เรื่องและภาพ: นฤมล อารีสินพิทักษ์
...นักเขียน เกรียนเบส รักหมาฮัสกี้ ชอบกินข้าวแกงกะหรี่หมูทอด เวลานอนชอบนอนกอดหมอนข้าง...คำจำกัดความที่เขาจำกัดขึ้นเองในหน้าเพจ FB บรรยายบุคลิกของไอดอลของเด็กไทยที่ใส่ใจสังคมคนนี้ได้ชัดเจน การเติบโตในครอบครัวนักเคลื่อนไหวหล่อหลอมให้เขาคิดต่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม และใช้โอกาสที่ได้มาสร้างสรรค์อะไรบ้าง ขยับเข้ามาทำความรู้จักหนุ่มใจเกรียน สิงห์-วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล คนนี้กัน
เศรษฐศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 1 หัวดีหรือว่าขยัน
ตอบไงดีละเนี่ย จะชมตัวเองเหรอ ไม่ใช่ (ฮา) จบมาประมาณ 9 ปี เกรดที่ได้นี่ไม่ได้เอาไปใช้เลยตั้งแต่เรียนจบนะครับ ทีเลือกเรียนด้านนี้เพราะความตั้งใจตั้งแต่สมัยมัธยมว่าอยากทำงานด้านสังคม เราเชื่อว่าเศรษฐศาสตร์จะเป็นเครื่องมือนึงที่จะช่วยให้เราทำงานด้านสังคมได้ โดยหารู้ไม่ว่าไอ้สิ่งนี้จะโตมาเป็นคนทำรายการแทน อาจจะทั้งสองอย่างคือเราเป็นคนที่เก็ทเรื่องตัวเลขและอะไรที่เป็นตรรกะได้ง่าย เศรษฐศาสตร์มันเป็นเรื่องของตรรกะล้วน ๆ เลยครับ จาก A ไป B จาก B ไป C ปรับตรงนี้อะไรจะเคลื่อนไหว อะไรจะโดนขยับบ้าง ตัวแปรตัวนี้เปลี่ยนอะไรจะเปลี่ยนตามมันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ขยันนะครับ ตอนปีหนึ่งปีสอง เราเข้าห้องเรียนเราเอากล้องวีดิโอไปด้วย ไปตั้งอัด กลับถึงบ้านนั่งดูอีกรอบ หลังจากนั้นพอจะสอบเราก็ช่วยติวให้เพื่อนด้วย เป็น TA – Teaching Assistant ผู้ช่วยอาจารย์ ก็ถือว่าตั้งใจเรียนมากพอสมควรครับ แต่ช่วงปีสองเทอมสองเป็นต้นไปจบเรียนจบก็ตั้งใจเรียนน้อยลง เพราะปีหนึ่งเหนื่อยเกินไป เก็บ straight A เกรดสี่หมด ก็รู้สึกไม่เอาแล้วเว้ย เลยเน้นกิจกรรมซะเยอะ สุดท้ายก็จบมาเกรดโอเคครับผม
ทำไมถึงเลือกไม่เรียนต่อ
คือเรื่องเรียนต่อนี่คิดไว้ตอนเด็กนะฮะ แต่ตัวเองและที่บ้านไม่ค่อยซีเรียสเรื่องได้ปริญญาในเชิงเป็นเครดิตท้ายชื่อเท่าไร ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อก็จบเอก คุณแม่ก็จบโทจาก Cornell พอเรียนจบตรีก็เออเราเอาความรู้ไปเทสต์หน่อยดีกว่า เพื่อนๆ หลายคนก็ไปเมืองนอกไปเรียนต่อโทต่อเอกไปเลย แต่เรารู้สึกว่าเรามีเรื่องที่อยากทำก่อน หยุดสักปีสองปีก่อนก็ได้ ก็เลยไปทำงานที่องค์กรชื่อ ChangeFusion ซึ่งตอนนั้นเป็นเรื่องที่ใหม่มากกับการพยายามเอาแนวคิด Social Enterprise – ธุรกิจเพื่อสังคม เข้ามาในประเทศไทย เราเป็นองค์กรที่คอยหาเงินมาสนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคมต่างๆ ซึ่งธุรกิจเพื่อสังคมคือองค์กรลูกผสมคือทำธุรกิจมีกำไรมีรายได้ ในขณะเดียวกันก็มี mission ด้านสังคมไปด้วย ทำได้อยู่สองปีกว่าก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดงานด้านนี้เท่าไร เศรษฐศาตร์ที่เราถนัดคือเศรษฐศาสตร์ในแนวคิดและทฤษฎีและในหัว แต่พอเข้ามาทำจริงแล้ว การต้องยุ่งกับคนเยอะ ๆ เราไม่ค่อยถนัดเท่าไร ในขณะเดียวกันเรามีโอกาสในชีวิตเข้ามา คือมีคนชวนไปทำสารคดีชื่อ “พื้นที่ชีวิต”
มาถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าการเรียนต่อมันไม่จำเป็นสำหรับเราแล้ว ถ้าสิ่งที่เราอยากทำคือทำสื่อดี ๆ เนี่ย มันเรียนรู้หน้ากองมันมีประโยชน์กว่า ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรียนต่อ ถ้าจะเรียนต่อจริง ๆ ก็คงสัก 34-35 ไปแล้ว ถึงตอนนั้นประสบการณ์มันก็สอนเราอะไรเราได้เยอะแล้วล่ะ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ามีประสบการณ์อะไรที่เราไปกรองผ่านห้องเรียนแล้วมันจะมีคุณค่ามากขึ้นหรือเปล่า แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่จุดนั้นในชีวิต
“พื้นที่ชีวิต” ทำให้ค้นพบอะไรบ้าง
มันเป็นรายการสารคดีการเดินทาง คือพาไปออกเดินทางทั่วโลกเพื่อสำรวจเรื่องศาสนา ปรัชญาชีวิต ประวัติศาสตร์ของพื้นที่ต่างๆ ผมในฐานะเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ทำหน้าที่ไปดูโลกแล้วมาสรุปประเด็นทางความคิดให้กับคนดู โจทย์ในช่วงซีซั่นแรกคือ เริ่มต้นจากคนที่ไม่มีศาสนา คือผมก็บอกทุกคนว่าผมไม่มีศาสนา ที่เราไม่มีศาสนาเพราะเรารู้สึกว่าไม่มีอะไรจำเป็นสำหรับเรา ก็เอาไอ้เด็กคนนี้ไปตรวจสอบศาสนาพุทธทั่วโลกดู แล้วดูว่ากลับมามันจะเปลี่ยนความคิดไปอย่างไรบ้าง ซึ่งใครที่ได้ดูก็จะรู้ว่ามันค่อย ๆ มีความเปลี่ยนแปลง
เราได้เปลี่ยนมุมมอง นอกจากมุมมองเรื่องศาสนาและการเดินทางแล้ว ก็คือเรื่องของความเป็นสื่อที่เราสามารถสร้างอะไรดี ๆ เพื่อสังคม ด้วยการเปลี่ยนความคิด ด้วยการนำเสนอเรื่องราวของคนที่ทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อโลกนี้ หรือเอาแนวคิดที่มีประโยชน์มาเสนอต่อผู้ชมซึ่งมันก็จะเปลี่ยนเป็นการกระทำในอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะเรากำลังสร้างประเด็นความคิดไว้ในหัวคนอื่น ก่อนหน้านี้เราไม่เห็นเลยว่าสื่อจะมีบทบาทตรงนี้ มุมมองมันเปลี่ยนไป เราค่อย ๆ รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ช่วยเหลือสังคมได้ในอีกแบบหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องใช้เศรษฐศาสตร์
ติดใจอะไรในงานสื่อ
พอทำพื้นที่ชีวิตสักระยะหนึ่งก็ค้นพบว่าตัวเองถนัดด้านนี้มาก คือความถนัดในการเรียบเรียงความคิดออกมาในหัวสด ๆ อย่างละเอียด ๆ ได้ ซึ่งมันเป็นงานที่เหมาะกับคนที่อยู่หน้ากล้อง คนเขียนสคริปต์ เพราะรายการนี้เราก็เขียนสคริปต์ให้ตัวเองด้วย งานที่ต้องสื่อความคิด เราได้เห็นตัวอย่างนักคิดต่าง ๆ ที่เขาสร้างประโยขน์ให้สังคมมาหลายชั่วอายุคน นั่นก็คือรวมถึงพ่อแม่เราด้วย เพราะสิ่งที่พ่อแม่ให้กับสังคมจริง ๆ นอกจากการเป็นผู้นำการเคลื่อนไหว 14 ตุลาแล้วก็คือเรื่องความคิด พ่อเขียนหนังสือมามากมาย ผมได้พบเจอกับเด็กหนุ่มสาวที่เขายังยึดมั่นอุดมการณ์ในการสร้างสังคมให้ดีขึ้นโดยมีหนังสือของพ่อแม่ผมเป็นตัวนำทางเขา ผมก็เลยได้เห็นว่าเออการส่งต่อความคิดมันมีประโยชน์นะ มันนำไปสู่การกระทำด้วย อาจจะไม่ใช่ในตัวเราเอง แต่ในตัวคนที่ได้อ่านงานคิดเหล่านี้
