ในแต่ละปีมีน้อง ๆ ที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดจำนวนไม่น้อยเดินทางเข้ามาเรียนในโรงเรียนดังในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล บ้างมาเพราะคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเลยส่งไปอยู่ประจำหรืออยู่กับญาติหรือแม้แต่ให้อยู่หอพักตามลำพัง บ้างก็มาเพราะอยากประลองวิชากับเพื่อนนักเรียนจากทุกสารทิศทั่วไทยในสนามสอบเข้าโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ๆ ส่วนเรื่องที่สอบได้แล้วจะมาเรียนหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที ในขณะที่บางคนก็มุ่งมั่นเต็มที่ที่จะเข้ามาเตรียมตัวใช้ชีวิตในเมืองหลวงแต่เนิ่น ๆ ก่อนถึงเวลาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฝันที่อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน และบ้างก็เชื่อว่าการได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนดังระดับประเทศนั้นย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่าการเรียนต่อมัธยมปลายของโรงเรียนที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน
แต่ไม่ว่าน้องจะอยากเข้าโรงเรียนดัง ๆ เหล่านั้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม พี่มดว่าเราลองมาดูกันหน่อยมั้ยคะว่ามีสิ่งใดบ้างที่น้องควรเตรียมพร้อมก่อนจะสมัครสอบเข้าโรงเรียนดังกล่าว
เราจำต้องยอมรับว่า หากน้องจากบ้านมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นการพักอาศัยที่บ้านญาติพี่น้องหรือการมาอยู่หอพัก ก็เท่ากับครอบครัวของน้องจะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น หากน้องอยู่บ้านญาติ อย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องช่วยเรื่องค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารที่ญาติต้องจ่ายเพิ่มเมื่อมีน้องมาอาศัยอยู่ด้วย และหากน้องอยู่หอ ซึ่งหอที่ดีที่สุดย่อมเป็นหอที่ปลอดภัยที่สุดและใกล้โรงเรียนที่สุด ค่าเช่าจึงมักจะสูง ดังนั้น ค่าใช้จ่ายของน้องก็จะมีทั้งค่าหอ ค่าน้ำค่าไฟค่าข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ แถมด้วยค่าเดินทางไปกลับระหว่างหอพักและโรงเรียน ยังไม่รวมเบี้ยเลี้ยงหรือค่าข้าวค่าขนมของน้องที่ต้องเพิ่มขึ้นตามค่าครองชีพในเมืองหลวงซึ่งอาจมากกว่าต่างจังหวัดเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียน หากเป็นโรงเรียนรัฐบาล อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่หากเป็นโรงเรียนเอกชน โรงเรียนสาธิต หรือโรงเรียนสองภาษา ในกรุงเทพฯ ก็แน่นอนว่าค่าเล่าเรียนและค่าอุปกรณ์การศึกษาต่าง ๆ สูงกว่าโรงเรียนในต่างจังหวัดอยู่พอสมควร
นอกจากค่าใช้จ่ายประจำแล้ว ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายจรไว้ด้วย เช่น กรณีน้องเกิดเจ็บป่วยขณะอยู่ไกลบ้าน จำต้องนอนโรงพยาบาล ทางบ้านก็อาจจะต้องลงทุนกับการซื้อประกันสุขภาพเผื่อไว้ด้วยนะคะ
ดังนั้น หากครอบครัวไม่มีความพร้อมด้านการเงินอย่างเต็มที่ แต่ตัวน้องเองยังต้องการอยากเข้ามาใช้ชีวิตนักเรียนในกรุงเทพฯ พี่มดขอแนะนำให้น้องพิจารณาและหาข้อมูลเรื่องการขอทุนการศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อน้องอยู่ ม. 3 แล้ว เวลาเตรียมตัวเหลืออีกไม่นาน ยิ่งต้องรีบเร่งดำเนินการเรื่องนี้เลยล่ะค่ะ
