Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา
Education > TCAS > บทความ
อยากเป็นเด็กทุน .. ต้องลงทุน!

  Favorite

          หากน้อง ๆ เริ่มคิดเรื่องการหาทุนเรียนต่อทั้งในระดับมัธยมปลายและอุดมศึกษา พี่มดขอบอกเลยว่าน้องต้องรีบเตรียมตัวกันตั้งแต่วันนี้เดี๋ยวนี้แล้วนะคะ เพราะในยุคโควิดทำพิษ เล่นเอาเศรษฐกิจโลกซบเซา และฐานะทางการเงินของประชากรโลกนับล้านซวนเซ ชาวไทยเราย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ลูกจ้างรายวัน เจ้าของธุรกิจ หรือเกษตรกรก็ตามที ปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจว่ามีเด็กไทยมากมายที่อยากได้ทุนการศึกษาเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว ซึ่งย่อมหมายความว่าน้องจะมีคู่แข่งในการชิงทุนการศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ

          แต่ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการเตรียมตัว เราต้องเริ่มจากการเตรียมใจก่อน สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่พี่มดอยากให้น้อง ๆ ท่องให้ขึ้นใจก่อนเตรียมการเพื่อขอทุนก็คือ ‘ของฟรีไม่มีในโลก’ ดังนั้น เมื่ออยากได้ทุน เราก็ต้องลงทุนสิคะน้อง ๆ รออะไร อ๊ะ อ๊ะ เห็นพี่มดบอกอย่างนี้อย่าเพิ่งเสียกำลังใจกันค่ะ ตามพี่มดไปอ่านรายละเอียดการเตรียมตัว เตรียมใจ และ ‘เตรียมลงทุน’ ของคนที่อยากเป็นเด็กทุนกันก่อนดีกว่าค่ะ

 

ลงทุนความขยัน

          ที่จริงก็มีหลายหน่วยงานในประเทศไทยที่พิจารณามอบทุนการศึกษาแก่เด็กที่ครอบครัวขาดแคลนทุนทรัพย์โดยไม่นำผลการเรียนมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา อย่างเช่น มูลนิธิยุวพัฒน์หรือมูลนิธิจรูญเอื้อชูเกียรติ แต่ว่าหน่วยงานส่วนใหญ่ที่มอบทุนจะนำผลการเรียนของผู้ขอทุนมาเป็นเกณฑ์พิจารณาที่สำคัญ ดังนั้น สิ่งแรกที่น้อง ๆ ต้องลงทุนก็คือความขยันเรียนนั่นเองค่ะ หากน้องเรียนได้คะแนนดี โอกาสที่จะได้รับทุนย่อมสูงตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ตั้งใจเรียนกันเสียตั้งแต่วันนี้เป็นดีที่สุด ไม่ว่าจะเรียนในโรงเรียนหรืออาจต้องกลับไปเรียนออนไลน์กันอีก ขอแค่เราขยัน ใส่ใจ ทบทวนบทเรียนสม่ำเสมอ ทำการบ้านด้วยตัวเอง ไม่ลอกเพื่อน (จะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจหรือไม่เข้าใจบทเรียน) พี่มดมั่นใจว่าผลการเรียนของน้องทุกคนจะต้องดีขึ้นทันตาเห็น ส่วนใครที่เรียนเก่งอยู่แล้วก็อย่าประมาทค่ะ แข่งกับใครไม่เท่าแข่งกับตัวเอง อย่าคิดว่าเก่งแล้วจะขี้เกียจได้ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนนิทานเรื่อง ‘เต่ากับกระต่าย’ ที่กระต่ายวิ่งแพ้เต่าเพราะความประมาท มัวแต่แวะงีบจนเต่าเข้าเส้นชัยไปก่อน ขอให้น้อง ๆ ท่องไว้เสมอว่าถ้าขี้เกียจเมื่อไหร่ เผลอแป๊บเดียว เพื่อนที่เรียนอ่อนกว่าอาจพัฒนาตัวเองจนเก่งแซงหน้าและชิงทุนการศึกษาที่เคยใกล้แค่มือเอื้อมไปจากเราได้ง่าย ๆ

 

ลงทุนฝึกทักษะด้านภาษาและสอบวัดระดับความรู้ภาษานั้น ๆ

          สิ่งที่สองที่สมควรลงทุนก็คือการเรียนภาษา โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่อด้านภาษาในชั้น ม. ปลายและในระดับอุดมศึกษาค่ะ หากน้องมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาที่สาม เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน รัสเซีย ในระดับดีทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน โดยเฉพาะได้สอบวัดระดับความรู้ภาษาต่างประเทศ อย่าง IELTS และ TOEFL (ภาษาอังกฤษ), SAT (ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ต้องการสอบชิงทุนเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา), CECR, TCF และ DELF (ภาษาฝรั่งเศส), GOETHE-ZERTIFIKAT (ภาษาเยอรมัน), HSK และ YCT (ภาษาจีนกลาง), JLPT (ภาษาญี่ปุ่น), TOPIK (ภาษาเกาหลี) ฯลฯ และยิ่งถ้าคะแนนสูงด้วยแล้ว โอกาสที่จะได้รับทุนการศึกษาก็ยิ่งมีมาก

