เรื่องและภาพ: กัลยาณี แนวเล็ก
“คนที่แจกของตอนน้ำท่วม ให้ความช่วยเหลือเมื่อมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ภาพแรกที่คนทั่วไปจะนึกถึงนักสังคมสงเคราะห์มักเป็นภาพของเจ้าหน้าที่ผู้ให้ความช่วยเหลือในนามมูลนิธิต่างๆ ซึ่งการเรียนวิชาสังคมสงเคราะห์มีรายละเอียดมากกว่านั้น จะเป็นอย่างไรต้องฟังข้อมูลอินไซท์จาก ศิษย์เก่าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รั้วธรรมศาสตร์ โจอี้-อรวิภา กนกนทีสวัสดิ์ ผู้ครองตำแหน่งนางสาวไทยปี 2552 และนักแสดงผู้รับบทบาทเจ้าแสงมณีในเรื่อง “ภูผาแพรไหม” ที่เพิ่งลาจอไปไม่นาน
ก่อนจะเป็นนักศึกษารั้วแม่โดม
โจอี้ไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นนั่นเป็นนี่ แค่รู้สึกว่าชีวิตหนึ่งเราอยากทำบุญโดยที่ใช้ตัวเราในการทำบุญ คนอาจจะมองว่าเราเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่อันนี้คือจุดเริ่มต้นจริงๆ ก็ลองมาติวสอบตรงที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ว่าเป็นอย่างไร จริงๆ เขาทำอะไรกันบ้าง เราก็รู้สึกชื่นชอบในอุดมการณ์แนวคิดว่ามนุษย์ต้องพึ่งตนเอง เลยมั่นใจเลือกสอบตรงคณะนี้ค่ะ
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์เรียนเกี่ยวกับอะไร
คณะนี้ค่อนข้างอบอุ่นและเป็นกันเองมาก เรามีภาคปฏิบัติด้วย ต้องลงพื้นที่ฝึกงานภาคปฏิบัติในปี 2 และปี 3 มีงานวิจัยต้องลงพื้นที่หรือชุมชนตลอด ในส่วนของสาขาวิชาจะแตกออกเป็นเรื่องของแรงงาน สาขายุติธรรม มีเด็ก-เยาวชนและครอบครัว มีมากกว่านี้นะคะ แต่โจอี้เลือกเรียนสาขาเด็ก-เยาวชนและครอบครัวเพราะว่าเราเป็นผู้หญิง และคิดว่าเด็กและเยาวชนใกล้ตัวเรามาก อย่างสาขาแรงงานหรือยุติธรรม ทฤษฎีจะค่อนข้างเยอะกว่าด้วย เลยเลือกที่ง่ายนิดหนึ่ง
สาขาเด็ก-เยาวชนและครอบครัวจะเรียนเกี่ยวกับสถาบันครอบครัว เด็ก เยาวชน กฎหมายที่รองรับในเรื่องของเด็กและเยาวชนมีอะไรบ้าง ครอบครัวมีโครงสร้างอย่างไร มีความสัมพันธ์อย่างไรในเชิงชุมชน ในเชิงสังคมก็ลงลึกลงไป แต่หลักๆ จะเน้นเรื่องครอบครัวซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่จะเป็นต้นแบบที่ดี ให้เด็กรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเวลาเขาออกมาสู่สังคม เขาจะไม่มีปัญหาหรือเป็นคนที่ดีอย่างไรค่ะ
กิจกรรม “งิ้วสังคมสงเคราะห์”
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มีการแสดงงิ้วล้อการเมืองล้อสังคม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของงิ้วธรรมศาสตร์และการเมือง เริ่มจากเราเล่นกันในคณะก่อน เราใช้งิ้วในการทำให้คนในคณะมีความสามัคคีกัน น้องๆ ได้มีส่วนร่วม พี่ๆ เป็นคนเขียนบท แต่ละอย่างนักศึกษาทำกันเองโดยเรียนรู้กันจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ตอนนั้นโจอี้ก็ไปช่วยหาเงินงิ้ว อย่างวันรับน้องหรือวันรับปริญญา เขาก็จะให้โจอี้ไปช่วยถือกล่องถ่ายรูปกับนางสาวไทย ได้เงินมาเยอะมากเพื่อซื้ออุปกรณ์ต่างๆ สำหรับงิ้ว ก็ดีใจค่ะ
ฝึกงานแบบนักสังคมสงเคราะห์
