ภายหลังจากที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายใน ค.ศ. 476 ยุโรปได้เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า สมัยกลาง มีระยะเวลาเกือบ 1,000 ปี สมัยกลางเป็นช่วงที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีอิทธิพลทางการเมือง เกิดการครอบงำความคิดของผู้คนในสมัยนี้เกือบจะทุกด้าน ดังนั้น นักประวัติศาสตร์บางกลุ่ม จึงเรียกสมัยกลางว่า “ยุคมืด” (Dark Ages) อันสะท้อนถึงการหยุดนิ่งในการพัฒนาภูมิปัญญาในเชิงสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม จะว่ายุคมืดนี้ไม่มีคุณูปการอะไรเลยต่ออารยธรรมโลกก็หาไม่ ยุคมืด หรือยุคกลางในโลกตะวันตกนี้ ยังคงมีการสั่งสมอารยธรรมที่เป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาในสมัยต่อมาเช่นกัน เพียงแต่การต่อยอดของอารยธรรมสมัยกลางนั้น ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ม่านหมอกแห่งความศรัทธา และการปกครองอย่างเข้มงวดของคริสตศาสนจักร
สังคมสมัยกลางมีลักษณะเป็นระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือ “ศักดินา” คือ ขุนนางเป็นเจ้าของที่ดิน ประชาชนมีฐานะเป็นข้าติดที่ดิน (Serf) อาศัยอยู่ในเขตแมเนอร์ (Manor) ของขุนนาง ลักษณะเด่นของสมัยกลางมีดังต่อไปนี้
- ด้านการเมืองการปกครอง มีระบบศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นระบบการเมืองการปกครองที่สำคัญ เป็นความผูกพันระหว่างเจ้าของที่ดิน (Suzerain หรือ Lord) กับ ผู้รับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Vassal)
- ด้านเศรษฐกิจ มีระบบแมเนอร์ (Manorial System) หมายถึง บริเวณที่ดินกว้างใหญ่รอบ ๆ คฤหาสน์ของขุนนาง ประกอบด้วย คฤหาสน์ของขุนนาง ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ที่ดินเพาะปลูก บ่อน้ำ โรงสี เป็นลักษณะของเศรษฐกิจแบบยังชีพ
- ด้านศิลปกรรม ประกอบด้วย ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque Arts) และ ศิลปะโกธิค (Gothic Arts) ซึ่งมีโครงสร้างโบสถ์เป็นการใช้โค้งยอดแหลม (Pointed Arch) มีการประดับหน้าต่างอาคารด้วยกระจกสี
- มรดกสำคัญของสมัยกลาง คือ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกในโลกในปี ค.ศ. 1088 คือ มหาวิทยาลัยโบโลญญา (University of Bologna) ทางตอนเหนือของอิตาลี
เรียบเรียงโดย : นำโชค อุ่นเวียง