ภาพประกอบจาก www.hellowofwof.com
ย้อนกลับไปที่รายการแรกในชีวิตกับบทบาทพิธีกร
รายการ U School ครับออกอากาศทาง UBC อายุประมาณ 17 ปี นั่งกินบะหมี่อยู่แล้วก็มีคนชวนมาเป็นพิธีกร เป็นรายการที่พาไปยังโรงเรียนมัธยมต่าง ๆ พาไปดูว่าใครหล่อใครสวย มีกิจกรรมอะไร เล่นดนตรีอะไรกัน สัมภาษณ์คุณครู สัมภาษณ์นักเรียนที่ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ซึ่งมีดาราดัง ๆ ในปัจจุบันนี้ผ่านรายการนี่มาเยอะเหมือนกัน อย่างเช่น ไอซ์-อภิษฎา ก็เคยเป็นพิธีกรอยู่ด้วยกัน มีปูไข่ มีวินที่เป็นน้องของนาวิน ตาร์ รู้สึกว่ากิ๊บซี่ก็เคยเป็นในยุคแรก ๆ รายการน่าจะมีตามองเห็นแวว แต่ละคนก็พอจบจากรายการ U School ก็ไปคนละสายเลย ผมเองก็มาสายสารคดีเต็มตัว และหลังจากนั้นก็มี Wake Club ไปทำเจาะใจ ทำพื้นที่ชีวิต ระหว่างทางนั้นก็มีหลายรายการ แต่เป็นแบบทำได้สามสี่เดือนแล้วก็เปลี่ยน ลืมนับไปแล้ว น่าจะเกือบ ๆ ยี่สิบรายการนะครับ
เคยเล่นหนังด้วย เล่าให้ฟังหน่อย
เรื่องงานแสดงก็มีโอกาสเข้ามานะครับ แต่โอกาสเหล่านั้นล้วนเป็นทางตันทั้งสิ้นครับ (ฮาๆๆ) ตอน ยี่สิบต้น ๆ จีทีเอชเรียกไปแคสบ่อยมาก แล้วพี่เขาจะบอกเนี่ยสิงห์เกือบได้ละ เรื่องหน้าลุ้นใหม่นะ เราก็แบบอ้าวไปครับไปครับพี่ ตอนนั้นจีทีเอชเองก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่าไร พอเห็นหนังเขาดัง เราก็แบบเออทำไมไม่ได้เล่นสักที ถ้าสมมติได้เล่นนี่เปลี่ยนชีวิตได้เลย เพราะคนที่ได้เล่นนี่ดังไปทั่วแล้ว แต่ถามว่าตอนนั้นอยากเป็นดาราหรือนักแสดงมั๊ย ก็เฉย ๆ นะครับ เราแค่อยากลองอะไรใหม่ ๆ ไปแคสทั้งเรื่องเพื่อนสนิท ทั้งบอดี้ศพ 19 ทั้งปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น ซึ่งเป็นบทที่เล่นคู่กับโซระนะครับ สุดท้ายพี่เต๋อได้เล่น เราก็เออยังแค้นอยู่นะพี่เต๋อ เจอทุกครั้งก็จะบอก ตอนนั้นเลยยังไม่ได้รู้เลยว่าการแสดงคืออะไร ไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า เรื่องสี่แพร่งก็ไปแคสนะครับ เกือบได้เล่นเป็นผีแล้ว ใจอยากลองมาก เพราะดูมันน่าสนุกดี สุดท้ายมาได้หนังของค่ายอื่น เรื่องอินทรีแดง ของพี่วิสิษฏ์ ศาสนเที่ยง ซึ่งเป็นหนังที่สนุกมาก คนดูสนุกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมคนถ่ายนี่สนุกมาก เอนจอยชีวิตมากช่วงนั้น ได้ถือปืนวิ่งไล่อนันดา บวกกับขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ลาหนีระเบิด ได้เห็นเอ็ฟเฟกต์หนังตูม ๆ เหมือนไม่ได้ทำงาน เหมือนไปสวนสนุก แล้วก็ได้เล่นหนังเล็ก ๆ อีกเรื่องนึง ออกอากาศทางทรู ชื่อเรื่อง “หลง” หลังจากนั้นก็ไม่มีหนังเข้ามาอีก แต่ขณะเดียวกันงานพิธีกรมันเข้ามาถาโถม บวกกับเราเริ่มเขียนหนังสือ เราออกงานเสวนาบ่อย ไปงานที่เกี่ยวกับเรื่องความคิด เรื่องวิชาการเยอะ คนมองเราไปทางด้านที่เป็นกึ่งซีเรียสกับกึ่งเอนเตอร์เทนมากกว่า อาจจะไปทางซีเรียสมากกว่าเอนเตอร์เทนด้วยซ้ำ เราก็เลยไปอยู่ในตลาดเดียวกับคนอย่างพี่นิ้วกลม พี่โหน่ง-วงศ์ทนง หรือพี่ก้อง a day พี่สุหฤท เราก็เลยเลื้อยมาทางนี้เรื่อย ๆ ถึงจุดนึงภาพมันชัด งานที่เข้ามามันก็เลยไม่ใช่ฝั่งนักแสดงอีกต่อไป แต่ก็โอเคเพราะว่าเราก็ได้ลองมาแล้วเรื่องนึงก็สนุกชีวิตพอแล้ว (หัวเราะ)