เคยสังเกตตัวเองมั้ยคะว่า เมื่ออยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเองมากน้อยแค่ไหนอย่างไร เช้าตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียนเองหรือเปล่า เคยเตรียมอาหารเช้าเองมั้ย เดินทางไปโรงเรียนเองเป็นมั้ย ชุดนักเรียนหรือเสื้อผ้าอื่นชำรุด เราพอซ่อมแซมเองได้บ้างมั้ย กลับมาบ้านเคยช่วยทำงานบ้านมั้ย เรื่องทำการบ้านอ่านหนังสือ เราทำเองโดยไม่ต้องมีใครคอยบอกคอยเตือนหรือไม่
ถ้าคำตอบคือ คุณแม่ต้องปลุกทุกเช้า พอน้องงัวเงียลุกไปเข้าห้องน้ำก็แอบงีบต่ออีกหน่อยจนคุณแม่ต้องมาเคาะประตูเรียก กว่าจะต้วมเตี้ยมอาบน้ำแต่งตัวก็แทบหมดเวลากินอาหารเช้า ถ้าผู้ใหญ่ไม่ดุก็ไม่จับการบ้าน ถ้าไม่ใกล้สอบก็ไม่อ่านหนังสือ
ถ้าอาการประมาณนี้ล่ะก็ พี่มดบอกได้เลยว่า การจะไปใช้ชีวิตตามลำพังซ้ำห่างไกลกันคนละจังหวัดกับครอบครัวของน้อง .. งานช้างเลยค่ะ น้องต้องรีบเร่งปรับปรุงตัวขนานใหญ่ (มากกก ก. ไก่ร้อยตัว)
เริ่มจากทุกเช้า น้องต้องตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อจะหัดตื่นเอง ตื่นให้ตรงเวลาทุกวัน และตื่นให้เช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ยังต้องคำนวณเลยว่าต้องอาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในกี่นาที เพราะสิ่งที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลต่างจากจังหวัดอื่น ๆ มากที่สุดคือเรื่องการจราจรค่ะ! กรุงเทพฯ รถติดขนาดที่เด็กนักเรียนต้องออกจากบ้านกันตั้งแต่ยังไม่สว่าง จึงมักถึงโรงเรียนกันแต่เช้าตรู่ เพราะฉะนั้น หลังตื่นนอน ให้รู้เลยว่าน้องมีเวลาไม่นานเลยก่อนจะต้องออกเดินทางไปโรงเรียน จะมาชิล ๆ แบบตอนอยู่บ้านต่างจังหวัดที่ถนนโล่ง เดินทางสะดวกนั้นไม่ได้แน่ ๆ
นอกจากนี้ การที่เด็กนักเรียนในกรุงเทพฯ ต้องไปถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ทำให้พวกเขามักจะฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหารในโรงเรียน ซึ่งถ้าน้องเคยชินกับอาหารรสมือคุณแม่หรือสมาชิกครอบครัวคนใดก็แล้วแต่ และไม่ปลื้มกับอาหารสำเร็จรูป น้องยิ่งต้องเร่งฝึกเรื่องการทำอาหารเอาไว้ให้จงดีเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องการซักรีดเสื้อผ้า ทำความสะอาดห้องหับที่หลับที่นอน การดูแลความปลอดภัยของตัวเองไม่ว่าขณะอยู่ ณ ที่พักหรือขณะเดินทางไปไหนต่อไหน โดยเฉพาะดูแลไม่ให้ตัวเองหลุดเข้าไปในที่อโคจร อย่างสถานบันเทิงต่าง ๆ ในกรณีที่มีเพื่อน ๆ ชักชวน เป็นต้น
จากเรื่องอาหารการกินการอยู่ ก็มาเรื่องการรับผิดชอบเรื่องเรียน น้องต้องหัดจัดสรรเวลาให้ดี หลังเลิกเรียน ต้องรีบกลับบ้านมาจัดเตรียมชุดนักเรียนกับข้าวของเครื่องใช้สำหรับการเรียนในวันรุ่งขึ้นด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครมาคอยเตรียมให้อีกแล้ว การบ้านก็ต้องรีบทำ เพราะถ้าไม่รีบ ต้องนอนดึก เช้าอาจหลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกหรือเผลอกดปิด แล้วไปโรงเรียนสายเอาง่าย ๆ ลองนึกดูว่า ถ้าน้องเกิดไปสายเอาวันสอบ เข้าห้องสอบไม่ทัน ชีวิตจะวุ่นวายแค่ไหน!
