Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การละเล่นของเด็ก

Posted By Plookpedia | 25 เม.ย. 60
2,975 Views

  Favorite

การละเล่นของเด็ก

การเล่นเป็นชีวิตจิตใจของเด็กไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ชอบเล่นไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อนๆ การเล่นและเด็กจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นเด็กที่ไม่รู้จักเล่นหรือไม่ชอบเล่นอาจกล่าวได้ว่าผิดธรรมชาติเป็นเด็กซึ่งไม่สมบูรณ์ทางกายหรือสมองการเล่นไม่ใช่การใช้เวลาสูญเปล่าแต่เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมความสามารถทางกาย จิตใจ และช่วยให้มีมนุษยสัมพันธ์อันดีซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในชิวิตข้อสำคัญอยู่ที่ว่า "เมื่อไรควรเล่น" การเล่นจะให้ประโยชน์อย่างไรแม้ในบางครั้งก็ยังใช้ "การเล่น" เป็นสื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าวิธีอื่น

การเล่นของเด็กไทยก็มีหลายอย่างที่เหมือนกับเด็กชาติอื่น และที่แตกต่างเป็นของไทยโดยเฉพาะก็มีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติของแต่ละชาติ เช่น การเล่นซ่อนหาในยุโรป ก็มีเล่นกันมากวิธีเล่นอาจแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อยการเล่นของเด็กในเอเชียที่คล้ายกันได้แก่ หมากเก็บ ในอินเดียว และฟิลิปปินส์ก็มี แต่วัสดุที่นำมาเล่นต่างกัน ดังนี้เป็นต้น

การละเล่นของเด็กไทยที่จะนำมากล่าวถึงจะเป็นเพียงตัวอย่างที่เลือกมาจากที่เล่นกันอยู่ในสมัยโบราณเฉพาะที่มีคุณค่า ในการพัฒนาเด็กในด้านต่างๆ การเล่นบางอย่างยังยืนยงมาถึงปัจจุบันบางอย่างก็หมดไปด้วยเหตุที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแทนที่เพราะเด็กขาดความอิสระเสรีในการเล่นพ่อแม่ ครูเข้ามามีบทบาทในการกำหนดการเล่นของเด็กมากขึ้นการเล่นแบบเดิมนี้จึงควรอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติวัฒนธรรมของไทยให้เด็กรุ่นหลังได้รู้จักและเพื่อศึกษาลักษณะสังคมไทยในสมัยนั้นๆ

การเล่นเป้ายิงฉุบ ท่ากรรไกรตัดกระดาษ
การเล่นเป้ายิงฉุบ ท่ากรรไกรตัดกระดาษ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13
การเล่นเป้ายิงฉุบ ท่ากระดาษห่อค้อน
การเล่นเป้ายิงฉุบ ท่ากระดาษห่อค้อน
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

ปัญหาการเล่นของเด็ก
การเล่นของเด็กจะต้องมีปัญหาเริ่มเล่น เช่น ปัญหาการแบ่งพวก ปัญหาตัวคนที่จะต้องแยกจากหลายๆ คน เช่น การเล่นชักเย่อ มีปัญหาในเรื่องการแบ่งพวก อ้ายเข้อ้ายโขง มักมีปัญหาในเรื่องตัวคนเป็นอ้ายเข้ คือ จะต้องหาทางยุติไม่ให้เกี่ยงกันหรือแย่งกันทางยุติปัญหาในการเล่นของเด็กมีหลายวิธีไม่ทราบว่าผู้ใดคิดขึ้นและก็มีกันมานานแล้ว

ทางยุติปัญหา
ทางยุติปัญหาที่ใช้กันอยู่มากในปัจจุบันมีดังนี้ 

การจับไม้สั้นไม้ยาว 
ผู้เล่นผู้หนึ่งจัดหาไม้หรืออะไรที่คล้ายกันมีจำนวนเท่าผู้เล่นให้ไม้มีความสั้นยาวไม่เท่ากันกำให้แน่นแล้วให้ผู้เล่นจับโดยวิธีดึงออกไปอันสุดท้ายเป็นของผู้ทำถ้าใครจับได้ไม้สั้นที่สุดหรือยาวที่สุดก็ต้องเป็นตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วการจับไม้สั้นไม้ยาวผู้ทำอาจทำให้ผู้จับเกิดความลังเลก็จะเป็นการสนุกอีกอย่างหนึ่ง

การจับไม้สั้นไม้ยาว
การจับไม้สั้นไม้ยาว
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

จี้จุ๊บ 
ผู้เล่นผู้หนึ่งจะกางมือคว่ำลง แล้วยื่นไปข้างหน้าให้ผู้เล่นอื่นๆ เอานิ้วชี้ไปจดฝ่ามือผู้ที่ยื่นมือไปจะร้องจี้จุ๊บ พอร้องจบถึงคำสุดท้ายก็จะคว้านิ้วชี้ของผู้เล่นอื่นๆ ถ้าจับได้ใคร คนนั้นต้องเล่นเป็นตามที่ตกลงกันไว้ ถ้าคว้าไม่ได้ต้องทำใหม่ ๓ ครั้ง ถ้าคว้าไม่ได้อีกผู้ที่เป็นคนคว้าต้องเป็นเอง

บทร้องประกอบการเล่นมีว่า จุ้มจาลีจี้จาหลบ กินขี้กบ หลบไม่ทัน (มีหลายบท)
การยุติปัญหานี้ เป็นการเล่นชนิดหนึ่งสำหรับเด็กเล็กๆ ที่ผู้ใหญ่ล่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน เวลาร้องไห้งอแงได้ด้วย

การเล่นจี้จุ๊บ
การเล่นจี้จุ๊บ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

เป้ายิงฉุบ 
ผู้เล่น ๒ คน เอามือซ่อนไว้หลังหู แล้วทำมือเป็นรูปต่างๆ คือ กระดาษ ค้อน กรรไกร ถ้าแบมือกางนิ้วหมายถึง กระดาษ ถ้าทำมือเป็นรูปกำปั้นหมายถึง ค้อน ถ้าชูนิ้วสองนิ้วหมายถึง กรรไกร