งานเขียนของวรรณสิงห์นั้นบอกเล่าอะไรบ้าง
เขียนตั้งแต่อายุ 19 ครับ ความคิดมันเปลี่ยนไปเรื่อย แต่แนวการเขียนก็ยังคงเดิม เอาประสบการณ์ที่เจอในชีวิตมากลั่นกรอง เอาแนวคิดที่ค่อนข้างกรองมาแล้ว ๆ ละเอียดหน่อยนำเสนอออกไป ปรัชญาบ้าง บางทีจะเป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องความรู้สึก เป็นเรื่องการใช้ชีวิตบ้างก็ว่าไป ถึงแม้ว่าเนื้อหาและฝีมือจะไม่เท่าพ่อ แต่หลาย ๆ คนบอกว่าแนวก็คล้าย ๆ ของพ่อ อย่างพ่อเขาไปตกปลาก็สามารถครุ่นคิดอะไรออกมาได้เยอะ หรือไปเดินป่าก็ครุ่นคิดออกมาได้ ผมเองก็มีประสบการณ์ที่ unique สำหรับคนในยุคของผม ผมก็เขียนออกมาเป็นหนังสือ ปัจจุบันน่าจะมีอยู่ไม่ 4 ก็ 5 เล่ม จำไม่ได้เหมือนกันฮะ เล่มใหม่เขียนอยู่มาเป็นชาติแล้วยังไม่จบซะทีแต่คงใกล้ ๆ นี้แล้ว เป็นเรื่องของการเดินทาง เอาการเดินทางตลอดทั้ง 4-5 ปีที่ผ่านมาพยายามสรุปเป็นหนังสือให้ได้
ตัวหนังสือของพ่อเป็นพี่เลี้ยงให้เราหรือเปล่า
ชอบอ่านแต่ยังอ่านไม่ครบ บางคนเป็นแฟนพันธุ์แท้พ่อแม่ผมมากกว่าผมอีกนะครับ ก็ได้อ่านอยู่หลายเล่มทั้งของพ่อของแม่ คือไม่ได้ใช้ตัวหนังสือของคุณพ่อคุณแม่เป็นพี่เลี้ยง แต่คือตัวของพวกท่านเองเลยที่สั่งสมความเป็นตัวเรามา ทั้งในเรื่องการชอบคิดวิเคราะห์ ชอบเขียน ชอบนำเสนอความคิดในรูปแบบต่าง ๆ การชอบออกเดินทางค้นหาอะไรต่าง ๆ ก็มาจากพ่อจากแม่ ทีนี้โปรดักส์ต่าง ๆ ที่มันออกมาเป็นรายการก็ดี เป็นบทก็ดี เป็นงานเขียนก็ดี มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่คิดอะไรเยอะ มันก็อยากจะปล่อยอะไร พอปล่อยออกไปมันก็ต้องมีสื่อ บางอย่างพ่อแม่ก็ไม่เคยทำเลยในชีวิต
ภาพประกอบจาก www.facebook.com/hellowofwof
ปัจจุบันผลิตรายการของตัวเอง คอนเทนต์เป็นแนวไหน
เปิดบริษัทกับเพื่อน ๆ ชื่อ World of Form ครับ เป็นโปรดักชั่น รับทำรายการ ทำสื่อ ทำพรีเซนเตชันต่าง ๆ โปรเจ็คต์ที่กำลังปั้นอยู่อย่างมันมือคือช่องทีวีออนไลน์ชื่อว่า WOFWOF เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน คอนเซ็ปต์ของช่องคือ “อีเดียดอย่างสร้างสรรค์” คือเรารู้สึกว่าเวลาที่เราถ่ายทำสารคดี เนื้อหามันต้องแน่นต้องมีสาระ แต่สิ่งที่สนุกที่สุดในการถ่ายสารคดีคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังกล้อง อย่างผมไปพื้นที่ชีวิตกับทีมงานเนี่ย ก็มีอารมณ์บ้าบอทั้งวัน ก่อนนอนก็ตีไพ่กันทุกวันนะฮะ แกล้งกันตลอดเวลา ไม่ว่าทีมงานจะอายุเท่าไรก็ตามพอมาอยู่ด้วยกันในการเดินทางทุกคนจะมีแง่มุมอีเดียดในตัวเอง การเดินทางมันก็เลยสนุก เจออะไรข้างทางก็ฮา ๆ ขำ ๆ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกนำเสนอออกทางรายการเลย เราเลยอยากเอาความอีเดียดที่อยู่หลังกล้องเนี่ยมาเป็นคอนเทนต์หนึ่งของรายการด้วย
