เทศกาลตรุษจีน
เทศกาลตรุษจีนแบ่งออกเป็น ๔ วัน คือวันส่งท้ายที่จะทำพิธีไหว้ เรียกกันว่าวันไหว้กับวันแรกของปีใหม่ที่เรียกว่าวันชิวอิก หรือวันถือ ชาวจีนจะใช้วันนี้เป็นวันพักผ่อนอย่างแท้จริง เขาจะถือเป็นวันมงคลไม่ทำงาน ไม่ซื้อ ไม่ขาย งดเว้นการกระทำหลายอย่างที่ไม่เป็นคุณ เช่นไม่ทะเลาะกัน ไม่ทำภาชนะแตก ไม่ใช้มีดหรือของมีคม รวมถึงไม่กวาดบ้านด้วยเพราะถือว่าจะเป็นการกวาดเอาโชคลาภออกจากบ้านไป แต่จะแต่งตัวสวยและเที่ยวไปตามบ้านญาติมิตร เมื่อพบกันก็กล่าวคำอวยพรแก่กัน วันไหว้ กับวันถือนี้ถือว่าสำคัญที่สุด ส่วนอีกสองวันถัดไปที่เรียกว่าชิวหยี กับชิวซานั้น เป็นวันสำหรับการท่องเที่ยว ซึ่งก็จะเป็นไปตามอัธยาศัย
ในเรื่องของการไหว้นั้นเขาจะไหว้ ๓ เวลา คือเช้าไหว้เจ้า กลางวันไหว้บรรพบุรุษ และบ่ายไหว้ผีไม่มีญาติ ของไหว้ก็จะมีหมูต้ม เป็ดพะโล้ ไก่ต้มทั้งตัวพร้อมเครื่องใน เหล้า น้ำชา ข้าว ขนมเทียนขนมเข่ง และส้มเป็นหลัก นอกนั้นก็แล้วแต่ผู้ไหว้ที่จะคิดเพิ่มเติมเข้ามา ครอบครัวส่วนใหญ่จะมีกระดาษเงิน กระดาษทองด้วย เมื่อไหว้เสร็จก็นำไปเผาถือเป็นการส่งเงินทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้สอยในปรโลก
ตอนค่ำของวันไหว้เป็นเวลาที่ผู้น้อยหรือผู้อ่อนอาวุโสในครอบครัวจีนรอคอยเพราะผู้ใหญ่ในครอบครัวจะนำเงิน ทอง หรือสิ่งของให้แก่ตนตามควรแก่ฐานะ ที่เรียกว่า “แต๊ะเอีย” ซึ่งแปลว่า “ เงินก้นถุงประจำปี” ความมุ่งหมายเดิมของเงินแต๊ะเอียก็คือผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กมีเงินมีทองเก็บไว้เมื่อโต จึงให้เงินทุกปี ถ้าเป็นลูกหลานเล็กๆ ก็จะใส่ซองกระดาษสีแดงเรียกว่า “อั่งเปา” ในเวลาต่อมาเงินแต๊ะเอียได้เผื่อแผ่ถึงลูกจ้างที่ทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่บริษัท ห้าง ร้านหรือที่บ้าน จนในที่สุดเงินแต๊ะเอียเลยกลายสภาพคล้ายเงินโบนัสหรือเงินรางวัลประจำปีไป
วัดและศาลเจ้ายอดนิยมของเทศกาลตรุษจีนใน กทม.