ฝึกงานตอนปีสองกับปีสามค่ะ รุ่นโจอี้ยังเรียนสามปีครึ่งจบได้แต่ปัจจุบันนักศึกษาต้องฝึกงานในช่วงปีสามปีสี่ และต้องฝึกงานสองตัว ตัวแรกเราจะฝึกในองค์กรโดยมีนักสังคมสงเคราะห์ประจำสำนักงานอนามัยแต่ละเขต เหมือนเป็นลูกค้าที่วอล์กอินเข้ามาหรือส่งตัวมาจากศูนย์คุมประพฤติให้เราสอนความรู้เรื่องยาเสพติด ทำหน้าที่หลายอย่างมาก แจกนมผงเด็ก หารถคนพิการให้ ทำงานติดต่อประสานงานระหว่างองค์กรกับลูกค้า
ส่วนฝึกสองต้องไปทำงานที่ชุมชน ไปทำงานกับเด็ก ไปดูปัญหาแล้วแก้ไขตรงนั้นเลย โจอี้เลือกชุมชนบึงกุ่มซึ่งค่อนข้างเป็นพื้นที่สีแดง มันเป็นความเสี่ยงนะที่นักศึกษาจะต้องลงไปทำงานแบบนี้ แต่จะมีพี่ที่เขาคุมอยู่ลงไปดูบ้างบางครั้ง ตอนนั้นโจอี้ไปการหาอุปกรณ์การเรียนให้กับโรงเรียนอนุบาลในชุมชน มีการหาสปอนเซอร์และไปถามเขาว่าต้องการอะไร ขาดเหลืออะไร วางแผนเลยว่าปัญหาของเด็กในชุมชนนี้คืออะไรบ้าง แนวทางการแก้ไข เราก็ปรึกษากับอาจารย์ ก็มีเรื่องของเด็กบางคนไม่ได้เข้าเรียนเพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่สนับสนุนให้มาเรียน เราก็ไปคุยกับพ่อแม่เขาว่าการศึกษามันสำคัญอย่างไรกับเด็กในอนาคต เขาจะมีภูมิคุ้มกันโดยที่เราไม่ต้องซื้อนะ ประมาณนี้ค่ะ
นักสังคมสงเคราะห์จะต้องเรียนเรื่องจิตวิทยา เรียนรู้พื้นฐานจิตใจคน แนวทางแก้ปัญหา การทำงานกับคนมันค่อนข้างจะยาก บางทีก็ได้รับการตอบรับที่ดีบ้าง บางทีก็ไม่ได้รับการตอบรับเลย เป็นสิ่งที่เราต้องเจอด้วยตัวเอง อันนี้ก็เป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่งค่ะ
นักสังคมสงเคราะห์เหมือนหรือต่างกับนักจิตวิทยา
ถ้าพูดถึงสาขาอาชีพต้องบอกก่อนว่านักสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย คนอาจจะไม่ค่อยรู้จัก เพราะว่าประเทศไทยไม่ใช่รัฐสวัสดิการ เป็นสังคมสงเคราะห์แบบเก็บตก คือใครต้องการความช่วยเหลือก็เดินเข้ามาหานักสังคมสงเคราะห์ ความแตกต่างระหว่างนักสังคมสงเคราะห์กับนักจิตวิทยาแตกต่างกันโดยการทำงาน นักจิตวิทยาเน้นการให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคล แต่นักสังคมสงเคราะห์มีการวางแผนช่วยเหลือตัวเขา สมมติว่าคุณยายคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าอยากได้สิทธิขั้นพื้นฐานของตัวเอง เราก็ให้คำแนะนำว่ารัฐมีสวัสดิการอะไรให้บ้าง มีเงินคนชรา มีเบี้ยประกันสังคม รวมถึงเราจะไปดูครอบครัวว่าจะช่วยเหลือด้านทรัพย์สินอย่างไรได้บ้าง
อยากจะบอกว่าสังคมสงเคราะห์ไม่ใช่การแจกของนะคะ แต่คือการที่เราช่วยเหลือเขาให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นไปตามแนวทางพระราชดำรัสที่เราไม่ได้ซื้อปลาให้เขาทำอาหารกิน แต่ว่าเราสอนวิธีจับปลาให้เขาค่ะ
อาชีพนี้มีความเสี่ยงความเสี่ยง
ใช่ค่ะ คือความจริงเขาอาจจะมองแบบสังคมสงเคราะห์อย่างหลายคนถามมาว่าน้ำท่วมเราไปแจกของหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วนักสังคมสงเคราะห์น่าเห็นใจมากนะคะ เพราะต้องรับมือกับคนที่เรียกว่าเป็นผู้ใช้บริการค่ะ นักสังคมสงเคราะห์จะมีผู้ใช้บริการและผู้ที่เดินเข้ามา(walk in) ก็จะมีคนที่เคยติดยาเสพติดมาร่วมด้วย คนที่มีปัญหาท้องและโดนสามีหย่าร้าง คืออยู่พื้นฐานอารมณ์ที่อยู่แตกต่างกันในแต่ละรูปแบบอย่างนี้ค่ะ ก็ค่อนข้างจะเสี่ยงนะคะอย่างตอนที่โจอี้ได้ไปดูงานที่เรือนจำเราเสี่ยง แต่ก็ต้องยิ้มเพราะว่าเราถูกสอนให้เรามองเขาในแบบที่เขาไม่ได้เป็นแบบถูกตีตราก็จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นบวกมากขึ้นก็เลยไม่กลัวมาก
