1. ตั้งเป้าหมายในการเรียน ก่อนที่เราจะเรียนเราก็ต้องตั้งเป้าหมายเวลาที่เราเรียนภาษานี้ มันสามารถนำไปใช้อะไรได้บ้าง ประกอบอาชีพอะไร แล้วเราต้องเก่งถึงระดับไหน เราจะได้มีกำลังใจ และแรงบันดาลใจจะได้เรียนรู้ไปให้ถึงที่สุดนั้นเอง
2. เริ่มต้นฟังภาษาญี่ปุ่น
ไม่ว่าจะเป็นเพลง อนิเมะ หรือว่าจะเป็นการ์ตูน ซีรีย์ รายการโทรทัศน์ต่าง ๆ ขอให้น้อง ๆ ฟังให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับภาษานั่นเอง
3. เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ตัวอักษร
ภาษาญี่ปุ่นมีทั้งหมด 3 แบบ 1. ฮิรางานะ 2. คาตาคานะ 3. คันจิ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราต้องรู้ถึง 3 แบบ เพราะว่าภาษาญี่ปุ่นนั้นมีการใช้อักษรควบคู่กัน ถึงแม้ว่าจะเขียนต่างกันก็ตาม อย่างเช่น
อักษรฮิรางานะ คือ ใช้ในคำศัพท์ของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ในปัจจุบันตัวอักษรนี้ยังถูกใช้ในประโยคที่เป็นทางการอีกด้วย
อักษรคาตาคานะ คือ คำศัพท์ที่ใช้คำยืมมาจากต่างประเทศ ก็คือคำทับศัพท์ หรือ คำที่เราใช้คำอุทาน เช่น อุ อะ เอะ ในการ์ตูนญี่ปุ่นนั่นเอง
อักษรคันจิ คือ จัดเป็นอักษรคำที่มีความหมายชัดเจน ต้องบอกว่าอักษรนี้ญี่ปุ่นนั้นรับมาจากประเทศจีนนั่นเอง ตัวคันจิมีทั้งหมด 1,945 ตัวด้วยกัน ซึ่งดูเหมือนตัวอักษรจะเยอะมากแต่ว่าเราก็ต้องเรียน เพราะว่าคันจิที่เรียกว่า คันโยคันจิ ถูกใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้เรียนตามหลักสูตร และก็มีการใช้สอบกันด้วย และก็อย่าลืมว่าตอนที่เราฝึกเรียนภาษาญี่ปุ่นนั้น ก็แนะนำให้เขียนไปด้วย และอ่านออกเสียงไปด้วย เพราะว่าการฝึกที่ดี หรือว่าเราจะมีความจำที่ดีได้นั้น ก็มาจากการปฏิบัตินั้นเอง และพอเราเรียนรู้ตัวอักษรทั้งหมด เราก็ควรที่จะเริ่มหาคำศัพท์และแปลความหมาย พอเราเขียนตัวอักษรได้หมด เราก็จะก้าวต่อไปได้ง่ายขึ้นนั้นเอง
4. เรียนรู้คำศัพท์ให้ได้มากที่สุด
คำศัพท์นั้นมีอยู่รอบตัวเราทั้งสิน ไม่ว่าจะเป็นในหนังสือ การ์ตูน ซีรีย์ หรือในเพลงที่เราฟังนั่นเอง และอีกหนึ่งวิธีที่อยากแนะนำคือ การใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ หากนึกไม่ออก ขอแนะนำหนังสือ มินนะ โนะ นิฮงโกะ เป็นหนังสือที่น่าสนใจ มีคำศัพท์ที่มากมาย ซึ่งหาชมได้ตามเว็บไซต์เช่นกัน
5. กล้าแสดงออกให้มาก
ถ้าน้อง ๆ มีความรู้จะต้องใช้ความรู้ออกมาเลย มีความรู้ก็อย่าไปเก็บเอาไว้ เจอคุณครู เจอชาวต่างชาติ เจอเพื่อน ๆ ที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็คุยไปเลย พอเรากล้าสื่อสารกับคนอื่น กล้าแสดงออกก็จะเป็นจุดหนึ่งที่ช่วยพัฒนาตัวเราให้ไปได้เร็วและก็เก่งขึ้นนั่นเอง