1. ศึกษาฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคนั้น ๆ โดยตรง
ด้วยการทดสอบในห้องทดลองและวิเคราะห์ผลว่า หลังจากที่เชื้อรา แบคทีเรียหรือไวรัส ได้รับวิตามิน เช่น วิตามิน C, ธาตุสังกะสี ในหลอดทดลองแล้ว มีผลทำให้เซลล์เชื้อโรคนั้นตายมากกว่าในหลอดที่ไม่ได้รับวิตามินหรือไม่
2. ศึกษาว่าวิตามินไปกระตุ้นภูมิต้านทานร่างกาย ด้วยการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวหรือไม่
การวัดผลกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำได้ใน 2 แบบ คือ
วัดการสร้างเอนไซม์หรือแอนติบอดี้ที่เซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างออกมาเพื่อฆ่าเชื้อนั้น ๆ
เจาะเลือด ดูปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มากขึ้น และเซลล์เชื้อโรคที่ลดจำนวนลง
การวัดผลที่กล่าวมาทั้งหมด เมื่อมาประกอบกันจากหลาย ๆ การศึกษา จึงจะยืนยันได้ว่าวิตามินที่นำมาศึกษานั้นสามารถป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่ ซึ่งอาจมาจากฤทธิ์ที่วิตามินนั้นฆ่าเชื้อโดยตรง หรือวิตามินไปกระตุ้นระบบภูมิต้านทานเพื่อไปออกฤทธิ์ต่อเชื้อนั้น ก็ได้เช่นกัน
1. วิตามิน C
โดยปกติแล้วเราได้รับ วิตามินซี จากอาหาร แต่ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการเสริมภูมิต้านทานป้องกันไวรัส ขนาดที่มีขายทั่วไปคือ 500 mg ถึง 1000 mg ต่อเม็ด ซึ่งน้อยกว่างานวิจัยในต่างประเทศที่พบว่าการใช้วิตามิน C รูปแบบฉีด 20,000 mg ช่วยให้ผู้ป่วยที่ติดไวรัสโควิดมีอาการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้มีการศึกษาในเชิงลึกว่าการใช้วิตามิน C จะไปกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวหลายชนิดในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น จนสามารถจัดการกับเชื้อไวรัสต่าง ๆ ที่เข้ามาในกระแสเลือด กลไกจึงไม่ใช่การฆ่าเชื้อไวรัสโควิดโดยตรง แต่ไปกระตุ้นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
2. วิตามินดี
โรคโควิดมักมีอาการรุนแรงในคนที่มีโรคประจำตัวและคนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ เช่น คนที่ได้รับยาต้านมะเร็ง คนสูงอายุที่มักมีปัญหาโรคไต โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคไตมักมีภาวะขาดวิตามินดีอยู่แล้ว เมื่อมีการทดสอบด้วยการให้วิตามินดีเข้าไป ก็พบว่าผู้สูงอายุมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรุนแรงของโรคลดลงอย่างมากได้ อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วเราทุกคนสามารถได้รับวิตามินดีจากแสงแดดตามธรรมชาติ โดยเฉพาะการออกกำลังกายในช่วงเช้า 6-7 โมงเช้า นอกจากนี้ ยังมีความนิยมใส่วิตามินดีผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงกระดูกคู่กับแคลเซียม เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมของแคลเซียม หากคุณรับประทานสูตรแคลเซียมผสมวิตามินดีอยู่แล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้รับวิตามินดีที่จะช่วยเสริมภูมิต้านทานโดยปริยาย
3. ธาตุสังกะสี
ธาตุสังกะสีเป็นที่รู้จักดีในการเสริมภูมิต้านทาน กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทั้งนี้มีการศึกษาในห้องทดลองพบว่าธาตุสังกะสีสามารถเพิ่มฤทธิ์ของวิตามิน C ในการกระตุ้นภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงขึ้น และยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนที่ทำให้ไวรัสเติบโตขยายพันธุ์ในร่างกาย การรับประทานสังกะสีเป็นประจำในปริมาณไม่เกิน 75 mg จึงทำให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น สามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิด
1. กระเทียมสกัด
ในน้ำมันกระเทียมมีสารอัลลิซินที่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าสามารถจัดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้หลายชนิด ทั้งยังช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานดีขึ้น ผู้ที่รับประทานน้ำมันกระเทียมเพื่อใช้ลดไขมันคอเลสเตอรอลในร่างกาย จึงมีโอกาสได้รับผลดีต่อสุขภาพด้านการป้องกันไวรัสโควิดร่วมด้วย
2. ขมิ้นชันสกัด