วิธีเล่น ต้องหันหน้าเข้าหากัน ยืนห่างกันพอสมควร พอร้องเป้ายิงฉุบ แล้วต่างก็ยื่นมือออกไปข้างหน้าเป็นรูปตามที่ต้องการ ถ้าฝ่ายไหนมีอำนาจกว่า ฝ่ายนั้นก็ชนะ คือ ค้อนทุบกรรไกร กรรไกรตัดกระดาษ กระดาษห่อค้อน การเล่นเป้ายิงฉุบ นอกจากใช้เป็นการตัดสินคู่สุดท้ายที่ยังตกลงกันไม่ได้ ยังเป็นการเล่นที่สนุกสนานอีกด้วย

การเล่นเป้ายิงฉุบ ท่าค้อนทุบกรรไกร
การเล่นเป้ายิงฉุบ ท่าค้อนทุบกรรไกร
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

โออาเหล่าตาแป๊ะ 
ผู้เล่น ๓ คนขึ้นไป ยืนล้อมวงกัน ทุกคนยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับแกว่งมือขณะร้องโออาเหล่าตาแป๊ะ พอจบคำตาแป๊ะ จะหงายหรือคว่ำมือ ถ้าใครผิดแปลกออกไปทางจำนวนน้อย คนนั้นต้องออกไป ทำเช่นนี้จนถึงคนสุดท้าย การคัดออกวิธีนี้ เป็นการเล่นไปด้วย วิธีนี้คล้ายการเล่นทางภาคใต้ที่เรียกว่า ลาลาตี้ทำบ็อง

การเล่นโออาเหล่าตาแป๊ะ
การเล่นโออาเหล่าตาแป๊ะ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

การเล่นกลางแจ้ง
เสือกินวัว 
การเล่นชนิดนี้ในภาคใต้ผู้เล่นเป็นเสือคนหนึ่งเป็นวัวคนหนึ่งนอกนั้นเป็นคอกจับมือต่อกันเป็นวงห่างกันพอช่วงแขน วัวอยู่ในคอก เสืออยู่นอกคอก เสือจะพยายามวิ่งเข้าไปจับวัวในคอก วัวก็ต้องพยายามหนีถ้าเสือเข้าไปในคอกได้วัวก็ต้องวิ่งหนีออกนอกคอกคอกก็ต้องพยายามกันเสืออย่างเหนียวแน่นไม่ให้มือหลุดจากกันได้แต่จะเปิดทางให้วัวหนีเสือโดยสะดวก เสือและวัวต้องมีไหวพริบว่าจะผ่าคอกทางไหนเสือบางตัววิ่งชนคอกพังเป็นแถบก็มี การไล่ และการหนีของเสือและวัว ทำให้ได้รับความสนุกและขบขันทั้งผู้ดู และผู้เล่น
การเล่นประเภทนี้เป็นการเล่นเลียนพฤติกรรมสัตว์ เป็นการออกกำลังมาก ฝึกความพร้อมเพรียง ความว่องไว และไหวพริบ
ภาคกลางก็มีการเล่นชนิดนี้ เรียกว่า "หมาไล่ห่าน" และยังมี "เสือไล่หมู" ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งแปลกออกไปตรงที่มีบทร้องประกอบขณะที่คอกจับมือล้อมวงก็ร้องไปด้วยทำให้สนุกไปอีกแบบหนึ่ง

บทร้องประกอบการเล่นมีว่าหมูจีบหมูจ้อยหมูน้อยกินรำเดือนมืดเดือนค่ำไล่หมูเข้าคอกแค่ศอกแค่วาอีกามันเห็น อีกามันร้อง ถือไม้คดค้อง บีบนมสาวเล่นมะเขือขาวลอยมาเอาควายไปสน ที่ต้นไม้ใหญ่เสือโว้ยมากินหมูแล้ววา

ภาคเหนือมีการเล่นชนิดนี้เหมือนกันเรียกว่า "แมวกินน้ำมัน" คนหนึ่งเป็นแมวอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าบ้านที่เหลือเป็นบ้านมีข้อแปลกออกไปคือเจ้าของบ้านทำเป็นเอาน้ำมันหยอดลงในมือของคนหนึ่งที่จับกันเป็นวงแล้วออกไปนอกวงแมวเข้าไปในวงทำท่ากินน้ำมันแล้วแอบออกไปเจ้าของบ้านกลับเข้าไปเห็นน้ำมันหายไปก็ถามคนในวงตอบได้ความว่า แมวกิน เจ้าของบ้านถามหาทางที่แมวไปแล้ววิ่งตามการเล่นของภาคนี้มีการสมมุติเลียนแบบสังคมจริง เช่น คนทำเป็นบ้าน ไม่ช่วยแมวผู้ทำผิดเจ้าของบ้านมีสิทธิ์ฝ่าเข้าไปได้เป็นการส่งเสริมคุณธรรมตามกติกาของสังคมจริง

การเล่นเสือไล่หมู
การเล่นเสือไล่หมู
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

ตี่จับ 
การเล่นชนิดนี้มีทั้งในภาคกลางและภาคใต้ ใช้ผู้เล่นกี่คนก็ได้ แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย เท่าๆ กัน 
วิธีเล่น ให้ทั้งสองฝ่ายจับไม้สั้นไม้ยาวว่า ใครจะเริ่มเล่น โดยเลือกพวกของตนคนหนึ่งเป็นคนเข้าไปตี่ คนตี่จะออกเสียง "ตี่" หรือ "หึ่ม" เข้าไปในแดนฝ่ายตรงข้ามเอามือพยายามแตะฝ่ายตรงข้ามในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามต้องคอยยึดตัวไว้ไม่ให้กลับเข้าแดนของตนได้หากผู้ที่ถูกจับขาดเสียง "ตี่" หรือ "หึ่ม" ผู้นั้นต้องมาเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้ามแต่ถ้าสามารถหนีกลับเข้าแดนของตนได้คนที่ถูกแตะจะกี่คนก็ตามต้องไปเป็นเชลยของฝ่ายที่เข้ามาตี่เมื่อมีฝ่ายของตนเป็นเชลยผู้ที่ตี่คนต่อไปต้องพยายามช่วยพวกของตัวให้กลับมาให้ได้ฝ่ายตรงข้ามต้องคอยกันไม่ให้แตะกันได้ถ้าแตะกันได้เชลยจะได้กลับแดนของตนเล่นกันเช่นนี้จนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหมดตัวผู้เล่นก่อนฝ่ายชนะมีสิทธิ์ที่จะปรับฝ่ายแพ้ให้ทำอะไรก็ได้การเล่นชนิดนี้ ฝึกความอดทนการใช้พละกำลังและความมีไหวพริบความรักพวกรักพ้อง