ประการสำคัญ น้องต้องเรียนรู้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เกิดไม่สบายในยามกลางค่ำกลางคืน จะติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครที่ไว้ใจได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ต้องปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองเพื่อเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ เพราะเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเกิดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวจึงประมาทไม่ได้เลย
จากเด็กวัยมัธยมต้นที่เคยอยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ คุ้นเคยกับบรรยากาศความเป็นครอบครัว มีพี่มีน้อง หรือบางบ้านอาจมีคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย ฯลฯ ไหนจะเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันมาแต่เล็กแต่น้อย ไหนจะเพื่อนที่โรงเรียนซึ่งอาจเรียนด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย ไหนจะกิจกรรมสนุก ๆ ฉบับเด็กต่างจังหวัดอย่างพวกกีฬากลางแจ้งต่าง ๆ ซึ่งน้องอาจเคยมีเวลาเหลือเฟือ เล่นได้ทุกวี่วัน เนื่องจากจังหวัดที่น้องอยู่ไม่ได้มีปัญหาการจราจรอย่างกรุงเทพฯ ความคุ้นเคยเหล่านี้จะหมดไปเมื่อน้องต้องมาอยู่ตามลำพังในจังหวัดที่ห่างไกลบ้านเกิด และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจของน้องแน่ ๆ ก็คือความเหงาค่ะ
โชคยังดีที่ยุคนี้เป็นยุคดิจิทัล ก็อาจติดต่อสื่อสารกับทางบ้านได้สะดวกสบายและสม่ำเสมอ แต่ถ้าหากครอบครัวของน้องขาดทักษะการสื่อสารออนไลน์หรือไม่มีความพร้อมด้านนี้ น้องก็ต้องฝึกใจตัวเองให้เข้มแข็งไว้มาก ๆ เพราะการย้ายโรงเรียน โดยเฉพาะย้ายข้ามจังหวัด ซึ่งหมายถึงเราต้องย้ายที่พักอาศัยด้วยนั้น หากน้องเหงาขึ้นมา เรื่องจะมางอแง ร้องขอย้ายกลับโรงเรียนเดิม กลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ๆ การที่น้องจะเข้าเรียน ม. 4 โรงเรียนดังนั้น ทางบ้านต้องเสียสละเพื่อน้องขนาดไหน ไม่ใช่เพียงเรื่องการเงิน แต่ยังเป็นเรื่องของจิตใจ เพราะการที่ทางบ้านจะปล่อยให้น้อง ซึ่งยังได้ชื่อว่าเป็นเด็กมาใช้ชีวิตไกลบ้านไกลครอบครัวนั้น พวกเขาก็ต้องเข้มแข็งมาก ๆ เหมือนกัน จะห่วงแค่ไหน แต่เพื่ออนาคตและความฝันของลูกหลาน ก็ต้องยอมปล่อย
เพราะฉะนั้น ขอให้น้องทบทวนจิตใจของตนเองให้ดีก่อนตัดสินใจมุ่งสู่ ม. 4 โรงเรียนดังนะคะ .. ว่าความเข้มแข็งของเรานั้นมีมากพอที่จะคุ้มกับความเสียสละของทางบ้านหรือไม่ เพราะเมื่อเราตัดสินใจก้าวออกมาแล้ว เรื่องจะย้อนกลับก็อย่างที่พี่มดบอกค่ะ .. ไม่ง่ายเลย