          น้องบางคนขยันเรียนภาษาอังกฤษจนได้คะแนนดี แถมยังมีความรู้ภาษาที่สามที่ใช้การได้ไม่แพ้ภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เคยไปสอบวัดระดับความรู้ภาษาต่างประเทศเอาไว้เลย ก็อาจทำให้เรามีโอกาสพลาดทุนการศึกษาได้เหมือนกันนะคะ

 

ลงทุนในการสร้างทักษะพิเศษ

          ส่วนน้อง ๆ ที่ต้องการไปเรียนต่างประเทศในระดับมัธยมศึกษาแบบค่าใช้จ่ายไม่สูง การสมัครสอบคัดเลือกเพื่อเข้าโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนก็น่าสนใจอย่างยิ่ง และในกรณีนี้ นอกจากการลงทุนเรียนภาษา ซึ่งไม่ได้หมายถึงภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียว เพราะหากน้องมีทักษะภาษาที่สามอย่างที่ว่ามาข้างต้น ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนในประเทศเจ้าของภาษานั้น ๆ

          พี่มดขอแนะนำให้น้องลงทุนกับการเรียนรู้สิ่งที่เป็นความสามารถพิเศษไว้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถพิเศษที่แสดงถึงวัฒนธรรมไทย อย่างการเล่นดนตรีไทยหรือการรำไทย หรือความสามารถพิเศษด้านกีฬาซึ่งน่าจะช่วยให้น้อง ๆ ได้ใช้ผูกมิตรเมื่ออยู่ต่างแดนด้วยการร่วมเล่นกีฬากับเพื่อนต่างชาติ หรือเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เพื่อน ๆ ได้รู้จัก หรืออาจเป็นความสามารถพิเศษอื่น ๆ ตามความถนัดและความชอบของน้องค่ะ

          อย่างไรก็ดี เรื่องผลการเรียนก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้เป็นเกณฑ์พิจารณารับนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากน้องทำคะแนนสอบได้สูงก็มีสิทธิ์ได้รับทุนส่วนลดค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว

 

ลงทุนในการทำกิจกรรมพิเศษ

          นอกจากการตั้งใจเรียน ใฝ่หาความรู้จนเป็นนิสัย ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงความรู้จากตำราแต่ยังรวมถึงความรู้รอบตัว พี่มดขอแนะนำว่าน้อง ๆ น่าจะหาเวลาทำกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ตามความสนใจและความถนัดของตัวเองกันบ้าง หากชอบศิลปะก็อาจลองส่งผลงานศิลปะเข้าประกวด หรือหากชอบด้านการเขียน ก็อาจส่งผลงานการเขียนร่วมประกวดตามเวทีต่าง ๆ ถึงไม่ได้รางวัลแต่ก็น่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีและได้ฝึกฝีมือของตัวเอง และหากชอบดนตรี การบันทึกคลิปการเล่นดนตรีเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ยูทูปหรือติ๊กต่อก ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้น้องเพลิดเพลินและได้แสดงออกในแพล็ตฟอร์มที่ไม่อันตราย ทั้งยังมีโอกาสได้ทราบความคิดเห็นจากผู้ที่ได้ชมได้ฟังการแสดงของน้องด้วย

          การรวมตัวกับเพื่อน ๆ ไปร่วมกิจกรรมจิตอาสาเพื่อทำประโยชน์ต่อสังคมก็น่าสนใจไม่แพ้กิจกรรมอื่น เพราะนอกจากจะได้ช่วยเหลือสังคมแล้ว ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้น้องได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ที่อยู่ต่างโรงเรียนด้วยค่ะ น้อง ๆ ที่มีประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษเหล่านี้ มักจะได้เปรียบในรอบสอบสัมภาษณ์ เพราะเมื่อได้เจอคนมาก น้องก็มักจะมีความมั่นใจในตัวเอง พูดจาฉะฉาน และมักมีเรื่องแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปพูดคุยกับคณะกรรมการสัมภาษณ์ ยิ่งไปกว่านั้น การทำกิจกรรมที่หลากหลายยังแสดงให้เห็นว่าน้องมีโลกทัศน์กว้างกว่าเด็กวัยเดียวกันที่ตีกรอบตัวเองไว้เพียงการเรียนรู้ในห้องเรียน

 

          การลงทุนที่ว่ามาทั้งหมดนั้นเป็นการลงทุนที่คุ้มเกินคุ้ม เพราะไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสที่น้องจะได้ทุนการศึกษาตามที่ตั้งใจ แต่ยังช่วยให้น้องเป็นเด็กที่มีประสบการณ์ชีวิตแปลกใหม่มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน พี่มดขอเป็นกำลังใจให้น้องทุกคนที่อยากเป็นเด็กทุนประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจนะคะ พวกเราสู้ ๆ ค่า

 

พี่มด กัลยภรณ์ จุลดุลย์

อ้างอิง
https://www.yuvabadhanafoundation.org/th/join/
http://www.nstda.or.th/th/scholarship-in-nstda
https://www.engenius.co.th
https://www.bu.ac.th/th/curriculum/bachelors-degree/scholarships 
https://www.unicef.org/thailand/th/stories/แหล่งทุนการศึกษาสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน
https://campus.campus-star.com/variety/90373.html

 

Tags
Posted by
Plook TCAS
ข่าวค่ายและกิจกรรม
ข่าวรับตรงล่าสุด
Follow us