คุณสมบัติที่ขาดไม่ได้
คนที่เรียนคณะนี้ต้องทุ่มเทและมีคำว่า “อยากให้” เพราะว่าทำงานสังคมสงเคราะห์คิดเรื่องเงินเดือนหรือว่าความก้าวหน้าทางสายอาชีพไม่ได้มากมาย เป็นความเสียสละ เป็นคนเบื้องหลังจริงๆ หัวใจมาเป็นอันดับแรกเลย
โจอี้นำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันหรือการทำงานอย่างไรบ้าง
โห ถ้าเกิดว่าโจอี้ไม่ได้เรียนคณะนี้ อาจจะไม่ได้เป็นนางสาวไทยเพราะว่าคำถามบนเวทีสามารถนำสิ่งที่เราเรียนมาตอบได้ รู้สึกขอบคุณคณะสังคมสงเคราะห์ที่ให้คำตอบกับหนู คือคำถามในวันที่ประกวดนางสาวไทยถามว่าถ้าเกิดคุณมีโอกาสได้คุยกับนายกรัฐมนตรีคุณจะทำอย่างไรให้นายกฯ ทำตามนโยบายที่คุณนำมาเสนอ ซึ่งโจอี้ก็ตอบไปว่าไม่มีหลักจิตวิทยาอะไรที่จะทำให้นายกทำตาม แต่เราคิดว่าเหตุผลเท่านั้นที่ท่านจะทำตามเรา โจอี้ก็นำเสนอนโยบายที่จะทำคือพัฒนาทรัพยากรภายในประเทศคือมนุษย์ เพราะคิดว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ซึ่งอันนี้ก็ตามหลักสังคมสงเคราะห์ที่เราเรียนมา เราจะให้ความสำคัญกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คือเราไม่สามารถตีตราว่าใครผิดอย่างคนที่ทำผิดแล้วเข้าคุกไป เรายังต้องให้โอกาสเขาว่าวันหนึ่งเขาก็กลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ มันค่อนข้างขนานไปกับหลักพระพุทธศาสนามาก เพราะว่าบางทีในยุคโลกาภิวัฒน์ทำให้คนจิตใจเปลี่ยนแปลงไปรวมถึงวัฒนธรรมไทยก็เปลี่ยนไปตามนะคะ แต่ว่าสังคมสงเคราะห์กับหลักพระพุทธศาสนาทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้นในความรู้สึกที่มันอาจจะต้องรีบร้อนซะจนลืมมองอะไรหลายๆ อย่างไปค่ะ
เรียนจบแล้วนอกจากนักสังคมสงเคราะห์แล้ว สามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง
อย่างเพื่อนๆเขาก็จะทำงานหลากหลาย บางคนก็จะเป็นแอร์โอสเตสบ้างเพราะว่ามันไม่ได้จำกัด เป็นเหมือนอยู่ในฝ่ายทรัพยากรบุคคล เพราะว่าเราเรียนในเรื่องของคนเยอะก็จะไปอยู่ในส่วนนั้นค่ะ บางคนอาจจะต่อปริญญาโทในลักษณะที่เป็นอาจารย์เลย ส่วนใหญ่เขาก็จะเป็นอาจารย์กันค่ะ
สำหรับน้องๆ ที่สนใจคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
สำหรับคนที่จะเข้าคณะนี้ โจอี้คิดว่าต้องเตรียมใจก่อน ต้องเป็นคนที่เชื่อมั่นจริงๆ ว่าเราอยากเรียนคณะนี้ มีความใฝ่ฝันจริงๆ ว่าเราอยากอยู่ในคณะสังคมสงเคราะห์จริงๆ แล้วจะได้รับแรงบันดาลใจ โจอี้คิดว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องได้คณิตศาสตร์เต็มร้อย ได้อังกฤษเต็มร้อย หรือคะแนนสูงๆ เท่านั้น ถ้าเรามีใจอยู่ก่อนแล้ว ให้คิดว่าขาข้างหนึ่งก็อยู่ในคณะนี้แล้วค่ะ
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สามารถสมัครสอบคัดเลือกได้ 2 วิธี คือการสอบตรง มีการเปิดติวข้อสอบสอบตรงกลางเดือนตุลาคมของทุกปี และ การสอบคัดเลือกโดยใช้คะแนนแอดมิชชั่น |