Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา
Education > TCAS > บทความ
เทคนิคสอบสัมภาษณ์ฉบับเด็ก TCAS

  Favorite

สอบติดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งด่านสุดท้ายที่น้อง ๆ ต้องเจอ นั่นคือ “สอบสัมภาษณ์” ในระบบ TCAS ทั้ง 5 รอบ รอบแรกเน้น Portfolio เน้นการสัมภาษณ์ และยังมีน้อง ๆ สอบถามกันเข้ามาว่า รอบ 2 - 4 ต้องสอบสัมภาษณ์ไหม บอกเลยว่าสัมภาษณ์ค่ะ ยกเว้นบางมหาวิทาลัย บางรอบก็ไม่สัมภาษณ์ ยังไงการสัมภาษณ์ก็จำเป็น มาเตรียมตัวให้พร้อมกันดีกว่ากับ เทคนิคสอบสัมภาษณ์ฉบับเด็ก TCAS 

 

การสอบสัมภาษณ์ รูปแบบของมันขึ้นอยู่กับอาจารย์ในแต่ละมหาวิทยาลัยในแต่ละคณะ แล้วแต่ใครจะทำบุญทำกรรมไว้มากน้อยแค่ไหน แต่หากลองมองดี ๆ จะเห็นว่าเราสามารถแบ่งคำถามออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสอบสัมภาษณ์นั้นก็คือ คำถามเกี่ยวกับตัวเรา, คำถามเกี่ยวกับการเรียน และคำถามวัดกึ๋น ซึ่งหากน้อง ๆ จับจุดของคำถามได้ และมีการเตรียมตัว พร้อมเตรียมคำตอบบวกกับมีสติ ยังไงก็คว้าใจของอาจารย์ได้แน่นอน

 

ส่วนที่ 1 คำถามเกี่ยวกับตัวเรา

“แนะนำตัวเองหน่อย”

การเริ่มบทสนทนาระหว่างอาจารย์และผู้ถูกสัมภาษณ์ แต่เราจะแนะนำตัวส่ง ๆ แบบไม่ให้ความสำคัญกับตรงนี้ ไม่ได้นะ เพราะตรงนี้อาจารย์จะดูว่าเราเป็นคนอย่างไรผ่านการพูดครั้งแรก ฉะนั้นควรมีการเตรียมตัวเรื่องการแนะนำตัว เราอยาก Present ตัวเราอย่างไรบ้าง ใส่ไปให้เต็มที่ ซ้อมเตรียมไว้เลย แต่ขออย่างเดียวมีสติ คิดบวก และที่สำคัญต้องสุภาพอ่อนน้อม ยิ้มแย้มด้วยนะจ๊ะเด็ก ๆ

 

“เคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง”

คำถามนี้พวกนักกิจกรรมคงชอบ เพราะเยอะจนแทบจะกางพอร์ตหลาสามเอเคอร์แล้วชี้ให้ดูเลยว่ามีอะไรบ้าง แต่คงทำไม่ได้เพราะเราต้องเกรงใจเวลาของอาจารย์ด้วย เพราะฉะนั้นเทคนิคการรวบยอดกิจกรรมก็คือ “หนูทำกิจกรรมมาหลายอย่างคะแต่ที่หนูประทับใจมากที่สุดคือ...” หากิจกรรมที่ประทับใจที่สุดมาไม่เกินห้าอย่างแล้วเล่า ให้อาจารย์ฟัง แต่อย่าลืมนะว่าในกิจกรรมนั้น ควรมีกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับคณะด้วย รับรองไม่พลาดแน่ ๆ ส่วนน้อง ๆ ที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม ก็อย่าเพิ่งด่วนตอบไปว่า ไม่เคยหรือไม่มี ลองนึก ๆ ดี สักหนึ่งกิจกรรมที่โรงเรียนก็ได้ ให้ดูเหมือนเราก็ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมที่โรงเรียนให้ทำ หรือจะเวิร์คช็อปสั้น ๆ ที่เคยร่วมก็ได้

 

“บอกข้อดีและข้อเสียของตัวเอง”