 

เสือข้ามห้วย
วิธีเล่น มี ๒ แบบ คือเล่นเดี่ยว และเล่นหมู่
เสือข้ามห้วยเดี่ยว 
ก่อนเล่นต้องจับไม้สั้นไม้ยาว หาผู้ที่จะเป็นห้วย ๑ คน คนอื่นๆ เป็นเสือ กระโดดข้ามผู้เป็นห้วย ซึ่งจะเหยียดขา ๑ ข้าง ข้างใดก็ได้เหยียดขาทับบนข้างเดิมให้ส้นเท้าต่อบนหัวแม่เท้าถ้าเสือโดดข้ามพ้นห้วยจะต่อท่าให้สูงขึ้นทุกทีโดยเหยียดแขนข้างหนึ่งตั้งบนขาทั้งสองข้างให้นิ้วก้อยตั้งบนหัวแม่เท้า กางนิ้วห่าง ๆ กัน ท่าต่อไปก็คือเหยียดแขนอีกข้างหนึ่งต่อบนมือข้างเดิมให้นิ้วก้อยตั้งบนนิ้วหัวแม่มือของข้างเดิมต่อไปนั่งหมอบชักเงี่ยงโดยใช้ข้อศอกข้างหนึ่งยักขึ้นยักลงต่อไปจะชักเงี่ยงทั้งสองใช้ข้อศอกทั้งสองข้างยักท่าสุดท้ายลุกขึ้นยืนแล้วก้มตัวใช้ปลายนิ้วมืดจรดนิ้วเท้าถ้าเสือกระโดดข้ามท่าใดท่าหนึ่งไม่พ้นต้องมาเป็นห้วยแทนต่อจากขั้นที่กระโดดไม่พ้นแต่ถ้าเสือข้ามพ้นทุกขั้นผู้เป็นห้วยจะถูกลงโทษโดยพวกเสือจะช่วยกันหามไปทิ้ง แล้ววิ่งกลับมาที่เล่นผู้เป็นห้วยต้องพยายามจับให้ได้ถ้าจับคนหนึ่งคนใดได้คนนั้นต้องเป็นห้วย

 

เสือข้ามห้วยหมู่ 
ผู้เล่นแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย เท่าๆ กันไม่จำกัดจำนวนวิธีเล่นเหมือนกับเสือข้ามห้วยเดี่ยวแต่ผู้ที่เป็นห้วยเพิ่มขึ้นนั่งเรียงกันไป โดยเว้นระยะห่างพอสมควรผู้ที่เป็นเสือต้องกระโดดข้ามให้พ้นหมดทุกห้วยถ้าตายที่ห้วยใดห้วยหนึ่งผู้เล่นเป็นเสือทุกคนจะต้องตายหมดกลายมาเป็นห้วยแทนสลับกัน

การเล่นชนิดนี้ผู้เป็นเสือ ได้ฝึกความสังเกต และความสามารถในการกระโดดสูงและสำหรับผู้ที่เป็นห้วยได้บริหารส่วนแขนและขาตามท่าต่างๆ อีกด้วย

ภาคใต้มีการเล่นชนิดนี้ เรียกว่า "ปลาวิ่งป้อง" เรียก "เสือ" เป็น "ปลา" "ห้วย" เป็น "ป้อง" บางจังหวัดก็เรียก "ช้างข้ามห้วย"

การเล่นเสือข้ามห้วยหมู่
การเล่นเสือข้ามห้วยหมู่
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

การเล่นในร่ม
สีซอ
ผู้เล่น ๒ คน อุปกรณ์การเล่นมีเส้นด้ายหรือเชือกเส้นเล็กๆ ขนาดยาวพอสมควรผูกเป็นวงกลมเชือกต้องไม่สั้นเกินไปมิฉะนั้นจะสีซอไม่ได้

วิธีเล่น คล้องเชือกด้วยนิ้วชี้และนิ้ว ก้อยทั้ง ๒ ข้าง ผู้เล่นคนแรกสอดนิ้วกลางไปที่เส้นเชือกทั้งสองมือ เส้นเชือกจะอยู่ในลักษณะไขว้กัน ๒ ปม มีเส้นตรงคู่ขนานอยู่ด้านนอกด้านละ ๑ เส้น ผู้เล่นอีกคนหนึ่งสอดมือเข้าระหว่างเชือกที่เป็นปมกับเส้นขนานกดเส้นตรงทั้งสองเส้นลงมือของผู้ถือเชือกจะอยู่ในท่าพนมผู้เล่นอีกคนหนึ่งเอาห่วงตรงนิ้วหัวแม่มือคล้องข้าม มือไปไว้ระหว่างนิ้วนางและนิ้วก้อยและเอาห่วงตรงนิ้วก้อยสลับข้ามมาคล้องทิ้งไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือผู้ถือเชือกกางมือออกเชือกจะมีลักษณะไขว้กัน ๒ อัน ผู้เล่นอีกคนหนึ่ง ใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้ทั้งสองมือที่จับปมไขว้สอดลงใต้เส้นตรงทั้งสองเส้นดึงเชือกออกจากมือผู้ถือคนแรกเส้นเชือกจะอยู่ในลักษณะไขว้เป็นตารางขนมเปียกปูนเล็กๆ โดยมีปมไขว้สี่ปมคือ ปมด้านข้างสองปมและปมด้านหน้ามือสองปม ผู้เล่นอีกคนหนึ่งใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างจับปมที่ด้านข้าง ยกขึ้นมาสอดลงระหว่างช่องว่างดึงเชือกออกจากมือผู้ถือเชือกจะเปลี่ยน เป็นรูปเส้นขนาน ๒ เส้น อยู่ตรงกลาง คู่ขนาน ๒ คู่อยู่ด้านนอกใช้นิ้วก้อยทั้งสองข้างเกี่ยวเส้น ขนานด้านในข้างละเส้นสลับมือกัน โดยเกี่ยวดึงไขว้มาแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือสอดเส้นคู่ทั้งสองขึ้นเชือกจะเปลี่ยนเป็นเส้นขนาน ๒ เส้นอยู่ด้านบนปมไขว้สองปมอยู่ด้านล่าง ผู้เล่นอีกคนหนึ่งจับปมด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ยกสอดลงระหว่างเส้นคู่ขนานด้านบนเชือกจะกลายเป็นปมรูปขนมเปียกปูนอันใหญ่หนึ่งอันใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับที่ปมกดลงล่างเชือกจะเปลี่ยนรูปไปเป็นสี่เหลียมขนมเปียกปูนที่มีเส้นคู่ขนานอยู่ภายในเป็นแกนกลางผู้เล่นอีกคนหนึ่งจะได้สีซอ โดยการดึงเส้น คู่ขนาน ๑ เส้นขึ้นเส้นหนึ่งดึงลงไปๆ มาๆ เหมือนเวลาสีซอเป็นอันจบเกมการละเล่นชนิดนี้การเล่นชนิดนี้ฝึกความสังเกตและความคิด

