้องการทางวัตถุ ที่จะทำให้คนเห็นแก่ตัวทำอะไรเฉพาะตัวเอง เพื่อพรรคพวกที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่เรื่องของระบบความเชื่อเป็นเรื่องทางจิตใจที่เป็นของส่วนรวม ซึ่งมีความหมายในอันที่จะเหนี่ยวรั้งความเห็นแก่ตัวทางเศรษฐกิจ และทางวัตถุให้อยู่ในระดับที่พอดี
เพื่อที่การอยู่ร่วมกันของมนุษย์จะดำรงสืบไป ระบบความเชื่อในทุกสังคมมนุษย์นั้น อาจแบ่งออกกว้างๆ เป็น ๒ อย่าง คือ ศาสนา และไสยศาสตร์ อย่างแรกเป็นเรื่องของความเชื่อ ที่ทำให้มนุษย์สยบแก่อำนาจนอกเหนือธรรมชาติ มีการกราบไหว้วิงวอนขอความช่วยเหลือ แต่อย่างหลังเป็นเรื่องความพยายามของมนุษย์ที่จะควบคุม และใช้สิ่งนอกเหนือธรรมชาติให้ทำประโยชน์ให้แก่ตน อย่างเช่น
การทำเสน่ห์ยาแฝด หรือการใช้เวทมนต์คาถาเสกหนังควาย หรือตะปูเข้าท้องคนอื่นนั้น เรียกได้ว่า เป็นไสยศาสตร์ แต่การสวดมนต์กราบไหว้พระพุทธรูป หรือวิงวอนเทพเจ้า เพื่อให้เมตตาช่วยเหลือนั้น เป็นเรื่องของศาสนา ความแตกต่างที่สำคัญ ระหว่างศาสนากับไสยศาสตร์ก็คือ ศาสนาเป็น เรื่องที่คนสยบต่อสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ มีผลทำ ให้ทุกคนในสังคมต้องอยู่ในกรอบความประพฤติ และกฎเกณฑ์ทางสังคม ในการอยู่ร่วมกัน เป็นที่มาของระบบศีลธรรม และจารีตกฎเกณฑ์ ที่ควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ส่วนไสยศาสตร์นั้น อาจเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมได้ เช่น การใช้เวทมนตร์คาถาทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น ในเรื่องนี้จึง ทำให้ไสยศาสตร์แบ่งออกเป็น "ไสยดำ" และ "ไสยขาว" อย่างแรกใช้ไปในทางที่ชั่วร้าย ในขณะที่อย่างหลังใช้ไปในทางป้องกันความชั่วร้าย อย่างเช่น การสวดมนต์ หรือการสวดคาถาปัดเป่าโรคร้าย โรคระบาด เป็นต้น
สังคมมนุษย์ในโลกต่างกัน มีระบบความเชื่อที่เนื่องด้วยศาสนา และไสยศาสตร์แตกต่างกันออกไป สังคมที่มีพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีดีอยู่แล้วมักให้ความสนใจในเรื่องของไสยศาสตร์น้อยมากในขณะที่ความสนใจในเรื่องทางศาสนาก็แคบลงเป็นเรื่องที่เน้นในทางปรัชญามากกว่าส่วนสังคมในประเทศที่ยังล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีนั้นยังให้ความสนใจกับเรื่องไสยศาสตร์และ ศาสนาที่เน้นการสยบต่อสิ่งนอกเหนือธรรมชาติอยู่ ความแตกต่างกันระหว่างสังคมทั้งสองระดับนี้เห็นได้จากการประกอบพิธีกรรม สังคม ที่พัฒนาแล้วไม่สนใจในเรื่องพิธีกรรมในระบบ ความเชื่อทั้งศาสนาและไสยศาสตร์ ส่วนสังคมที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนามักเน้นความ สำคัญของพิธีกรรมในกิจกรรมต่าง ๆ อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติตลอดเวลา โดยเฉพาะต้องพึ่งฝน ที่ลมมรสุมพัดพามาตกเป็นประจำ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึง ต้องมีการประกอบพิธีกรรมทั้งทางศาสนา และไสยศาสตร์กันต่างๆ นานา เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้น เหตุนี้จึงทำให้ระบบความเชื่อของคนไทย มีลักษณะซับซ้อน และหลากหลาย ในเรื่องประเพณีพิธีกรรมอย่างไม่เสื่อมคลาย คนไทยทั่วไปไม่ค่อยจะรับรู้ และเข้าใจในเรื่องที่เป็นปรัชญาทางศาสนา แต่ยังผูกติดกับการประกอบพิธีกรรมที่คิดว่าเมื่อกระทำเรียบร้อย แล้วก็บรรลุความมุ่งหมาย