เจอคำถามนี้ไปหน้าชากันเป็นแถบ แล้วก็จะมาตีกันในหัวของตัวเองว่า เอ๊!? ข้อดีข้อเสียของเราคืออะไรนะ พี่จะบอกให้เทคนิคการตอบง่ายนิดเดียว ในส่วนของข้อดี ให้ตอบแบบมั่นใจไปเลยว่าเรามีข้อดีอย่างไร และเสริมด้วยว่ามันดีต่อคนอื่นอย่างไร เช่น “ข้อดีคือเป็นคนชอบทำอะไรต่าง ๆ อยูตลอดเวลา ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบที่จะพัฒนาตัวเอง” เท่านี้ก็โอเคแล้วจ๊ะ ส่วนทางด้านของข้อเสีย จะตอบว่า “ไม่มี” ก็มั่นหน้าเกินไป (มองบน) งั้นลองหาข้อเสียของเรามาหนึ่งอย่างแล้วตอบไป พร้อมพูดถึงแนวทางแก้ไขข้อเสียนั้น ๆ เช่น “ข้อเสียของผมคือเป็นคนไม่ละเอียดและรอบคอบ จึงต้องคอยตรวจเช็คตัวเองอยู่เสมอ” เห็นไหม ดูไม่นิ่งดูดายในการแก้ไขข้อเสียของตัวเอง ถ้าหนูตอบได้รับมงไปเลยจ้า

 

ส่วนที่ 2 คำถามเกี่ยวกับการเรียน

“ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้”

อยากจะตอบว่า “อยากเรียน” ก็สั้นจนเกินไป และอาจทำให้อาจารย์งงแล้วพูดว่า “แค่นี้ หรอ ?” เราจึงต้องหาเหตุผลมาเสริมเข้าไปเพื่อให้มันดูดี บวกกับการแสดงความตั้งใจ เช่น “อยากเรียนบริหารธุรกิจ เพราะที่บ้านมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่คนในบ้านไม่ได้เรียนด้านธุรกิจมาโดยตรง ผมเลยอยากมาเรียนเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาธุรกิจให้เป็นระบบและทำให้มันประสบความสำเร็จ มากขึ้นครับ” ตอบแบบสวย ๆ 10 10 10 ไปเลยจ้า ที่สำคัญควรตอบตามความจริง เพราะถ้าโดนถามลึกลงไปแล้วตอบไม่ได้นี้ เก็บเศษหน้ากันเลยทีเดียว อยากเรียนเพราะสนใจศึกษาด้าน….และมองเห็นแนวทางการทำงานในอนาคต หรืออยากเรียนเพราะเคยลองไปค้นหาตัวเองและพบว่ามันใช่ อยากเรียนเพราะเป็นวิชาที่ถนัดและทำมันได้ดีอะไรก็ว่าไปตามความจริงนะจ๊ะ ตอบอย่างมีเหตุและผลรับรองผ่านชัวร์

 

“รู้ไหมคณะ/สาขานี้เรียนอะไร”

อาจารย์เขาลองเชิงอยู่ว่าเราหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะมามากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นก่อนมาสอบสัมภาษณ์ควรศึกษามาว่า ที่นี้เรียนอะไรบ้าง ? แล้วให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้าง ? เป็นคำตอบที่เลิศที่สุด เช่น “สาขาการตลาด แน่นอนเลยครับว่าต้องเรียนเกี่ยวกับตลาด สินค้า การขาย การส่งเสริมการขาย และที่สำคัญกว่านั้นคือพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อจะทำให้ผมทราบถึงความต้องการและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด” หาข้อมูลเชิงลึกแล้วเรียบเรียงคำพูดให้สวยงามบวกความมั่นใจเท่านี้อาจารย์กี่พันคนก็สามารถพิชิตใจได้

 

“สาขานี้เรียนยากนะ เรียนไหวเหรอ”

ทำไมอาจารย์พูดอย่างนี้ใจคอไม่ดีเลยนะ ยังไม่ทันเรียนก็ขู่กันซะแล้ว แต่จริง ๆ คำถามนี้คือการวัดความมั่นใจและความตั้งใจของน้อง ๆ อีกรอบ อีกทั้งยังเป็นการยั่วโมโหเชิงดูถูก (จริง ๆ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจดูถูก) เพื่อดูการเก็บอารมณ์และความอดทนของน้อง ๆ อีกด้วย เพราะฉะนั้นก็ยิ้มกว้าง ๆ แล้วตอบว่าไหว พร้อมกับใส่เหตุผลประกอบที่แสดงความตั้งใจจริง เช่น “เรียนไหวค่ะ เพราะหนูชอบด้านภาษาอยู่แล้ว และหนูเชื่อว่าหนูจะตั้งใจและทำมันออกมาได้ดีแน่นอน ถึงแม้จะเจอปัญหาอุปสรรค์ แต่เพราะใจรัก หนูสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้แน่นอน” ตอบคำถามจบก็โปรยยิ้มไปอีกรอบพร้อมความมั่นใจ

 

“เรื่องการเดินทางมาเรียน”