การเล่นสีซอ
การเล่นสีซอ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม

 

หมากเก็บ 
วิธีเล่น มีการเสี่ยงทายว่าใครจะได้เล่นก่อนด้วยวิธีขึ้นร้าน คือ ถือหมากทั้งห้าเม็ด (จะใช้อะไรก็ได้ ที่มีลักษณะกลมแต่ไม่ถึงกับกลิ้งไปมา) ไว้แล้วโยนพลิกเอาหลังมือรับแล้วพลิกมือกลับรับอีกทีใครได้มากที่สุดคนนั้นเล่นก่อนมีทั้งหมด ๕ หมาก หมากที่ ๑ ทอดหมากให้ห่างๆ กัน เลือกลูกนำไว้ ๑ เม็ด ใช้เม็ดกรวดที่ห่างที่สุดโยนเม็ดนำขึ้นแล้วเก็บทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่หล่นลงมาให้ได้ถ้ารับไม่ได้ ถือว่า "ตาย" ขณะหยิบเม็ดที่ทอดนั้นถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นก็ถือว่า ตาย คนอื่นเล่นแทนต่อไปและทำเช่นเดียวกันในหมากที่ ๒ แต่เก็บทีละ ๒ เม็ด หมากที่ ๓ เก็บ ๓ เม็ด และ ๑ เม็ด หมากที่ ๔ ใช้โปะไม่ทอด คือ ถือหมากทั้งหมดไว้ในมือโยนลูกนำขึ้นแล้วโปะเม็ดที่เหลือลงพื้นแล้วรวมทั้งหมดถือไว้ "ขึ้นร้าน"ได้กี่เม็ดเป็นแต้มของคนนั้นถ้าขึ้นร้านเม็ดหล่นหมดใช้หลังมือรับไม่ได้ถือว่าตายไม่ได้แต้มคนอื่นเล่นต่อในตาต่อไปถ้าใครตายหมากไหนก็เริ่มต้นที่หมากนั้นใหม่

วิธีเล่นหมากเก็บนี้มีพลิกแพลงหลายอย่าง เช่น โยนลูกนำขึ้นเก็บเม็ดทีละเม็ดเมื่อเก็บได้เม็ดหนึ่งก็โยนขึ้นพร้อมลูกนำ ๒ - ๓ - ๔ เม็ดตามลำดับ หมาก ๒ - ๓ - ๔ ก็เล่นเหมือนกันโยนขึ้นทั้งหมดและต้องรับให้ได้ทั้งหมด เรียกว่า หมากพวง

ถ้าโยนลูกนำขึ้นเล่นหมาก ๑ - ๒ - ๓ - ๔ แต่พลิกข้างมือขึ้นรับลูกนำให้เข้าในมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้โดยทำนิ้วเป็นรูปวงกลมเตรียมไว้เรียกว่า หมากจุ๊บ ถ้าใช้มือซ้ายป้องกันและเขี่ยหมากให้เข้าในมือนั้นทีละ ๑, ๒, ๓ และ ๔ เม็ด ในหมาก ๑ , ๒, ๓ และ ๔ ตามลำดับ เรียกว่า อีกาเข้ารัง ถ้าเขี่ยไม่เข้าจะ "ตาย" ถ้าใช้นิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือยันพื้นนิ้วอื่นปล่อยทำเป็นรูปซุ้มประตูเขี่ยหมากออกเรียกว่า อีกาออกรัง ถ้าใช้นิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือขดเป็นวงกลม นิ้วชี้ชี้ตรง นิ้วนอกนั้นยันพื้นเป็นรูปเหมือนรูปู ก็ เรียกว่า รูปู เมื่อจบเกมการเล่นแล้วจะมีการกำทาย ผู้ชนะ จะทายผู้แพ้ว่าหมากในกำมือมีกี่เม็ดถ้าทายผิดต้องถูกเขกเข่าตามจำนวนเม็ดที่ตนเองทายจนเหลือเม็ดสุดท้ายคนทายจะถือเม็ดไว้ในมือแล้ววนพร้อมทั้งร้องเพลงประกอบเมื่อร้องจบเอามือหนึ่งกำไว้งอข้อศอกขึ้นตั้งบนมือที่กำอีกข้างหนึ่ง

บทร้องประกอบการเล่น คือ ตะลึงตึงตังข้างล่างห้าข้างบนสิบถ้าทายผิดต้องโดนเขกเข่า 
ภาคใต้เรียกการเล่นชนิดนี้ว่า "หมากโตน" ภาคเหนือเรียก "หมากเก็บไม้หรือไม้แก้งขี้" (เดิมใช้ไม้) แต่ละภาคมีการเล่นพลิกแพลงต่าง ๆ กันการเล่นชนิดนี้ฝึกความสังเกต ความว่องไว ไหวพริบและความจำภาคอีสาน เรียกว่า "เก็บเม็ด" "เก็บไม้"
 

การทายหมากเก็บ
การทายหมากเก็บ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