คือเรามองว่าพื้นที่ชีวิตนี่มันสุดแล้วแล้วของสารคดี คนชอบดูสารคดีเขาก็ดูกันหมดเกือบทุกคนแล้ว เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้คนปกติที่ไม่ชอบดูสารคดี หันมาสนใจสื่อที่เป็นสาระเพื่อสังคมบ้าง มันเลยนำมาสู่คอนเซ็ปต์อีเดียดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความสนุกของคนดูการออกไปถ่ายทำทุกครั้งทีมงานทุกคนจะออกหน้ากล้องหมดเลย ตากล้อง ครีเอทีฟ โปรดิวเซอร์ ไดเร็คเตอร์ โดยจะมีกล้องคอยจับพวกเราทำงานอีกทีหนึ่ง ไม่ได้เตี๊ยมเป็นไปตามธรรมชาติแบบที่เป็นอยู่แล้วกันในกอง ซึ่งน้องในบริษัทฯ ก็จะอายุประมาณยี่สิบไม่เกินสามสิบกันทุกคนก็เลยยังมีความเฮฮากันอยู่เยอะมากกันทุกคน คาแรกเตอร์แต่ละคนที่เรารับเข้ามาทำงานเราก็รู้สึกว่าแบบโอ้โหมันอีเดียดได้ใจมาก (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นก็เลยโอเค และเราก็นำเสนอในรูปแบบใหม่ เป็นสารคดีสั้น ๆ ซึ่งปกติคนจะคิดว่าสารคดีนั้นต้องยาว ๆ เราก็ทำแค่ 15 นาทีจบ
เดี๋ยวจะมีอีกรายการหนึ่งชื่อ Grey Area จะเกี่ยวกับพื้นที่สีเทาในสังคมต่าง ๆ คือเราเชื่อว่าทุกเหตุการณณ์ทุกสิ่งที่นำเสนอในภาพรวมที่เป็นตัวเลขในหนังสือพิมพ์หรือในทีวีเนี่ย มันมีเรื่องราวของมนุษย์อยู่ในนั้นเสมอ อะไรก็ตามแต่มันมีเรื่องราวของความเป็นมนุษย์อยู่ เราอยากดึงตรงนั้นออกมาให้ได้ บ่อนการพนันก็ดี โรงฆ่าสัตว์ก็ดี เราอยากรู้ว่าคนที่ฆ่าสัตว์ทุกวัน วันละเป็นสิบเป็นร้อยตัว เออมันดียังไง หรือว่ารู้สึกอะไรกับความตาย ความเปลี่ยนแปลงในหัวเขาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งบางเรื่องก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย บางเรื่องก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่ว่ายังไม่มีใครเคยรู้เคยเข้าใจ แล้วผมก็อยากรู้ว่าถ้าผมไปอยู่กับโรงฆ่าสัตว์ทั้งวัน หลาย ๆ วันเพื่อถ่ายทำเนี่ย ผมจะสามารถกินวัวกินหมูอีกได้ป่าว หรือว่าถ้าถึงจุด ๆ หนึ่ง ผมอาจไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้
การเดินทางมีส่วนในการก้าวไปสู่อะไรใหม่ ๆ อย่างไรบ้าง
ตั้งแต่ทำงานด้านสารคดีมา การเดินทางมันช่วยเปิดโลกอย่างมหาศาล ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นมาก่อน เห็นจระเข้ลอยอยู่ในอเมซอน ไปตกปลาปิรันยา ขี่ม้าในทุ่งหญ้าเหมือนเจงกิสข่าน ได้เห็นโลกเยอะมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเยอะเวอร์ ถ้านับก็น่าจะ 50 ประเทศ ถ้านับทริปก็เยอะเป็นร้อย สองร้อย สามร้อย ไม่รู้เหมือนกัน บางประเทศก็ไปซ้ำแล้วซ้ำอีกนะครับ แต่สิ่งที่ได้เห็นมากที่สุดคือ “คน” เห็นทั้งความเหมือน เห็นทั้งความเหมือนในความต่าง มันมีประการณ์บางอย่างที่แบบมันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไงวะ ผมไปนั่งคุยกับคนเป็นใบ้ในรถไฟที่ศรีลังกาเป็นภาษามือที่เราก็ไม่รู้ มั่ว ๆ ไปปรากฏว่าก็เข้าใจกัน หรืออยู่ดี ๆ ขี่อูฐไปกลางทะเลทรายเจอบ้านใครก็ไม่รู้ เข้าไปขอนั่งกินข้าวในนั้น พูดกันไม่รู้เรื่องสักคำ นั่งดูรูปในมือถือกันแล้วก็หัวเราะคิกคักกันเป็นชาวคาซัคที่อพยพข้ามทะเลทรายมาอยู่ในอุซเบกิสถาน หรือแบบไปนั่งกินชาอยู่ในเต๊นท์ของเผ่าเบดูอินที่อยู่กลางทะเลทรายในจอร์แดนอะไรยังเงี้ย มันมีเรื่องพวกนี้อยู่มากมาย ยิ่งคุยเยอะก็ยิ่งเข้าใจมนุษย์นะ