ถามการเดินทาง น้อง ๆ อาจมองว่าถามทำไม แต่ว่าการเดินทางมาเรียนนั่นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ หากเราจัดการเวลาเดินทางไม่ดี มาเรียนไม่ทันก็น่าเป็นห่วง ศึกษาเวลาการเดินทางดี ๆ หากอาจารย์ถาม ให้น้อง ๆ ตอบไปตามความจริง ตอบอย่างมีสติ คือไม่ว่าจะพักอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน น้อง ๆ ก็อธิบายแผนการเดินทางของตัวเอง หากเจอปัญหารถติดจะทำยังไง ออกเดินทางให้เร็วขึ้นหรือปรับเปลี่ยนเส้นทางไปตามสถานการณ์ที่เกินขึ้นอย่างไร หากบ้านไกลมากจริง ๆ จะต้องย้ายมาพัก ที่เดินทางสะดวกขึ้น ตอบไปด้วยความมั่นใจว่าการเกินไม่ใช่อุปสรรค์ในการมาเรียน

 

ส่วนที่ 3 คำถามวัดกึ๋น

“แล้วถ้าไม่ติดที่นี่จะทำยังไง”

ได้ยินคำถามนี้ อย่าเพิ่งสติหลุดนะ อาจารย์เพียงแค่อยากดูไหวพริบและความคิดหลังจากได้รับแรงกดดันเท่านั้น ห้ามตอบว่าไม่ทราบเป็นอันขาด ให้เราย้ำความตั้งใจที่จะเข้าคณะนี้ก่อน ตั้งใจสอบมายังไง “การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ก็พกความตั้งใจมาเต็มที่ หวังว่าจะผ่านและได้เรียนคณะในฝัน หากจะต้องตกรอบสัมภาษณ์ ก็เสียใจแต่ไม่เป็นไร จะสู้ในรอบต่อไป หากความพยายามยังมีไม่พอ ก็จะพยายามตั้งใจให้มากกว่านี้ค่ะ”

 

“มีคำถามอะไรไหม”

คำถามเดียวครบทุกอย่างในการวัดความตั้งใจ ความสนใจ การทำการบ้านมาเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ นั้นก็คือ “มีคำถามอะไรไหม” คำถามที่ทำให้ใครหลายคนตกม้าตายกันไปตาม ๆ กัน เพราะน้อง ๆ อาจจะไม่รู้ว่ามันคือกับดักดี ๆ นี้เอง ถ้าเราตอบว่า “ไม่มีคะ” ผ่างงง! คุณไม่ได้ไปต่อทันที เราจึงต้องตั้งคำถามที่แสดงออกถึงความตั้งใจของเรา เช่น “หากหนูไม่ติดรอบนี้ ยังมีโอกาสรอบไหนที่สามารถเข้าไปศึกษาได้อีกไหมคะ” หรืออาจจะถามอาจารย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม “หนูตั้งใจอยากเรียนคณะนี้มาก และอยากฝากตัวเป็นศิษย์ ในฐานะอาจารย์ผู้สอน มีอะไรจะแนะนำหนูไหมคะ” หรือไม่ก็เป็นคำถามที่เราสงสัยจริง ๆ แต่ก็ต้อง Make sense หน่อยนะจ๊ะ

 

          และนี้คือ เทคนิคสอบสัมภาษณ์ฉบับเด็ก TCAS ที่พี่นำมาฝากให้น้อง ๆ ได้เตรียมตัวก่อนลงสนามสอบ อย่ากลัวที่จะพูดออกไป จงเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งสติให้มั่นและมาพิชิตใจอาจารย์ที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ ไปด้วยกัน ขอให้ทุกคนโชคดีนะจ๊ะ

 

สัมภาษณ์ต้องมี Portfolio ไหม ?

อีกคำถามที่น้อง ๆ ถามกันเข้ามาเยอะ “สัมภาษณ์ต้องมี Portfolio ไหม” น้อง ๆ อาจจะคิดว่า Portfolio ต้องใช้เฉพาะรอบแรกเท่านั้น ถึงแม้ว่ารอบอื่น ๆ จะไม่ได้คัดเลือกจากผลงาน แต่มี Portfolio ไปก็ดีนะ เป็นการรวบรวมข้อมูลของเรา ผลงานต่าง ๆ ให้อาจารย์ได้รู้จักเราในเบื้องต้น และบางอย่างเราก็พูดได้ไม่หมด ใส่มันลงไปในพอร์ตเลยจ้า           

Tags
Posted by
Plook TCAS
ข่าวค่ายและกิจกรรม
ข่าวรับตรงล่าสุด
Follow us