การเล่นกลางแจ้งและในร่ม
ลิงชิงเสาหรือลิงชิงหลัก 
จากหลักฐานในวรรณคดีเรียกการเล่นชนิดนี้ว่า "ลิงชิงเสา" ต่อมาไม่ได้เล่นเฉพาะใต้ถุนบ้านเท่านั้นนำไปเล่นกลางแจ้งปักหลักตามจำนวนคนเล่นแต่ให้หลักมีน้อยกว่าจำนวนคนหนึ่งคน

วิธีเล่น ใช้เสาเรือนเป็นหลัก ผู้เล่นอย่างน้อย ๓ คน หลักมีจำนวนน้อยกว่าคนเล่นหนึ่งคนจะมีคนหนึ่งที่ไม่มีหลักจับผู้เล่นทั้งหลายสมมุติเป็นลิงวิ่งเปลี่ยนหลักกันจากหลักโน้นไปหลักนี้ ลิงที่ไม่มีหลักต้องคอยชิงหลักให้ได้ถ้าชิงหลักของใครได้คนนั้นต้องเป็นลิงหลักลอยคอยชิงหลักต่อไปการเล่นชนิดนี้ฝึกความสังเกต ความว่องไว ความมีไหวพริบ และเป็นการออกกำลังกายอย่างดีการเล่นลิงชิงหลักนี้มีในภาคใต้บางทีก็เรียกว่า "หมาชิงเสา" ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า "จ้ำหนูเนียม" วิธีเล่นแตกต่างออกไปคือมีบทร้องประกอบว่า "จ้ำหนูเนียมมาเตียมถูกหลัก" ผู้ที่ไม่มีหลักเรียกว่าคนจ้ำจะร้องบทร้องบทนี้แล้วชี้ไปยังหลักต่างๆ ถ้าคำว่า "หลัก" ไปตกที่คนใด คนนั้นต้องรีบเปลี่ยนเสาคนอื่นจะวิ่งไปจับหลักและเสาต้นอื่น คนจ้ำก็ต้องพยายามแตะตัวคนวิ่งให้ได้ถ้าใครถูกแตะตัวก็ต้องเป็นคนจ้ำแทน

การเล่นลิงชิงเสา หรือลิงชิงหลัก
การเล่นลิงชิงเสา หรือลิงชิงหลัก
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

ขายแตงโม 
วิธีเล่น ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวนคนหนึ่งเป็นคนซื้ออีกคนหนึ่งเป็นคนขายคนขายต้องนั่งยึดเสาหรือยึดสิ่งถาวรเป็นหลักให้คนที่เป็นแตงโมซึ่งจะมีกี่คนก็ได้นั่งยึดเอาไว้ให้แน่นแล้วให้คนอื่นๆ ยึดเอวต่อๆ กันไปจนหมดจำนวนคนผู้ขายต้องถามว่าจะซื้อใบไหนผู้ซื้อจะเอานิ้วดีดศีรษะเหมือนดีดแตงโมจริงๆ แล้วบอกว่าต้องการใบไหนคนขายให้หยิบเอาเองคนซื้อจะพยายามดึงแตงโมลูกนั้นให้ออกมาผู้ที่เป็นแตงโมจะยึดกันแน่นไม่ยอมปล่อยถ้าแย่งได้แตงโมคนนั้นจะต้องเป็นของผู้ซื้อระหว่างเล่นจะมีการโต้ตอบกัน ดังนี้

ผู้ซื้อ "แตงโมลูกละเท่าไร"
ผู้ขาย "๕ บาท"
ผู้ซื้อ "เลือกได้ไหม"
ผู้ขาย "ได้ ดีดก็ได้ เจาะก็ได้ ชิมก็ได้"
ผู้ซื้อ (จะเอามือดีดศีรษะแตงโม)
 

การเล่นชนิดนี้ฝึกความรักพวกพ้องความพร้อมเพรียงความอดทนความสนุกสนานเกิดจากการโต้ตอบและการดีดศีรษะเล่นภาคอีสานเรียกการเล่นชนิดนี้ว่า "ตะลุมตุมปุ๊ก" 

บทร้องประกอบมีว่าตะลุมตุมปุ๊กหน่วยไหนสุกเลือกได้เลือกเอาหน่วยไหนเน่าส่งเจ้ากลับคืน

 

การเล่นกลางแจ้งหรือในร่มที่มีบทร้องประกอบ
ซักส้าว 
วิธีเล่น ผู้เล่นยืนหันหน้าเข้าหากันยื่นมือทั้งสองยึดกันแล้วโยกแขนไปมาพร้อมทั้งร้องเพลง 
บทร้องประกอบการเล่นมีว่า 
ซักส้าวเอยมะนาวโตงเตงขุนนางมาเองว่าจะเล่นซักส้าวมือใครยาวสาวได้สาวเอามือใครสั้นเอาเถาวัลย์ต่อเข้า

 

โพงพาง 
วิธีเล่น หาคนที่เป็นปลาโดยการจับไม้สั้นไม้ยาวเอาผ้าผูกตาคนที่เป็นปลา แล้วหมุน ๓ รอบ ผู้เล่นคนอื่นๆ ล้อมวงจับมือกันเดินเป็นวงกลมพร้อมกับร้องเพลงประกอบเมื่อจบเพลงนั่งลงถามว่า "ปลาเป็นหรือปลาตาย" ถ้าตอบว่า ปลาเป็นคนที่อยู่รอบวงจะยับเขยื้อนหนีได้ถ้าบอกปลาตายจะต้องนั่งอยู่เฉยๆ หากคนที่ถูกปิดตาทายถูกว่าผู้ที่ตนจับได้เป็นใครผู้ที่ถูกจับนั้นก็ต้องมาเป็นปลาแทนถ้าทายผิดก็ต้องเป็นต่อไป
บทร้องประกอบการเล่นมีว่า 
โพงพางเอยปลาเข้าลอดปลาตาบอดข้าลอดโพงพาง 
การละเล่นชนิดนี้ฝึกความสังเกตความจำและความมีไหวพริบการเล่นชนิดนี้คล้ายการเล่น "เชโค" ของภาคใต้ แต่บทร้องต่างกันมีหลายบทเช่น "เชโคโยยานัด ฉัดหน้าแข้ง เดือนแจ้งมาเล่นเชโค" ทุกบทแสดงว่าเล่นเวลาเดือนหงายบางจังหวัดมีการเล่นเช่นนี้แต่ไม่มีบทร้องเรียกว่า "เสืองม" "นายโม่"
 

การเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่
หม้อข้าวหม้อแกง 
ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์การเล่นนั้นเมื่อก่อนจะมีหม้อข้าวหม้อแกง เตา ครก เครื่องใช้ในการทำครัวขายทำจำลองของจริงมีขนาดย่อมและขนาดเล็ก น่ารัก เด็กจะชอบมาก 
วิธีเล่น นำเครื่องครัวมาใช้หุงหาอาหารแบบผู้ใหญ่บางทีก็ใช้ของจริง เช่น ข้าวนำมาหุง ไข่นำมาทอดบางทีก็ใช้กับข้าวสมมุติ เช่น ใช้ใบไม้ เปลือกผลไม้ นำมาหั่น ทำเป็นกับข้าว ใช้ใบตองห่อทรายสมมุติเป็นขนมนึ่งและใช้เกสรดอกไม้ใส่กระทงทำเป็นขนมหวานต่างๆ

 

โปลิสจับขโมย 
วิธีเล่น ฝ่ายหนึ่งสมมุติให้เป็นขโมยอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโปลิสเพราะสมัยก่อนไม่มีใครเรียก "ตำรวจ" ใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษชะรอยตำรวจจะเป็นอาชีพที่คนเกรงขามมากจึงนำมาตั้งชื่อฝ่ายที่เป็นผู้วิ่งจับและถ้าจับได้ก็มีหน้ามีตาการเล่นนั้นผู้เป็นขโมยจะต้องมีวิธีพลิกแพลง ซ่อน หรือหลบหลีกด้วยวิธีต่างๆ 
การเล่นชนิดนี้ฝึกความมีไหวพริบและออกกำลังภาคใต้มีวิธีเล่นที่คล้ายกัน เรียกว่า "โจรลักวัว" แต่มีการสมมุติเป็นเจ้าบ้านถูกลักวัวไปต่อมานำความไปบอกกำนันผู้ใหญ่บ้านแล้วทั้งหมดจึงตามโจรที่ลักวัวไป

 

การเล่นที่ใช้อุปกรณ์ท้องถิ่น
ขี่ม้าก้านกล้วย 
อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ ก้านกล้วยนำมาตัดเป็นรูปม้าตอนโคนเป็นหัตอนปลายเป็นหางใช้สายจากก้านกล้วยโยงเป็นบังเหียน 
วิธีเล่น นำก้านกล้วยที่ทำเป็นรูปม้าแล้ว มาเป็นตัวม้า ให้ผู้ขี่ขึ้นขี่แล้ววิ่งไปรอบๆ ทำท่าเหมือนขี่ม้าทุกคนแข่งขันกันว่าใครจะวิ่งได้เร็วกว่ากันหรือมิฉะนั้นก็วิ่งไปรอบๆ เหมือนขี่ม้าแข่งการเล่นชนิดนี้ฝึกให้มีจินตนาการและให้ทำท่าเหมือนม้าเป็นการออกกำลังกายอย่างดี

เด็กชายเล่นขี่ม้าก้านกล้วย
เด็กชายเล่นขี่ม้าก้านกล้วย
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

ปี่ตอซัง
ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์การเล่นใช้ตอซังข้าวซึ่งมีลักษณะเป็นปล้องคล้ายไม้ไผ่บางๆ มาปล้องหนึ่งตัดตาปล้องทางโคนทิ้งไปแล้วปาดผิวแฉลบลึกลงไปหาตาปล้องที่เหลือให้มีความยาวประมาณ ๑ เซนติเมตรผิวที่ปาดแฉลบทำหน้าที่เป็นลิ้นปี่

วิธีเล่น เมื่อเป่าอมส่วนที่เป็นลิ้นปี่เข้าไปไว้ในปากแล้วลองเป่าดูโดยปรับเสียงได้ด้วยการเฉือนทางโคนออกให้สั้นเข้ามาเรื่อยๆ จนได้เสียงที่ต้องการถ้าเฉือนจนไม่มีที่จะเฉือนแล้วก็หาปล้องตอซังมาทำใหม่อีกการเล่นประเภทนี้เป็นการนำวัสดุธรรมชาติมาประดิษฐ์เป็นของเล่นเด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเสียงสูง ต่ำ ได้ฝึกประสาทหู และฝึกประดิษฐ์เครื่องดนตรีแบบง่ายๆ เมื่อทำสำเร็จเด็กจะเกิดความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตนเองภาคใต้มีการเล่นปี่ซังข้าว ปี่ใบตอง คือ นำซังข้าว และใบตอง มาทำปี่ สำหรับเป่าและประดิษฐ์เป็นรูปต่างๆ

ปี่ตอซัง
ปี่ตอซัง
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

การเล่นของเด็กชายโดยเฉพาะ
ตีลูกล้อ 
ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์การเล่นยางรถจักรยานหรือวงล้อไม้เป็นซี่ๆ ขนาดเหมาะมือหรือขอบของกระด้งที่ไม่ใช้แล้ว
วิธีเล่น กำหนดจุดเริ่มต้นและเส้นชัยไว้แต่ละคนนำลูกล้อของตนเองมาที่จุดเริ่มต้นและวิ่งเอาไม้ตีลูกล้อให้กลิ้งไปแข่งกันว่าใครจะถึงเส้นชัยก่อนกันผู้ที่ใช้วงล้อจะได้เปรียบเพราะวงล้อมีร่องสำหรับใส่ยางเอาไม้ดันได้สะดวกและตรงกว่า ไม่แกว่งไปแกว่งมาใครถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นก็ชนะ

การเล่นตีลูกล้อ
การเล่นตีลูกล้อ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