ทุกวันนี้ศาสนา และไสยศาสตร์ที่คนไทยเชื่อถือกันมานาน เป็นระบบความเชื่อที่เกิดจากการผสมผสานของศาสนาใหญ่ๆ เช่น พุทธศาสนา ศาสนาฮินดู ที่มาจากภายนอกกับระบบความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับการถือผีและลัทธิเกี่ยวกับวิญญาณที่มีมาแต่เดิม จากการผสมผสานที่มีมาช้านานดังกล่าวนี้ ทำให้ภาพพจน์ และความเชื่อ ในเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลของคนไทยมีความซับซ้อน และหลากหลาย นั่นก็คือ
การที่คิดว่ามีทั้งโลกนี้ และโลกหน้า และความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดที่ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม คือถ้าหากทำกรรมดีก็จะเกิดในที่ดี เป็นขุนนาง เป็นกษัตริย์ เป็นเทวดา แต่ถ้าทำกรรมชั่วจะไป
เกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจหรือผีเปรตในนรก อย่างไรก็ตามความคิดในเรื่องจักรวาลที่เกี่ยว กับโลกนี้ และโลกหน้าของคนไทย ก็มีความแตกต่างไปเป็น ๒ ระดับคื อระดับคนทั่วไป กับผู้รู้ที่เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ในระดับคนธรรมดาทั่วไป โลกนี้โลกหน้าประกอบด้วย สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกที่อยู่ใต้บาดาล สวรรค์เป็นที่อยู่ของเทพ โลกเป็นที่อยู่ของมนุษย์และอมนุษย์ เช่นพวกผีที่มีทั้งดีและร้าย ส่วนนรกเป็นที่อยู่ของผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นเปรต แต่ละแห่งต่างก็มีการแบ่งชั้น และการแบ่งชั้นของบุคคลแตกต่างกันไป ตามกฎแห่งกรรม อย่างเช่น บนสวรรค์ก็มีเทวดา หรือเทพหลายระดับ มีทั้งเทวดาชั้นต่ำ ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม และเป็นเพียงบริวารของเทวดาผู้ใหญ่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพเจ้าในศาสนาฮินดูเกือบทั้งสิ้น เช่น พระอินทร์ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม พระอาทิตย์ พระจันทร์ เป็นต้น ในโลกมนุษย์ ก็มีการแบ่งมนุษย์ออกเป็นคนธรรมดาสามัญ พวกไพร่ ข้าทาส เจ้าขุนมูลนาย คหบดี ขุนนาง ข้าราชการ เจ้านายและกษัตริย์ นอกจากมนุษย์ แล้วก็มีสิ่งนอกเหนือ ในขณะที่ในนรกก็แบ่ง ออกเป็นชั้นๆ ตามกรรมของผู้ที่อยู่และรับโทษ ทั้งสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกนั้น มักมีการ เขียนภาพแสดงไว้ให้เห็นตามผนังโบสถ์ วิหาร ของวัดวาอารามและตามสมุดข่อย ใบลานที่ใช้ ในการเทศน์และศึกษาเล่าเรียนของพระและ ประชาชนทั่วไป
ส่วนในระดับคนที่มีความรู้เป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิตนั้น ความรู้ความเข้าใจในเรื่องจักรวาล และศาสนา จะแตกต่างไปจากบุคคลทั่วไป คือ มีความลุ่มลึกในทางที่เป็นปรัชญามากกว่าการให้ความสำคัญทางด้านพิธีกรรม เรื่องของโลกนี้ และโลกหน้านั้น หาได้ประกอบด้วย สวรรค์ โลก และนรกไม่ หากเป็นเรื่องของภูมิสามภูมิ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ เรื่องของนรก โลก และสวรรค์ของคนทั่วไป รวมทั้งของศาสนาอื่นๆ ด้วยนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอยู่ในกามภูมิเท่านั้น เพราะยังเป็นเรื่องของความรู้สึกทางโลกีย์อยู่ ดังเห็นได้จากภาพของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ ก็แวดล้อมไปด้วยเทวดาหญิง-ชายเป็นคู่กันอยู่ แม้แต่เรื่องของพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม ก็ยังมี พระอุมา พระลักษมี และพระสุรัสวดีเป็นชายา รูปภูมิอยู่เหนือกามภูมิขึ้นไปเป็นที่อยู่ของบรรดา พรหม คือผู้ที่หมดความรู้สึกในเรื่องโลกีย์แต่ยัง ต้องการมีตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้นพระพรหมใน ทางพุทธศาสนาจึงมีหลายองค์และในภาพเขียน ที่ปรากฏในหนังสือไตรภูมิจึงมักเป็นภาพของ เทวดาสี่หน้าที่สถิตอยู่ในวิมานแต่เพียงผู้เดียว อรูปภูมิเป็นที่อยู่ของบรรดาพรหมที่หมดความ ต้องการในเรื่องการมีตัวตน แต่ยังมีความรู้สึกอยู่มักปรากฏในภพไตรภูมิเพียงวิมานที่ว่างเปล่าในภูมิที่เรียกว่า อรูปภูมิ เท่านั้น