ตอนนี้เราเลยเป็นคนที่ยอมรับความแตกต่างของคนอื่นได้เยอะมาก ไม่ได้อยากจะกระแดะนะครับ แต่มันเห็นมาเยอะจริง ๆ มันมีคนทุกประเภทจริง ๆ บนโลกใบนี้ แล้วทำไมเราต้องมานั่งคิดด้วยว่า ทำไมคนโน้นเป็นอย่างนี้คนนั้นเป็นอย่างนี้ ได้ยอมรับว่าเออเขาก็เป็นอย่างนั้นแหละ ทีนี้ถึงจุดหนึ่งพออายุสามสิบเราเริ่มพอประมาณหนึ่งกับชีวิตที่เหมือนกะลาสีอ่ะครับ กลับมาบ้านซักผ้าสองวันแบกเป้ออกไปใหม่ อะไรอย่างนี้ เริ่มอยากลงหลักปักฐาน อยาก settle down บ้าง ทั้งเรื่องของบริษัทที่ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจนะ มีบริษัทเพราะอยากทำงานกลุ่มบ้าง อยากเริ่มสร้างอะไรของตัวเองบ้าง โชคดีที่ได้เจอเพื่อนที่คิดคล้าย ๆ กันก็เลยแบบโอเคร่วมหัวจมท้ายกันสร้างอันนี้ด้วยกัน แล้วก็อยากมีครอบครัวอยากมีบ้าน ก็เป็นเรื่องอะไรปกตินะครับ เลยเริ่มเปลี่ยนชีวิตบ้าง แต่แน่นอนว่าไอ้อาการคันอยากแบกเป้ไปออกกองมันก็ยังมีอยู่เยอะนะครับ อย่างเนี่ยผมไม่ได้ออกจากประเทศมาประมาณสี่เดือนละ คันมากก (เหอะ ๆ) ถ้าเป็นคนปกติเขาสี่เดือนก็เป็นเรื่องปกติกันใช่มั๊ยฮะ ต้นปีครึ่งปีแรกผมไป 11 ประเทศภายใน 5 เดือนแรก ตอนถึงจุดนั้นนี่ไม่เอาแล้วจะกลับบ้านจะกลับบ้าน แต่พออยู่บ้านนาน ๆ ก็จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเรายินดีอยู่ที่นี่ด้วยความพึงพอใจ เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้เราอยู่มันไม่ใช่โซ่ แต่มันเป็นบ้านของเราซึ่งเราก็ต้องดูแล การเดินทางเลยต้องพักไว้ก่อน แต่มันก็มีการเดินทางอีกแบบหนึ่ง เป็นการทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนเหมือนกัน แล้วก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากกับการเดินทางที่ได้อยู่กับที่ตรงนี้ ในการทำบริษัททำงานเป็นทีมกับเพื่อน ๆ แต่ว่าถึงจุดหนึ่ง ก็แน่นอนเป้รอเราอยู่ เดี๋ยวผมก็กลับไปอีกครั้งหนึ่ง
ภาพประกอบจาก www.hellowofwof.com
แรงบันดาลใจเคยหมดมั๊ยคะ
นี่เป็นข้อโชคดีมาก ๆ ของผม เพราะผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมไม่อยากทำอะไร คือแบบตื่นมาทุกวันบอกเฮ้ยอยากทำโน่น อยากทำนี่ อยากทำนั่น ส่วนใหญ่ทำปุ๊บก็จะไม่มีปัญหาว่าจะสำเร็จหรือเปล่า จะเจ๊งมั๊ย คือจะทำก็ทำทันทีเลย ซึ่งแน่นอนมันมีเจ๊งมาหลายอย่าง อย่างดนตรีเนี่ยเจ๊งจริง ๆ ไอ้ตอนเริ่มเนี่ยไม่กลัวเลย แต่พอมันเจ๊งจริงก็เฮิร์ทเหมือนกันครับ เพราะเราเหนื่อยกับมันมาก แต่ว่าวันนี้ก็อยากทำอีกแล้ว ไม่เคยหมดแรงบันดาลใจ และไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาจากไหน แค่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว คืออาจจะมีช่วงอายุน้อย ๆ 15-16 