สมัยนี้ความนิยมในเรื่องการไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรขอความเป็นสิริมงคลดูจะเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ คือจะต้องไปให้ได้ครบ ๙ แห่ง โดยถือเลข ๙ เป็นเลขมงคล และต่อไปนี้คือรายชื่อวัดและศาลเจ้า ๙ แห่งที่ชาวไทยเชื้อสายจีนใน กทม. นิยมไปขอพรในเทศกาลตรุษจีน
๑. วัดเล่งเน่ยยี่ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างตั้งแต่สมัย ร.๕ อยู่ที่ถนนเจริญกรุง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีชื่อไทยว่าวัดมังกรกมลาวาส ในวัดมีพระพุทธรูปประธานทางฝ่ายมหายานและมีเทพเจ้าของจีนตั้งบูชาเกือบครบทุกองค์ พิธีกรรมในเทศกาลตรุษจีนของที่นี่มีสองอย่างคือ พิธีสะเดาะเคราะห์สำหรับคนที่เกิดปีนักษัตรที่ไม่ค่อยจะดีในปีใหม่ (ป๋ออุ่ง) กับพิธีสวดเสริมสิริมงคล เสริมดวงให้เฮงๆ ตลอดปี (น่ำซิ้งปักเต๋าเก็ง)
๒. วัดไตรมิตรวิทยาราม อยู่เขตสัมพันธวงศ์ วัดนี้มีพระพุทธรูปสร้างสมัยสุโขทัยเป็นทองคำทั้งองค์ใหญ่ที่สุดในโลกประดิษฐานอยู่ มีชื่อว่าพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือหลวงพ่อทองคำหรือหลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตร เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนมาก ปกติในเทศกาลตรุษจีนทางวัดจะเปิดให้เข้าไปไหว้หลวงพ่อได้ตลอดสามวันสามคืน
๓. วัดอุภัยราชบำรุงหรือวัดญวน อยู่เขตสัมพันธวงศ์เช่นเดียวกัน วัดนี้สร้างโดยพระมหากษัตริย์ไทยถึง ๒ พระองค์ คือสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ มาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ ๕ จึงได้รับพระราชทานนามวัดว่า อุภัยราชบำรุง แปลว่าได้รับการบำรุงจากพระราชา ๒ พระองค์ ชื่อว่าเป็นวัดญวนแต่ชาวไทยเชื้อสายจีนก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในวัดนี้อยู่ไม่น้อย
๔. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร วัดนี้อยู่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี มีพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต ที่ชาวจีนเรียกว่า ซำปอกง ประดิษฐานอยู่ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่งในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวต่างประเทศ ในเทศกาลตรุษจีนผู้คนจะหลั่งไหลมาไหว้องค์ซำปอกงกันอย่างหนาแน่นเป็นพิเศษ เชื่อกันว่าจะเกิดสิริมงคล ร่ำรวย และมีมิตรดี
๕. ศาลเจ้าเกียนอันเกงหรือศาลเจ้าแม่กวนอิม อยู่ใกล้กันกับวัดกัลยาณมิตรฯ ที่เขตธนบุรีนั่นเอง เมื่อไหว้องค์ซำปอกงหรือหลวงพ่อโตแล้วก็เดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปตามทางซอยเล็กขวามือจะพบ ศาลเจ้าเกียนอันเกง ซึ่งมีความเก่าแก่ และเป็นศิลปกรรมโบราณที่งดงามมาก แต่เจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ ณ ศาลเจ้านี้กลับเป็นประติมากรรมที่เก่าแก่ยิ่งกว่าตัวศาลเจ้าเสียอีก ที่นี่ในคืนวันไหว้ต่อกับวันตรุษจีนผู้ศรัทธาจะเข้าไหว้ได้ตลอดคืน
๖. วัดสังข์กระจายวรวิหาร อยู่แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานของพระสังกัจจายน์ที่ขุดพบตั้งแต่ครั้งกระทำพิธีฝังรากพระอุโบสถในสมัยรัชกาลที่ ๑ ชาวจีนถือว่าเป็นพระแห่งความเมตตาและอุดมสมบูรณ์ด้วยโชคลาภ
๗. ศาลเจ้าไต่ฮงกง อยู่ถนนเจ้าคำรพ พลับพลาไชยเป็นที่ตั้งของมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ที่นี่ไหว้พระไหว้เจ้า แล้วส่วนใหญ่จะถือโอกาสบริจาคเงินซื้อโลงศพหรือผ้าห่อศพสำหรับผีไม่มีญาติเป็นการสะเดาะเคราะห์ โดยนำใบเสร็จรับเงินไปอธิษฐานขอพรจากหลวงปู่ไต่ฮงกง ก่อนจะนำไปเผาที่กระถางหน้าศาล ในเทศกาลตรุษจีนศาลเจ้านี้ยังจัดพิธีสวดมนต์สะเดาะเคราะห์ด้วย