สิกไม้ย่างกางเกง 
ในภาคเหนือ ไม้กางเกงมี ๒ ชนิด ชนิดแรกทำด้วยกะลามะพร้าวผ่าครึ่ง ๑ คู่ วางคว่ำลงกับพื้น เจาะรูร้อยเชือกที่ก้นกะลา ข้างละ ๑ เส้น ความยาวเท่าที่จะใช้มือดึงได้ในขณะที่ยืนอยู่ ชนิดที่ ๒ ทำด้วยไม้ไผ่ท่อนโตยาวประมาณ ๑ คืบ ๑ คู่ ยกไม้ไผ่ท่อนเล็กขึ้นคะเนดูสูงตามต้องการแล้วทำเครื่องหมายไว้เจาะรูตรงเครื่องหมายให้ทะลุไปอีกข้างหนึ่งหาไม้เหนียวๆ หรือเหล็ก สอดนำไปในรูทำสลักเอาไม้ท่อนโตมาบากรู สวมลงทางปลายของไม้ไผ่ท่อนเล็กให้เลื่อนลงมาอยู่ตรงสลักแล้วหาผ้ามาพันเพื่อจะได้ไม่เจ็บง่ามเท้า

วิธีเล่น ชนิดที่ ๑ ยืนบนกะลามะพร้าว ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้คีบเชือกไว้ดึงเชือกให้ตึงแล้วยกเท้าก้าวเดิน ชนิดที่ ๒ ขึ้นเหยียบบนท่อนไม้โตมือจับไม้ท่อนเล็กให้ตั้งฉากกับพื้นใช้งามเท้าคีบไม้ท่อนเล็กก้าวเดินคล้ายกับเดินธรรมดาเด็กต้องทรงตัวบนไม้กางเกง ยิ่งสูงยิ่งสนุก แล้วเดินแข่งกัน การเล่นประเภทนี้เป็นการใช้วัสดุตามธรรมชาติในพื้นที่แถบนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องเล่นเป็นการฝึกให้เด็กได้ใช้มือและมีความคิดสร้างสรรค์ในการหัดเล่นเด็กจะได้ฝึกการทรงตัว ฝึกความอดทน ความมานะพยายามและในขณะเล่นเด็กจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน

การเล่นชนิดนี้มีในภาคอื่นๆ การเล่นชนิดที่ ๑ นั้นเล่นกันทั้งเด็กชายและเด็กหญิงส่วนการเล่นชนิดที่ ๒ เป็นการเล่นเฉพาะเด็กชาย การเล่นชนิดที่ ๑ ภาคอีสานเรียกว่า "เดินหมากกุบกับ" ภาคกลางเรียกว่า "เดินกะลา" ภาคใต้เรียกว่า "กุบกับ" การเล่นชนิดที่ ๒  ภาคอีสานเรียกว่า "ขาโถกเถก" ภาคใต้เรียกว่า "ทองสูง"

การเล่นสิกไม้ย่างกางเกง  ชนิดใช้ไม้กางเกงที่ทำจากไม้ไผ่
การเล่นสิกไม้ย่างกางเกง 
ชนิดใช้ไม้กางเกงที่ทำจากไม้ไผ่
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13
การเล่นสิกไม้ย่างกางเกงชนิดใช้ไม้กางเกงที่ทำจากกะลา
การเล่นสิกไม้ย่างกางเกงชนิดใช้ไม้กางเกงที่ทำจากกะลา
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

การเล่นสะท้อนสังคม
หมาตายตึ่ง 
วิธีเล่น ในภาคอีสานผู้เล่นจะสมมุติคนใดคนหนึ่งเป็นหมาเน่าลอยน้ำมาโดยให้นอนหงายลอยน้ำแล้วผู้เล่นคนอื่นๆ จะขมวดผ้าขาวม้าให้เป็นปมทั้งสองชายแล้วคลุมผู้ที่นอนลอยน้ำอยู่ให้ปมทั้ง ๒ ข้างอยู่ที่ศีรษะและเท้า แล้วพุ้ยน้ำให้ผ้าพองขึ้นสมมุติเป็นสุนัขเน่าพองลอยน้ำมา 
การเล่นชนิดนี้ เกิดจากการที่เด็กสังเกตสภาพแวดล้อมแล้วเลียนแบบโดยสมมุติตนเองให้เป็นเช่นนั้นบ้างนอกจากนี้เด็กยังได้ฝึกการลอยตัวในน้ำอย่างสนุกสนานภาคกลางเรียกการเล่นชนิดนี้ว่า "หมาเน่า"

บทล้อเลียนนอกจากบทร้องเล่นแล้วยังมีบทร้องที่แสดงการล้อเลียน ได้แก่

ผมจุก : ผมจุกคลุกน้ำปลาเห็นขี้หมานั่งไหว้กระจ๊องหง่อง
ผมเปีย : ผมเปียมาเลียใบตองพระตีกลองตะลุ่มตุ้นเม้ง
ผมแกละ : ผมแกละกระแดะใส่เกือกตกน้ำตาเหลือกใส่เกือกข้างเดียว
ผมม้า : ผมม้าหน้าเหมือนแมวดูไปแล้วหน้าเหมือนหมา
บทล้อเลียนนี้สะท้อนสังคมในภาคกลางให้เห็นว่าเด็กหญิงชายในภาคกลางไว้ผมอย่างไรและยังช่วยฝึกการใช้ภาษา
 
 
การเล่นในน้ำ
เก้น้ำ 
วิธีเล่น ในภาคใต้มีวิธีเล่น คือ เมื่อตกลงกันว่าใครจะเป็นแม่เก้แล้วผู้เล่นทั้งหมดก็จะพากันว่ายน้ำหนีแม่เก้ก็ไล่จับโดยวิธีว่ายตามหรือดำน้ำตามจับใครได้คนนั้นก็ตายไม่มีการช่วยเหลือกันเหมือนเก้พวกคนถูกจับได้คนสุดท้ายต้องเป็นแม่เก้ต่อไปแล้วเริ่มเล่นเกมใหม่ผู้หนีบางคนจะหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในกอบัว กอกก หรือกอผักตบชวาบางคนฉลาดดำมุดอยู่ใต้น้ำนานเกือบครึ่งชั่วโมงปล่อยให้แม่เก้ตามหาทั้งนี้เพราะฝ่ายที่ดำน้ำใช้วิธีหายใจทางสายบัวเป็นที่สนุกสนานกันบางครั้งแม่เก้กับฝ่ายหนีดำน้ำมาโผล่ขึ้นในที่เดียวกันต้องรีบว่ายหนีและจับกันอย่างสนุกสนานการเล่นประเภทนี้ฝึกการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายเพราะการว่ายน้ำต้องใช้ความสามารถของทุกส่วนนอกจากนั้นยังฝึกความอดทนในการดำน้ำและความมีไหวพริบในการหาที่ซ่อนภาคกลางเรียกการเล่นชนิดนี้ว่า ปลาลงอวน
 