ที่ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร เป็นเด็กธรรมดา แต่พออายุ 17 เป็นต้นมา คิดว่าไม่เคยเลยที่ไม่รู้ตัวว่าอยากทำอะไร ซึ่งแบบได้คุยกับเพื่อน ๆ หรือคุยกับแฟนคลับที่เจอตามงานต่าง ๆ ก็ดี พอได้คุยก็รู้สึกสะท้อนมาถึงตัวเอง ว่าเออเราก็โชคดีที่เป็นอย่างนี้ เพราะหลายคนเขายังไม่เคยเจอเลยในสิ่งที่เขาอยากทำ แล้วขณะเดียวกันบางคนมีสิ่งที่อยากทำ แต่ด้วยภาระทางครอบครัวทางสังคมก็เลยทำไม่ได้ คือไม่ได้ไม่มีความสามารถ แต่คือไม่มีโอกาสในการออกไปทำเพราะว่าต้องรับภาระอื่น ๆ หรือบางคนมีเรื่องภาระทางการเงินที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญมาก ๆ ของชีวิตก็เลยอดทำสิ่งที่อยากทำ ตัวผมเองนี่ยิ่งโตก็ยิ่งสะท้อนเลยว่า ผมมันโคตรโชคดีเลยนะฮะ ที่มีโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ แน่นอนว่าโอกาสเหล่านี้มันไม่ได้มาจากผมคนเดียว มันจากพ่อแม่ผมเป็นใคร มาจากสิ่งที่พ่อแม่สร้างขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาคนแอบเหน็บแนมว่าดังเพราะพ่อแม่หรือเปล่า ผมก็บอกเลยว่าถูกต้อง เพราะไม่งั้นก็ไม่มีโอกาสเหล่านี้เข้ามานะครับ แต่พอเข้ามาแล้วเราก็คว้าไว้แล้วทำให้ดีที่สุด โอกาสใหม่ก็จะมา รู้สึกว่าตัวเองได้พิสูจน์แล้วว่าเราทำได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยลืมว่าโอกาสเหล่านี้มันไม่ได้มาจากตัวเราเอง
ยังมีอะไรที่อยากทำอีกบ้าง
มีสิ่งหนึ่งที่เป็นอีแอบอยากทำอยู่ก็คือ กำกับหนังครับ ผมอยากทำหนังสักเรื่อง เราเป็นคนที่เคารพศาสตร์นี้มาก ศาสตร์ที่ว่าคือศาสตร์ของการสร้างเรื่องเสมือนจริงหรือเรื่องแต่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือว่าหนัง รู้สึกว่ามันยากมาก และคงต้องเก๋ากว่านี้อีกเยอะฮะ สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือเล่าเรื่องจริง ซึ่งคิดว่าตัวเองก็เชี่ยวชาญมากประมาณหนึ่ง เราถนัดด้านการเล่าเรื่องจริงละ แต่ว่าเรื่อง fiction กำลังหาโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้อยู่ ดีไม่ดีอาจจะแบบโทรไปโวยวายที่จีทีเอชว่า เนี่ยไม่เคยได้เล่นหนังเลยเพราะฉะนั้นให้ฉันไปเป็นติ่งอยู่ในกองได้มั๊ย ขอไปเป็นเด็กยกน้ำอะไรอย่างงี้ (ฮา) อยากรู้ว่าเขาทำกันยังไง ที่สำคัญคือหาเงินกันยังไง เพราะเรื่องหนึ่งต้องอย่างน้อยสิบล้าน พวกเรานี่กว่าจะหาได้ทีละล้านสองล้านก็....(ถอนหายใจ) แต่เนื่องจากไม่มีประสบการณ์เลยก็เดี๋ยวค่อยว่ากัน คิดว่าในหัวมันมีสิ่งที่อยากทำอยู่ แต่ว่าในเชิงเทคนิคยังต้องเรียนรู้อยู่ (แนวไหนที่ว่าอยู่ในหัว)