เมื่อต้องเจอกับความเหงา จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ การได้เข้าไปอยู่ในสังคมใหม่ มีเพื่อนใหม่ ๆ ก็อาจจะช่วยให้ความเหงาลบเลือนไปบ้าง แต่นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องเตรียมใจไว้ เพราะเรายังไม่ทราบหรอกว่า ใครมีเจตนาและความประพฤติดีร้ายยังไง น้องจึงต้องหัดเตือนตัวเองไว้เสมอว่า หากได้เข้าเรียนชั้น ม. 4 โรงเรียนดังได้ตามที่ใฝ่ฝัน ต้องไม่รีบสนิทสนมกับเพื่อนใหม่เร็วเกินไปและไม่ด่วนไว้ใจใครมากเกินไป ฝึกตัวเองให้หัดสังเกตอุปนิสัยและความประพฤติของคนรอบข้างไว้เสมอ ไม่ใช่มองโลกมองคนในแง่ร้ายนะคะ แต่ให้สังเกตและระวัง เมื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือรู้สึกไม่แน่ใจ รีบปรึกษาครูหรือแจ้งให้ที่บ้านทราบทันที หากเราฝึกตัวเองให้ทำแบบนี้จนเป็นนิสัย ก็จะช่วยให้เราเอาตัวรอดได้ยามอยู่ไกลบ้านค่ะ
การเข้าโรงเรียนดัง ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องเข้ายากเพราะคู่แข่งเยอะ ต่อให้น้อง ๆ มีความพร้อมทุกข้อที่กล่าวมาเบื้องต้น แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ ก็อดเรียนชัวร์ หรือต่อให้เป็นโรงเรียนดังที่ไม่ต้องสอบเข้าอย่างโรงเรียนเอกชนบางแห่ง แต่เมื่อเข้าเรียนแล้ว ก็ต้องฟิตเต็มที่ไม่แพ้โรงเรียนที่ต้องสอบเข้า ไม่อย่างนั้นน้องอาจตามเพื่อน ๆ ไม่ทัน โดยเฉพาะเพื่อนที่คุ้นเคยกับระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนในกรุงเทพฯ มาแต่ชั้นอนุบาลชั้นประถมซึ่งได้เปรียบเรามากอยู่แล้ว เนื่องจากพวกเขาชินกับบรรยากาศการเรียนของโรงเรียนเหล่านี้ที่มีการแข่งขันสูงกว่าโรงเรียนในต่างจังหวัดค่อนข้างชัดเจน
เพราะฉะนั้น น้องต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่ ขยันค้นคว้าหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ ขอคำแนะนำจากคุณครูและหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเรื่องการสอบเข้าว่าควรเตรียมตัวอย่างไรให้มีความพร้อมลงสนามสอบที่สุด และรักษาระดับความตั้งใจกับความขยันนั้นไว้ให้คงอยู่ไปจนเรียนจบชั้นสูงสุดที่น้องจะเรียนเลยนะคะ
จริงอยู่ที่มาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียนทุกโรงในประเทศเราไม่ได้เท่าเทียมกันเป๊ะ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น พี่มดอยากให้น้องทุกคนเข้าใจว่า โรงเรียนไม่ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังแค่ไหนก็ไม่ใช่โลกทั้งใบของเราค่ะ หากน้องพลาด สอบเข้าไม่ได้ หรือไม่ได้นึกอยากมาเข้าเรียนโรงเรียนเหล่านี้แต่แรก นั่นไม่ได้หมายความว่าน้องจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างเพื่อน ๆ ที่จบโรงเรียนดัง ๆ เพราะความสำเร็จของคนเรามาจากความมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียร ไม่ว่าน้องจะเรียนที่ไหน พี่มดอยากให้น้องมีความภาคภูมิใจในสถาบันของตนเอง และขอแค่ทำให้ดีที่สุด ให้น้องเลือกเรียนในสิ่งที่ตนรักและมีความสุขที่สุดที่ได้เรียน แค่นี้ พี่มดก็เชื่อว่าน้องทุกคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน
โดย พี่มด กัลยภรณ์ จุลดุลย์
อ้างอิง