ถ้าหากดับความรู้สึกความต้องการทั้งหมดได้ บุคคลนั้นก็ พ้นอรูปภูมิเข้าสู่โลกุตระ ถือนิพพาน อันเป็นความมุ่งหมายสุดยอดของพระศาสนา
ความเข้าใจในเรื่องระบบความเชื่อ และจักรวาล ที่ไม่ทัดเทียมกันของบุคคลต่างๆ ในสังคมไทยนี้ มีผลเกี่ยวข้องไปถึงพฤติกรรม ในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันของคนไทยเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดความหลากหลายในแง่มุมของ การมองโลกที่แตกต่างกันออกไปตามฐานะทาง สังคม ในสังคมหมู่บ้านตามท้องถิ่นชนบทที่ ชาวบ้านมีการศึกษาน้อย มักทำอะไรตามกัน เป็นแบบประเพณีความเชื่อในทางศาสนาและ ไสยศาสตร์ที่แสดงออก ด้วยการประกอบประเพณีพิธีกรรม เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมาก พิธีกรรม ที่เรียกว่า การทำบุญนั้น มีความหมายต่อการอยู่รวมกัน ในสังคมของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เพราะงานประเพณีทุกอย่างทั้งในระดับชุมชน และครอบครัวจะมีเรื่องของการทำบุญผสมอยู่ด้วยเสมอ วัดประจำหมู่บ้านก็ดี และวัดประจำท้องถิ่นก็ดี จึงกลายเป็นสถานที่ชุมนุมในกิจกรรมทางสังคม ผู้คนทุกเพศทุกวัยที่อยู่ทั้งใกล้ และไกลได้มาพบปะกัน สังสรรค์กันและร่วม มือกันในการทำบุญร่วมกัน นับเป็นการสร้าง ความสัมพันธ์ที่จะนำไปสู่การร่วมมือกันทาง ด้านเศรษฐกิจ สังคม และในด้านอื่น ๆ ต่อไป
นอกจากนั้นงานประเพณีบางอย่าง เช่น งานเทศน์มหาชาติ ที่เน้นในเรื่องการให้ทาน ของพระเวสสันดร และการเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสน ที่บรรยายถึงการไปโปรดสัตว์ในนรกของพระมาลัยที่สะท้อนให้เห็นถึงความ ทุกข์ทรมานในนรกนั้น ก็ล้วนเป็นการอบรมใน เรื่องของคุณธรรมและศีลธรรมในการอยู่ร่วม กันอย่างเป็นกันเองของคนในสังคมชนบทเป็น อย่างดี การทำบุญของคนในชนบทที่ปฏิบัติจน เป็นประเพณีนั้น มุ่งหวังความสุขในโลกหน้า เพื่อจะเกิดใหม่มีฐานะดีกว่าแต่เดิมบ้าง ให้อยู่ ในสมัยพระศรีอาริย์บ้างนั้น ล้วนเป็นความต้อง การทางจิตใจที่นอกเหนือไปจากความต้องการ ทางวัตถุทั้งสิ้น แตกต่างไปจากคนในเมืองหรือ คนที่มีฐานะมั่งคั่งที่มีการศึกษาดีกว่า บุคคล เหล่านี้มักให้ความสนใจในเรื่องของโลกหน้า ภพหน้าน้อย หากสนใจที่จะรักษาสถานภาพ ความเป็นอยู่ในโลกนี้ให้ถาวร การเข้าวัดและ การทำบุญจึงมีความมุ่งหมายต่างไปจากบรรดา ชาวบ้าน คนในเมืองหรือคนรวยมักทำบุญเพื่อ หวังว่าจะรวยเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็เพื่อจะได้แคล้ว คลาดหลุดพ้นจากเคราะห์ร้ายโชคร้ายต่างๆ ยิ่ง กว่านั้นการทำบุญแต่ละครั้งยังมุ่งหวังในเรื่อง การแสดงความโอ่อ่าความสำคัญในเรื่องฐานะ ที่จะมีผลไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และเศรษฐกิจกับผู้อื่นอีกด้วย สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความต้องการเพียงความสุขในโลกนี้ ที่นอกเหนือไปจากการทำบุญก็คือ ความเชื่อในเรื่องโชคลาง ที่ต้องปรึกษาพวกหมอดู หมอผี มีการทำนายโชคชะตา ผูกดวง สะเดาะเคราะห์ที่นำไปสู่การประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ นานา ล้วนแต่เป็นการ เน้นในเรื่องวัตถุนิยมและการเป็นปัจเจกบุคคลที่อาจกระทบกระเทือนต่อศีลธรรม และจริยธรรมทางสังคมได้