คือเราชอบหลายแนวมาก แต่แนวที่ชอบมาคือไซไฟ แต่ถ้าทำมันต้องใช้งบประมาณร้อยล้านถึงจะสามารถสร้างโลกใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งมันก็คงไม่มีทาง ถ้าเริ่มจากหนังอินดี้เล็ก ๆ ก่อน เงินน้อย ๆ คงต้องเป็นหนังชีวิต หนังดรามาที่เน้นคาแรกเตอร์ เน้นตัวละคร ประมาณนี้ แต่ตอนนี้คิดไว้คร่าว ๆ มันยังเป็นความฝัน เป็นอีแอบอยู่ เรื่องหนังอาจจะเป็นสักสีปีห้าปีเดี๋ยวค่อยว่ากันก็ได้ ตอนนี้ขอเอาเรื่องทีวีออนไลน์ให้เจ๋งก่อน หนังสือเล่มใหม่ และทำเพลงอีกรอบหนึ่ง เพลงนี่ทำเองทุกอย่างยกเว้นร้องฮะ เพราะร้องเพลงไม่เป็นจริง ๆ เครื่องดนตรีเล่นได้ทุกอย่าง แต่ไม่ไช่สายนักคนตรีเราเป็นสาย composer มากกว่า เอนจอยการแต่งเพลงแล้วก็เล่น แต่งเสร็จก็เล่นอัดเองซะเลย คิดชื่อโปรเจ็คต์ไว้แล้วว่า Wanna Sing Project เพราะว่า วอนนาซิง แปลว่าอยากจะร้องเพลง เราร้องไม่ได้ จะไปชวนคนอื่นมาร้องแทน 5555 (ร้องเพี้ยน?) ทั้งร้องเพี้ยนและใจมันไม่มาด้วยครับ ใจมันป๊อด ไม่มีสกิลด้วย ก็เดี๋ยวจะลองคุยกับเพื่อน ๆ ที่เป็นนักร้องดัง ๆ ก็มีอยู่หลายคน ชวนเขามาฟีเจอริ่ง เลี้ยงข้าวกันสักมื้อก็โอเคกันแล้ว MV ก็ถ่ายกันเอง เน้นสนุกเป็นหลัก ดังเป็นเรื่องรอง
ภาพประกอบจาก www.hellowofwof.com
อะไรที่ทำให้มีวรรณสิงห์ในวันนี้
เราโชคดีในเชิงสิ่งที่เราไม่ได้ทำเองนะฮะ นั่นคือชื่อเสียงของพ่อแม่ และดวงในการเดินไปป๊ะคนต่าง ๆ ที่อยู่ดี ๆ เขาให้โอกาสเรา หลาย ๆ อย่างมันมาจากความบังเอิญ และเป็นเพราะชื่อพ่อชื่อแม่ แต่ว่าแน่นอนว่าเมื่อเราได้โอกาสนั้นแล้วสิ่งที่เราต้องทำมันคือเรื่องของเราเองล่ะ พอมีทุกวันนี้เราก็ให้เครดิตตัวเองสักครึ่งนึงก็พอ เราผ่านประตูนั้นมา เราทำงานหนักมาก หนักจริง ๆ กว่ามันจะออกมาเป็นสิ่งที่หลายคนยอมรับมัน แม้กระทั่งพื้นที่ชีวิตก็ตาม มันก็ส่งผลมาจากการที่เราได้เขียนหนังสือเล่มมาตั้งแต่เด็ก เป็นพิธีกรตั้งแต่เด็ก พอเขาจะทำพื้นที่ชีวิตเขาก็เลยนึกถึงเรา โอกาสมันก็เลยมาถึงเรา ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่หลายคนอยากมีมาก ๆ กับการทำงานไปด้วยเดินทางทั่วโลกไปด้วยนะฮะ เราไม่ต้องไปแคสไปดิ้นรนอะไร อยู่ดี ๆ เขาก็ชวนเราไปทำ ความโชคดีอีกอย่างคือเราไม่เคยหมดไฟ
เคยคิดว่าก่อนอายุ 30 ฉันต้องโน่นทำนี่ทำนั่นให้ได้ ซึ่งพออายุสามสิบปุ๊บ จริง ๆ ก็ได้ทำอะไรไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่เราคิดไว้ ตอนนี้พอถึงสามสิบแล้วไม่จำเป็นต้องนั่งจับเวลาแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ แต่ก่อนคิดว่าแก่แล้วจะทำโน่นทำนี่ไม่ได้ ไม่สามารถทำเพลงได้แล้วนะแก่ไป อยู่หน้ากล้องไม่ได้แล้วนะแก่ไป พอมาถึงมันก็ทำได้นี่หว่า งั้นก็ทำไปเหอะ ดูฝรั่งคนที่เก๋า ๆ เขาเก๋าจนตายอะฮะ Aerosmith กับ Rolling Stone ยังเล่นกันอยู่เลย ฉันไม่เห็นต้องแบบเอากล่องอะไรมาครอบอายุเราเลยว่าอายุเท่านี้แล้วทำอะไรไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของคนทำงานแล้วครับ เราเอนจอยสิ่งที่เราทำอยู่ ตอนที่ทำพื้นที่ชีวิตเราก็ไม่คิดว่ามันจะ success อะไร จนกระทั่งเราเอนจอยแล้วก็ทำมันด้วยความรักในทีมงานทุกคน แล้วมันก็ออกมาเป็นสิ่งที่ success ในแบบของผมครับ
หลาย ๆ อย่างมันมาจากความบังเอิญและเป็นเพราะชื่อพ่อชื่อแม่ แต่ว่าแน่นอนว่าเมื่อเราได้โอกาสนั้นแล้วสิ่งที่เราต้องทำมันคือเรื่องของเราเองล่ะ พอมีทุกวันนี้เราให้เครดิตตัวเองสักครึ่งนึงก็พอ