๘. ศาลเจ้าชิดเซี้ยม่า อยู่ถนนไมตรีจิตเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ศาลนี้สร้างมากว่า 100 ปีแล้ว ผู้คนที่มาไหว้นิยมซื้อเทียนเล่มใหญ่เขียนชื่อ นามสกุลจุดตั้งไว้บนโต๊ะหินหน้าองค์ชิดเซี้ยม่า เพื่อให้มีชีวิตที่รุ่งโรจน์โชติช่วงดังแสงเทียน
๙. ศาลเจ้าพ่อเสือ อยู่ถนนตะนาว เขตพระนคร ความเลื่อมใสศรัทธาที่ชาวไทยเชื้อสายจีนมีต่อศาลเจ้าแห่งนี้ใครไม่เชื่อให้ไปเวลาเทศกาลสำคัญจะพบผู้คนมากมายแทบไม่มีทางเดินต้องชูธูปเทียนไว้สูงกว่าไหล่ เพื่อไม่ให้ไหม้เสื้อผ้าคนอื่น ของไหว้ที่นิยมก็คือผลไม้สำหรับไหว้เทพเจ้าเสียนเทียนซั่งตี้ ซึ่งเป็นประธานในศาลเจ้าและเทพเจ้าองค์อื่น ๆ สำหรับเจ้าพ่อเสือซึ่งเป็นรูปปั้นเสือทางด้านซ้ายมือของไหว้จะเป็นจำพวกเนื้อหมู ไข่ไก่ และข้าวเหนียว
เกร็ดเรื่อง
- การจุดประทัดในเทศกาลฯ เป็นความเชื่อว่าเพื่อขับไล่สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ เช่น ภูตผีปีศาจ ที่อาจซ่อนเร้นอยู่ในบ้านเรือนให้หนีไปเพราะผีจีนกลัวไฟและเสียงประทัด
- ความหมายของคำอวยพรที่นิยมในเทศกาลฯ
“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” แปลว่า “ เวลาใหม่นี้ขอให้สมใจ ปีใหม่ขอให้โชคดี”
“บ่วงสื่อยู่อี่” แปลว่า “ทุกเรื่องขอให้สมปรารถนา”
“ไช้ง้วงกวงจิ่ง” แปลว่า “โชค เงิน-ทอง ไหลมาเทมา”
“เจ็กปึ้งบ่วงหลี” แปลว่า “ลงทุนแค่หนึ่ง แต่กำไรเป็นหมื่นมหาศาล”
- “ไก่” เป็นสัตว์ที่มีความหมายต่อชาวจีนมากกว่าเป็นเพียงอาหารหลักในการไหว้เจ้า และกินไก่แล้วครอบครัวจะมั่งคั่ง ดังที่ทุกคนเข้าใจ หากแต่ยังมีตำนานเรื่องเล่าถึงความสำคัญในแง่ของการเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม และความสุจริต โดยได้มีการเปรียบเทียบหงอนไก่สีแดงกับหมวกของราชบัณฑิต เดือยไก่ที่มีความคมนั้นคล้ายดังอาวุธของทหารกล้า และการส่งเสียงขันยามรุ่งอรุณตรงต่อเวลาคือความสุจริต จนเป็นที่มาของภาพวาดรูปไก่ตามสิ่งของต่าง ๆ อีกด้วย ถ้าเล่าเพียงเท่านี้คงจะมีคนสงสัยต่อไปแน่นอนว่า แล้วทำไมไก่ถึงได้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดี ๆ อย่างที่กล่าว เรื่องนี้ต้องย้อนเล่าไปถึงตำนานพญาไก่ปราบปีศาจ ภาพวาดที่ชาวจีนโบราณใช้แปะไว้ที่ฝาประตูบ้านเพื่อป้องกันผีร้ายที่เล่ากันว่าในสมัยจักรพรรดิเหยาซึ่งชาวจีนมีความสงบสุข อยู่ดีกินดีนั้น ได้มีฑูตจากต่างแคว้นนำนกฉงหมิงมาถวายเป็นบรรณาการ นกฉงหมิงนี้รูปร่างเหมือนไก่ เสียงร้องไพเราะดังหงส์ แถมยังสะกดความดุร้ายของปีศาจได้อีกต่างหาก แต่เผอิญนกฉงหมิงไม่ได้มีถิ่นอาศัยอยู่ในจีน เพียงแต่จะบินย้ายถิ่นหนีร้อนหนีหนาวมาเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น พอถึงฤดูกาลที่นกฉงหมิงจะบินมา ชาวจีนก็จะทำความสะอาดบ้านเรือนไว้คอยต้อนรับ ถ้านกฉงหมิงไม่มา ผู้คนก็จะหันไปหาไก่ เพราะไก่มีความละม้ายเหมือนนกฉงหมิง ตั้งแต่นั้นมา ไก่จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้
เรียบเรียงจาก
- คู่มือท่องเที่ยวไชน่าทาวน์ : ประวิทย์ พันธุ์วิโรจน์
- ตรุษจีนเพื่อตรุษใจของจิตรา ก่อนันทเกียรติ : นิตยสารสกุลไทย 2548
- รุ้งสลับสีของดารีข่มอาวุธ, บนทางพิเศษของมาลัย : นิตยสารกุลสตรี 2544.
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษ ประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "เทศกาลตรุษจีน" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุ กรุงเทพ