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่เราคนไทยรู้จักกันมานาน โดยโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐและเป็นผู้นำด้านการวิจัยสมุนไพร ก็ยังมีการผลิตขมิ้นชันอยู่ตลอดปี ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงมากในช่วงที่ไวรัสโควิดแพร่ระบาด มีการศึกษาจำนวนมากที่พบว่า ขมิ้นชันช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันร่างกายให้เซลล์เม็ดเลือดขาวจับเชื้อโรคที่เข้ามาในระบบทางเดินหายใจได้ดีขึ้น โดยในสารสกัดจากขมิ้นชันมีสารสำคัญชื่อเคอร์คูมินในปริมาณสูง จะเป็นตัวหลักในการยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในปอด
3. วิตามินสกัดจากโสม
โสมเป็นพืชที่ถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งสมุนไพร มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ได้รับการยอมรับจากแพทย์แผนโบราณและแพทย์ในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ว่ามีสารหลายชนิด เช่น จิงเซนโนไซด์ ที่สามารถกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการหลั่งโปรตีนไปจัดการฆ่าเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ให้ออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ในอดีตจึงมีการใช้โสมเพื่อบำรุงสุขภาพเพื่อให้อายุวัฒนะหรือทำให้อายุยืนนับร้อยปี การบริโภคโสมสกัดจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการป้องกันการติดเชื้อไวรัสหลายชนิด รวมถึงการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งได้อีกด้วย
คำถามที่มีคนสงสัยกันมากคือ เมื่อรู้แล้วว่าวิตามินนั้น ๆ ช่วยป้องกันโควิดได้ แล้วเราควรกินในปริมาณเท่าใด ได้รับจากอาหารเพียงพอไหม มีการสรุปทางการแพทย์กล่าวว่า เราควรกินวิตามินรูปแบบสกัดเข้มข้นในปริมาณที่เพียงพอถึงจะช่วยป้องกัน COVID-19 ได้ เพราะวิตามินที่เราได้จากการรับประทานอาหารนั้น เป็นการคำนวณให้เพียงพอต่อการทำงานที่เป็นปกติของร่างกาย เพื่อไม่ให้เราขาดวิตามินในแต่ละวัน หรือเรียกว่าเป็นไปตามสัดส่วนของค่า Thai RDA หรือ Thai Recommended Daily Dose ซึ่งเราสามารถดูได้จากฉลากของอาหารคาวหวานและขนมต่าง ๆ ที่ได้รับการจดทะเบียนกับ อย.
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าสำหรับการป้องกันไวรัสโควิดนั้น การได้รับวิตามินจากสารอาหารอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ ทั้งยังทำให้เราได้รับสารอาหารส่วนเกินในหมู่โภชนาการอื่นมากเกินไปด้วย เช่น จากขนม เราก็จะได้น้ำตาล ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน หากเป็นเนื้อสัตว์ จะทำให้เราได้รับโปรตีนมากเกินไป อาจจะเป็นภาระต่อการทำงานของไตได้
ดังนั้นขนาดของวิตามินที่เหมาะสมต่อการบำรุงร่างกายหรือป้องกันโรคบางอย่างจึงต้องคำนึงถึงหลักฐานจากการวิจัยสมัยใหม่ ที่ศึกษาในคนอาสาสมัครหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคนั้น ๆ ที่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่าให้ผลจริง จึงจะสามารถหวังผลลัพธ์ที่ดีได้และไม่ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์
แม้จะรับประทานหรือฉีดวิตามิน เช่น วิตามินซี ในการป้องกันความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว แต่ก็ห้ามละเลยขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ การล้างมือด้วยน้ำสะอาดบ่อย ๆ ใช้เจลแอลกอฮอล์สเปรย์วัตถุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น พัสดุไปรษณีย์ ราวบันได ที่จับประตู ฯลฯ หมั่นทำความสะอาดมือเป็นประจำ และที่ขาดไม่ได้คือ การสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี พร้อมกับรักษาระยะห่างจากผู้อื่นไว้อย่างน้อย 2 เมตรเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัส COVID-19 เข้าสู่ร่างกายด้วย
หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านได้รับสาระความรู้เรื่องสรรพคุณของวิตามินต่าง ๆ สำหรับการป้องกันไวรัสโควิด รวมถึงเข้าใจในหลักการออกฤทธิ์ของวิตามินต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือเม็ดเลือดขาวเพื่อป้องกันโรค ทั้งยังรู้วิธีเลือกบริโภควิตามินอย่างถูกต้อง ระหว่างวิตามินธรรมชาติจากอาหาร และวิตามินสกัดเข้มข้นแบบต่าง ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพต่อไป