ขนมฝักบัว
ในภาคอีสานผู้เล่นเป็นเด็กหญิงจำนวนเท่าใดก็ได้ อุปกรณ์ใช้ผ้านุ่ง 
วิธีเล่น ผู้เล่นจะนุ่งผ้ากระโจมอกพอลงน้ำแล้วก็พุ้ยอากาศให้เข้าในผ้าถุงเพื่อให้ผ้าโป่งขึ้นรอบๆ ตัวผู้เล่นแล้วรวบชายผ้าไว้ปล่อยตัวให้ลอยน้ำจนกว่าชายผ้านั้นจะหลุดทำให้ผ้าแฟบลง แล้วก็จะเริ่มเล่นใหม่ประโยชน์ของการเล่นชนิดนี้เป็นการฝึกพยุงตัวในน้ำสำหรับผู้ที่ยังว่ายน้ำไม่เป็นผู้ที่ว่ายน้ำเป็นแล้วก็ใช้วิธีนี้สำหรับลอยตัวเล่นเพิ่มความสนุกสนานภาคกลางเรียกการเล่นชนิดนี้ว่า "ตีโป่ง"
การเล่นขนมฝักบัว
การเล่นขนมฝักบัว
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

 

 
การเล่นปริศนาคำทาย
การเล่นชนิดนี้เป็นที่นิยมมากมีเล่นกันทุกภาคเพราะให้ทั้งความสนุกสนานและความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันฝึกให้เด็กรู้จักสังเกตและรู้จักใช้ความคิดในด้านภาษาจะเห็นได้ว่า ปริศนาคำทายเหล่านี้ มักจะมีการเล่นคำและสัมผัสใช้คำง่ายๆ สั้นๆ และคล้องจองกันทั้งยังสะท้อนความเป็นอยู่ความเชื่อและวัฒนธรรมของคนในสังคมนั้นซึ่งจะแตกต่างกันตามสภาพของท้องถิ่นอีกด้วย
ตัวอย่างปริศนา คำทาย ได้แก่ 
ภาคกลาง : 
อะไรเอ่ย ยามเช้าเดินสี่ขา ยามกลางวันเดินสองขา ยามเย็นเดินสามขา  (วัยเด็ก ,วัยหนุ่มสาว, วัยชรา) 
อะไรเอ่ย ออกลูกไปแล้วไม่กลับ (ลูกปืน) 
ภาคเหนือ : 
ตัวเดียว สองหน้า หกลูก (หมอนโบราณ) 
หัวมีสองหัว ตั๋วมีตั๋วเดียว หัวมีสองหัว ตัวมีตัวเดียว (ไม้คาน) 
ภาคใต้ : 
ต้นเป็นไม้ ฟันเป็นเหล็ก มีสองหาง ขี้ออกกลางหัว (กบไสไม้) 
ต้นเท่าครก ใบหกวา ต้นเท่าขา ใบวาเดียว (มะพร้าว , กล้วย) 
ภาคอีสาน : 
เฒ่าหัวล้าน โตนน้ำแต่เดิ้ก 
เฒ่าหัวล้าน กระโดดน้ำแต่เช้า (ขันตักน้ำ) 
กักอยู่ป่า งายูบ้าน บานได้ซูแล้ง 
ต้นอยู่ป่า ง่ามไม้อยู่บ้าน บานทุกเย็น (กระบอกขี้ไต้)
นอกจากปริศนาคำทายซึ่งมักจะเล่นกันในเวลาค่ำคืนหรือฝนตกออกไปไหนไม่ได้เป็นการเล่นสนุกสนานและฝึกสมองไปด้วยแล้วยังมีบทร้องเล่นเด็กชอบร้องไม่มีท่าทางประกอบเป็นการนำสิ่งแวดล้อมมาเป็นเนื้อร้องบางทีก็แฝงจริยธรรมไปด้วย
 
บทร้องเล่น
จันทร์เจ้า 
"จันทร์เจ้าขา ดิฉันถามข่าว พระจันทร์โศกเศร้า ดิฉันเป็นทุกข์ พระจันทร์เป็นสุข ดิฉันสบาย พระจันทร์เดือนหงาย ดิฉันเที่ยวเล่น เดือนมืดไม่เห็น ดิฉันนอนเสีย" แสดงความมีน้ำใจ  
บทร้องเล่นนี้ มักร้องเล่นกันกลางนอกชาน หรือกลางลาน เวลาเดือนหงาย 
ฝนตกฟ้าร้อง
"ฝนตกฟ้าร้อง น้ำนองท่วมบ้าน กบเขียดวิ่งพล่าน แมลงเม่าบินไขว้" 
บทร้องเล่นนี้ มักร้องเล่นกัน เมื่อฝนตก ไปไหนไม่ได้ ก็ร้องเล่นตามสิ่งแวดล้อม 
ผงเข้าตา 
"ผงเข้าตา แมงดาหยิบออกจะคดข้าวตอกให้แมงดากิน" แสดงความกตัญญู
 
การละเล่นของเด็กไทยยังมีอีกมากมายจะเห็นได้ว่าการละเล่นต่างๆ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ในการพัฒนาร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และการปฏิบัติตนในสังคม กล่าวคือ บริหารกายทุกส่วนให้แข็งแรงและว่องไวมีอารมณ์แจ่มใส สนุกสนาน ร่าเริง มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีไหวพริบ มีความสังเกต ความคิด ความจำ มีการตัดสินใจที่ดี มีความรับผิดชอบ ความสามัคคีความเห็นอกเห็นใจอันเป็นคุณธรรมอันดีนอกจากนั้นยังฝึกให้มีความสามารถทางภาษาอันเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญอีกด้วย
การละเล่นของไทย หากได้มีการฟื้นฟูบางอย่างให้เหมาะสมจะเป็นการช่วยทางด้านเศรษฐกิจ เช่น นำวัสดุในท้องถิ่น มาทำเป็นของเล่น
 
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow