อารยธรรมสมัยโบราณ เป็นรากฐานของความเจริญในยุคต่อมา อู่อารยธรรมในโลกตะวันตกนั้นประกอบไปด้วย อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมกรีก และอารยธรรมโรมัน ซึ่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย และอารยธรรมอียิปต์นั้น ถือเป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกตะวันตก ทั้งสองอารยธรรมเกิดขึ้นในดินแดนที่ใกล้เคียงกัน แต่ภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ทำให้มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน อารยธรรมทั้ง 2 แหล่งนี้ โดยเฉพาะอารยธรรมอียิปต์ ได้มีอิทธิพลต่อการก่อรูปของอารยธรรมกรีกอย่างมาก ซึ่งโรมันเป็นพวกที่รับช่วงเอาอารยธรรมกรีกไปใช้ และต่อยอดจนกลายเป็นอารยธรรมโรมัน ที่ได้แพร่กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่จักรวรรดิโรมันเคยยึดครอง และได้กลายเป็นแม่แบบทางวัฒนธรรมของโลกตะวันตกในปัจจุบัน
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
“เมโสโปเตเมีย” เป็นคำในภาษากรีก แปลว่า “ระหว่างแม่น้ำ” หมายถึงดินแดนที่ตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำ “ไทกริส” และ “ยูเฟรตีส” ปัจจุบันคือดินแดนของประเทศอิรัก
อารยธรรมเมโสโปเตเมียมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นหลายด้าน ทั้งเป็นกลุ่มอารยธรรมที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เท่าที่มีบันทึกหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน และเป็นอารยธรรมที่เกิดจากการผสมผสานความรู้ และวิทยาการจากหลายเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน โดยเป็นการรับมา และต่อยอดความคิดตลอดระยะเวลานับพันปี
สาเหตุที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียเกิดจากการผสมผสานความรู้ และวิทยาการจากชนหลายเผ่า เกิดจากความที่เป็นดินแดนที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำใหญ่สองสาย กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของ “ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์รูปจันทร์เสี้ยว” (Fertile Crescent) ซึ่งแวดล้อมไปด้วยพื้นที่อันแห้งแล้งกันดารแบบทะเลทราย ทำให้ชนชาติต่างๆ หมายปองที่จะเข้ามาแย่งชิงพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์นี้ แต่เมื่อครอบครองดินแดนนี้ได้แล้ว กลับรักษาอำนาจไว้ได้ไม่นานนัก เมื่อถูกรุกรานก็ปราชัยแก่ผู้มาใหม่ เพราะปราการธรรมชาติไม่แข็งแรงพอ ที่จะช่วยป้องกันผู้ครอบครองอู่อารยธรรมแห่งนี้
ผู้ที่ครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมีย จึงหมุนเวียนเปลี่ยนมือไปตลอดในหน้าประวัติศาสตร์ ชนกลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาครอบครองดินแดนนี้ที่สำคัญ ได้แก่ ชาวสุเมเรียน อัคคาเดียน อามอไรต์ ฮิตไทต์ คัสไซต์ อัสซีเรียน และ คาลเดียน ก่อนที่จะปิดฉากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ด้วยการถูกยึดครองโดยจักรวรรดิเปอร์เซียในที่สุด
ชาวสุเมเรียน (3500 B.C.) เป็นชนเผ่าที่ยึดครองดินแดนแถบนี้เป็นพวกแรกในหน้าประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะถูก ชาวอัคคาเดียน เข้ามายึดครอง อารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นจากชาวสุเมเรียนได้แก่
- ด้านเกษตรกรรม สร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง มีเขื่อนกั้นน้ำ อ่างเก็บน้ำ คลองระบายน้ำ ประตูน้ำ มีการเพาะปลูกด้วยเครื่องทุ่นแรงอย่างคันไถ เครื่องหยอดเมล็ดพืช เพาะปลูกข้าวสาลีเป็นหลัก มีการเลี้ยงวัวเพื่อรีดนมและเลี้ยงแกะเพื่อเอาขน
- ด้านหัตถกรรม ทำเครื่องปั้นดินเผา ทอผ้าและย้อมสีผ้า
- ด้านอุตสาหกรรม มีการใช้โลหะผสมอย่าง สำริด ทำเครื่องมือเครื่องใช้
- ด้านเศรษฐกิจ มีการใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย มีการใช้สัญญาทางการค้า
- ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ใช้วัสดุก่อสร้างคือ “อิฐ” ที่ทำจากดินเหนียวตากแห้ง และดินเหนียวเผาไฟ สร้างเทวาลัยที่มีรูปแบบเฉพาะตัวที่เรียกว่า “ซิกกูแรต” (Ziggurat)
- ด้านรัฐศาสตร์ ปกครองในรูปแบบนครรัฐ มีการแบ่งโครงสร้างชนชั้นในการปกครอง
- ด้านคณิตศาสตร์ มีความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ ทั้งพีชคณิต และเรขาคณิต เช่น การคำนวณพื้นฐาน เลขฐาน 60 การแบ่งวงกลมออกเป็น 360 องศา มีมาตราชั่งตวงวัด
- ด้านดาราศาสตร์ แบ่ง วัน เดือน ปี โดยสร้างปฏิทินจันทรคติด้วยความรู้ทางดาราศาสตร์
- ด้านวรรณกรรม ประดิษฐ์อักษรรูปลิ่มที่เรียกว่า “ตัวอักษรคูนิฟอร์ม” (Cuneiform) หนึ่งในตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีการจารึกมหากาพย์ “กิลกาเมซ” (Gilgamesh) ลงบนแผ่นดินเหนียวเผาไฟ
- ด้านศาสนา มีความเชื่อในพหุเทวนิยม มีการประพันธ์เทวปกรณ์อย่าง “เอนลิล” (Enlil) เป็นตำนานเทพเจ้า เรื่องราวของการกำเนิดโลก และเหตุการณ์น้ำท่วมโลก มีเทวาลัยของเทพแต่ละองค์ประจำเมือง มีนักบวชผู้ทำพิธีทางศาสนา
ชาวอามอไรต์ (1900-1600 B.C.) เป็นชนเผ่าที่มีอำนาจในดินแดนเมโสโปเตเมียต่อจากอัคคาเดียน โดยสามารถก่อตั้งจักรวรรดิ “บาบิโลเนีย” ครั้งที่หนึ่งขึ้นได้ สืบทอดอารยธรรมต่อจากสุเมเรียน และมีการต่อยอดทางอารยธรรมดังนี้
- ด้านรัฐศาสตร์ ขยายอาณาเขต และสถาปนาเป็นจักรวรรดิบาบิโลเนีย
- ด้านนิติศาสตร์ จัดทำประมวลกฎหมาย “ฮัมมูราบี” (The Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แนวคิดสำคัญคือรัฐมุ่งผดุงความยุติธรรมเพื่อมอบสวัสดิภาพให้แก่พลเมือง โดยอาศัยหลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” คือใครทำผิดอย่างไร ก็จะได้รับโทษอย่างเดียวกัน ซึ่งแนวคิดนี้ยังมีอิทธิพลในโลกอาหรับมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวฮิตไทต์ เป็นเผ่าอินโดยูโรเปียนที่เก่งกาจในการรบมาก เนื่องจากเป็นพวกแรกที่รู้จักการถลุงเหล็กมาใช้ทำเครื่องมือและอาวุธ ทำให้กองทัพฮิตไทต์มีความเกรียงไกรมาก จนสามารถขยายอาณาเขตจากเอเชียไมเนอร์ มาจนถึงกรุงบาบิโลน และโค่นล้มจักรวรรดิบาบิโลเนียครั้งที่หนึ่งลงได้ จึงได้ปกครองเมโสโปเตเมียต่อมา ก่อนที่จะถูก ชาวคัสไซต์ เข้ามายึดครองกรุงบาบิโลนต่อในภายหลัง
ชาวอัสซีเรียน (800 B.C.) เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของกรุงบาบิโลน ต่อมาสามารถก่อตั้งจักรวรรดิอัสซีเรียได้สำเร็จ มีเมืองหลวงคือ เมืองนิเนเวห์ ชาวอัสซีเรียเป็นชนเผ่าที่รบเก่ง ภายหลังสามารถกรีฑาทัพลงมายึดครองบาบิโลเนียได้สำเร็จ อัสซีเรียมีความเจริญสูงสุดในสมัยของพระเจ้า “อัสซูบานิปาล” (Assurbanipal) ก่อนจะถูกทำลายลงโดยกองทัพผสมของเหล่าอริ อัสซีเรียนรับอารยธรรมจากสุเมเรียนเช่นกัน และได้ฝากอารยธรรมของชาตินักรบไว้ดังนี้
- ด้านคมนาคม สร้างถนนเชื่อมดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองทั้งหลาย ให้สะดวกในการสัญจร ทั้งการติดต่อสื่อสาร การค้าขาย และการเคลื่อนกำลังพลในการทำสงคราม
- ด้านการทหาร ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในสมัยนั้น มีการใช้ทหารรับจ้างในการรบ
- ด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ก่อสร้าง “พระราชวังซาร์กอน” (Palace of Sargon at Khosrabad)
- ด้านศิลปกรรม แกะสลักภาพนูนต่ำ และภาพลอยตัว แสดงชีวิตประจำวันของชาวอัสซีเรีย
- ด้านอักษรศาสตร์ สร้างห้องสมุดนิเนเวห์ ห้องสมุดขนาดใหญ่ที่เก็บรวบรวมแผ่นจารึกไว้กว่า 22,000 แผ่น
ชาวคาลเดียน (612-538 B.C.) เป็นเผ่าที่เข้าร่วมกับเผ่าอื่นในการทำสงครามกับอัสซีเรีย จนสามารถเข้ายึดกรุงนิเนเวห์ของอัสซีเรียได้ในที่สุด และได้สถาปนากรุงบาบิโลนขึ้นมาใหม่ รวมทั้งได้ดำเนินการรื้อฟื้นอารยธรรมเก่าแก่ของบาบิโลนด้วย อารยธรรมที่สำคัญของคาลเดียนมีดังนี้
- ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ในสมัยพระเจ้า “เนบูคัดเนสซาร์” (Nebuchadnezzar) ด้วยความรู้ในระบบชลประทานที่เยี่ยมยอด ได้มีการสร้าง “สวนลอยบาบิโลน” (Hanging Gardens of Babylon) อันเลื่องชื่อ และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ซึ่งอาศัยแรงงานของเชลยชาวยิว ที่ทรงกวาดต้อนมาหลังจากตีกรุงเยรูซาเลมแตก
- ด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ พัฒนาองค์ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถทำแผนที่ดวงดาวได้ สามารถคำนวณการเกิดสุริยคราส และจันทรคราสได้ เป็นต้นกำเนิดของการแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7 วัน และยังมีการนำเอาการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า มาทำนายโชคชะตาของผู้คนอีกด้วย
อารยธรรมอียิปต์
“อียิปต์” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ไอยคุปต์” เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความเก่าแก่ไม่น้อยไปกว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมียที่อยู่ใกล้กัน ในสมัยโบราณ อียิปต์นั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ อียิปต์ตอนบน และอียิปต์ตอนล่าง โดยอียิปต์ตอนบน (พื้นที่สูงกว่า) จะอยู่ด้านทิศใต้ ส่วนอียิปต์ตอนล่าง (พื้นที่ต่ำกว่า) จะอยู่ทางด้านทิศเหนือบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ “ไนล์” ที่ไหลออกสู่ทะเล “เมดิเตอร์เรเนียน”
บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ เป็นส่วนหนึ่งของ “ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์รูปจันทร์เสี้ยว” (Fertile Crescent) เช่นเดียวกับเมโสโปเตเมีย แม่น้ำไนล์จะมีน้ำหลากท่วมสองฝั่งทุกปี ในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม กระแสน้ำจะพัดพาเอาตะกอนดินโคลนมาทับถมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งจะทำให้ดินฝั่งแม่น้ำมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูก
“เฮโรโดตุส” นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกได้บันทึกว่า “อียิปต์คือของขวัญจากแม่น้ำไนล์” คำกล่าวนี้นับว่าไม่เกินเลย เนื่องจากอารยธรรมของอียิปต์ เกิดจากการฟูมฟักของธรรมชาติที่โดดเด่น อย่างลุ่มน้ำไนล์อย่างแท้จริง
ชาวอียิปต์ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำไนล์แทบจะทุกด้าน เป็นแหล่งอาหาร ทั้งแหล่งประมง และพื้นที่เกษตรกรรม เป็นเส้นทางสัญจร ทั้งการคมนาคม การค้าขาย และการเดินทัพ อารยธรรมที่สั่งสมสืบทอดมาได้ส่วนหนึ่ง ก็อาศัยการบันทึกลงบนกระดาษที่ทำจากต้นกก “ปาปิรุส” ซึ่งขึ้นอยู่ตามริมน้ำนี้เอง
และนอกจากนั้น สภาพภูมิศาสตร์ที่แวดล้อมไปด้วยทะเลทรายกว้างใหญ่ มีลำน้ำผ่ากลางและท่วมหนักทุกปี ก็ยังเป็นปราการธรรมชาติที่ช่วยให้อียิปต์ได้มีช่วงเวลายาวนาน เพียงพอที่จะสั่งสมอารยธรรมโดยไม่ต้องคอยพะวงกับการรุกรานจากภายนอก เหมือนแถบเมโสโปเตเมียอีกด้วย
อารยธรรมอียิปต์แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ คือ สมัยก่อนราชวงศ์ สมัยราชวงศ์ และสมัยเสื่อมอำนาจ
สมัยก่อนราชวงศ์มีเหตุการณ์สำคัญคือ “ราชาแมงป่อง” (Scorpion King) พยายามรวมอียิปต์ตอนบน และตอนล่างเป็นหนึ่งเดียว แต่สิ้นพระชนม์ก่อน จนถึงสมัย “ฟาโรห์เมเนส” (3150 B.C.) จึงสามารถรวมทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จ และสถาปนาตนเองเป็นฟาโรห์องค์ที่ 1 แห่งอียิปต์ มี “เมมฟิส” เป็นเมืองหลวง เริ่มเข้าสู่ช่วงราชวงศ์
จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์ที่ 20 อียิปต์เข้าสู่ยุคเสื่อม เมื่อตกอยู่ภายใต้การปกครองของชนต่างเผ่าอย่าง ลิเบียน นูเบียน ต่อมาพ่ายแพ้ให้กับอัสซีเรียน (664 B.C.) และถูกยึดครองโดยจักรวรรดิเปอร์เซีย 2 ครั้ง (525-404 B.C. และ 341-332 B.C.) ก่อนที่เปอร์เซียจะปราชัยให้กับกรีก ซึ่งปกครองอียิปต์ต่อมา (332-30 B.C.) จนท้ายที่สุด ราชวงศ์ทอเลมีก็สิ้นสุดลง เมื่ออียิปต์ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน (30 B.C.)
อารยธรรมที่โดดเด่นของอียิปต์มีดังนี้
- ด้านเกษตรกรรม มีระบบชลประทาน มีการทำนาริมฝั่งแม่น้ำ ปลูกข้าวสาลีทำขนมปัง ปลูกข้าวบาร์เลย์ผลิตเบียร์
- ด้านหัตถกรรม ทอผ้าลินิน ผลิตกระดาษปาปิรุส ทำเครื่องปั้นดินเผา ผลิตแก้ว
- ด้านอุตสาหกรรม ทำเหมืองหินแกรนิต หินทราย
- ด้านการแพทย์ มีการรักษาด้วยการผ่าตัด มีทันตแพทย์ ศัลยแพทย์ มีเทคนิคในการดองศพ หรือมัมมี
- ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ก่อสร้าง มัสตาบา (Mastaba) เทวาลัย สุสานกษัตริย์ พีระมิดหลายขนาด โดย “มหาพีระมิดแห่งกิซา” (The Great Pyramid of Giza) เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด สร้างในสมัยฟาโรห์คูฟู และยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันอีกด้วย
- ด้านศิลปกรรม รูปเขียนสีตามฝาผนังสิ่งก่อสร้าง เสาวิหาร งานแกะสลักหินทั้งรูปนูนต่ำ รูปลอยตัว ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
- ด้านรัฐศาสตร์ มีระบบการปกครองแบบสมมติเทพ ฟาโรห์มีอำนาจสูงสุด แบ่งชนชั้นเป็น 4 ชนชั้น
- ด้านคณิตศาสตร์ มีความก้าวหน้าทางคณิตศาตร์ พีชคณิต เรขาคณิต
- ด้านดาราศาสตร์ สร้างปฏิทินสุริยคติ แบ่งวันออกเป็น 365 วัน
- ด้านอักษรศาสตร์ ประดิษฐ์อักษรภาพ ไฮโรกลิฟฟิก (Hieroglyphic)
- ด้านศาสนา มีความเชื่อในพหุเทวนิยม เชื่อในชีวิตหลังความตาย มีคัมภีร์ทางศาสนาคือ “คัมภีร์มรณะ” (Book of the Dead)
อารยธรรมกรีก
“กรีก” เป็นชื่ออู่อารยธรรมที่สำคัญที่สุดในโลกตะวันตก เพราะเป็นรากเหง้าของความคิด และวิทยาการที่เจริญต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ “กรีก” เป็นคำที่ชาวโรมันเรียก ส่วนชาวกรีกจะเรียกตัวเองว่า “เฮลลีน” (Hellene) และเรียกดินแดนของตัวเองว่า “เฮลลาส” (Hellas)
อารยธรรมกรีก เป็นผลรวมของอารยธรรมของอินโดยูโรเปียนเผ่าต่างๆ เช่น ไอโอเนียน ไมซีเนียน ดอเรียน ที่ครอบครองพื้นที่รอบๆ บริเวณทะเล “อีเจียน” (Aegean Sea) ตั้งแต่สองพันปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน โดยภูมิประเทศส่วนใหญ่ เป็นภูเขา และเกาะ ชาวกรีกจึงถนัดในการเดินเรือ ทั้งในการประมง การติดต่อค้าขาย และการเดินทัพเพื่อทำสงคราม แต่ไม่โดดเด่นเรื่องการเพาะปลูก เพราะที่ราบลุ่มมีน้อย และด้วยเหตุนี้ กรีกจึงมีลักษณะการปกครองแบบนครรัฐ รัฐต่างๆ เป็นอิสระต่อกัน ต่างจากอียิปต์ที่ลักษณะภูมิประเทศเอื้อให้มีการรวมศูนย์อำนาจได้ง่ายกว่า
แต่การที่นครรัฐต่างๆ ของกรีกไม่ได้รวมตัวเป็นจักรวรรดิใหญ่อย่างอียิปต์ หรือบาบิโลน ก็ไม่ได้ทำให้การพัฒนาอารยธรรม หรือวิทยาการของกรีกด้อยไปกว่าทั้งสองจักรวรรดิ เพราะกรีกได้เปรียบจากการเดินเรือติดต่อค้าขายกับดินแดนต่างๆ ทำให้ชาวกรีกมีโลกทัศน์กว้างกว่าชนชาติอื่นในเวลานั้น
การได้เห็นโลกมากกว่า พบประสบการณ์แปลกใหม่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการพัฒนาความคิดทั้งการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมือน ความต่าง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างวิทยาการ และองค์ความรู้ใหม่ๆ และเกิดความคิดสร้างสรรค์จากการลอกเลียน และต่อยอดความรู้ของชนชาติอื่น สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้กรีกสามารถพัฒนาระบบความคิดได้อย่างโดดเด่น จนกลายเป็นแม่แบบของความคิดในโลกตะวันตกจนปัจจุบัน
ก่อนอารยธรรมกรีกจะเริ่มขึ้นนั้น มีอารยธรรมของ “ไมโนน” (Minoan) ที่ได้ก่อร่างขึ้นที่ “เกาะครีต” อยู่ก่อน จนต่อมาเผ่าอินโดยูโรเปียนพวก “เอเคียน” (Achaean) หรือชื่อใหม่คือ “ไมซีเนียน” (Mycenaean) จากแผ่นดินใหญ่เข้ามาแทนที่ (1400-1200 B.C.) จนกระทั่งไมซีเนียนถูกพวก “ดอเรียน” (Dorian) เข้ารุกราน จนอารยธรรมไมซีเนียนสิ้นสุดลง (1100 B.C.) จึงเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคมืด
ยุคมืดนี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์น้อยมาก แต่มีเรื่องราวการรบพุ่งของวีรบุรุษชาวกรีก กับกรุงทอย ปรากฏอยู่ในมหากาพย์ “อีเลียด” (Iliad) และ “โอดิสซี” (Odyssey) บทประพันธ์ของมหากวีเอก “โฮเมอร์” (Homer) จึงเรียกชื่อยุคนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ยุคโฮเมอร์ มหากาพย์ทั้ง 2 เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าแบบปากต่อปาก จนกระทั่งกรีกมีตัวอักษรใช้ จึงได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง (750-700 B.C.)
อารยธรรมกรีกแบ่งได้เป็น 2 ช่วงเวลา คือ “อารยธรรมเฮลเลนิก” (Hellenic Civilization, 750-336 B.C.) และ “อารยธรรมเฮลเลนิสติก” (Hellenistic Civilization, 336-31 B.C.) โดยช่วงอารยธรรมเฮลเลนิก หรือยุคคลาสสิก (Classical Age) ได้เกิดนครรัฐกรีกที่สำคัญคือ “เอเธนส์” (Athens) และ “สปาร์ตา” (Sparta)
เอเธนส์มีการปกครองแบบประชาธิปไตย พลเมืองมีความคิดก้าวหน้า มีเสรีภาพ เป็นบ้านเกิดของอารยธรรมทางความคิดของกรีก ส่วนสปาร์ตาปกครองแบบคณาธิปไตย เป็นรัฐเผด็จการทหาร ชาวสปาร์ตามีวินัยมาก มีความสามารถในการรบ ต่อมาจักรวรรดิเปอร์เซียได้ขยายอำนาจเข้ามาในเอเชียไมเนอร์ จนนำไปสู่สงครามกับเอเธนส์ (497 B.C.) แต่ผลของการรบเอเธนส์เป็นฝ่ายกำชัยชนะ (479 B.C.)
ภายหลังสงคราม นครรัฐต่างๆ ของกรีกได้รวมกันจัดตั้งสหพันธรัฐแห่งเกาะเดลอส เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกองทัพเปอร์เซีย โดยมีเอเธนส์เป็นหัวเรือใหญ่ ทว่าสหพันธรัฐเดลอสมีทีท่าว่าจะกลายเป็นจักรวรรดิเอเธนส์ สปาร์ตาจึงเปิดศึกกับเอเธนส์ และได้ชัยชนะ แต่สปาร์ตามีอำนาจเหนือเอเธนส์เพียงไม่นาน ก็ถูกเอเธนส์และนคร “ธีบีส” โจมตีจนพ่ายแพ้ (371-362 B.C.) ก่อนที่ “พระเจ้าฟิลลิปที่ 2” (Phillip II) แห่ง “มาเซโดเนีย” (Macedonia) จะยึดครองนครรัฐกรีกไว้ได้ทั้งหมด (338 B.C.)
หลังจากเมเซโดเนียปกครองกรีกทั้งปวงแล้ว อารยธรรมกรีกก็นับว่าเข้าสู่ยุคเฮลเลนิสติก “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช” (Alexander the Great) โอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 ได้กรีฑาทัพไปปลดแอกหัวเมืองกรีกในเอเชียไมเนอร์ ที่ถูกเปอร์เซียยึดครองไว้ก่อนหน้า แล้วเคลื่อนทัพบุกยึดดินแดนต่างๆ ทั้ง อียิปต์ เมโสโปเตเมีย จนกระทั่งเอาชนะ “พระเจ้าดาริอัสที่ 3” แห่งจักรวรรดิเปอร์เซียได้อย่างเด็ดขาด
แล้วยังเคลื่อนทัพต่อมาจนกระทั่งถึงลุ่มน้ำ “สินธุ” ของอินเดีย สามารถยึดครองอินเดียทางเหนือได้บางส่วน ก่อนที่ทหารส่วนหนึ่งจะก่อหวอดเนื่องจากคิดถึงบ้าน อเล็กซานเดอร์มหาราชจึงยกทัพกลับ แต่ก็สิ้นพระชนม์ที่กรุงบาบิโลนเสียก่อน (323 B.C.) ด้วยวัยเพียง 33 ชันษา
การที่กรีกสามารถยกทัพข้ามทวีปยึดครองดินแดนได้ค่อนโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน เป็นรองเพียงดินแดนของจักรวรรดิมองโกลในเวลาต่อมาเท่านั้น ทำให้อารยธรรมกรีกได้แพร่กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ อย่างกว้างขวาง จึงเป็นที่มาของชื่อยุคเฮลเลนนิสติก อย่างไรก็ตาม อารยธรรมเฮลเลนนิสติกก็ถึงกาลสิ้นสุดลง เมื่อตกอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิโรมัน (31 B.C.)
อารยธรรมที่เป็นมรดกตกทอดของกรีกมีดังนี้
- ด้านเกษตรกรรม พืชสำคัญ ได้แก่ มะกอก และองุ่น
- ด้านหัตถกรรม เกิดเครื่องปั้นดินเผากรีกโบราณ
- ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ซุ้มประตูโค้ง เสาหินแบบต่างๆ “ดอริก” “ไอโอนิก” และ “โครินเธียน” หลังคาจั่ว โรงละคร สนามกีฬากลางแจ้ง วิหารเทพเจ้าต่างๆ เช่น “วิหารพาร์เธนอน” (Parthenon) เทวาลัยของเทพี “อธีนา” “เทวรูปซูสแห่งโอลิมเปีย” (Statue of Zeus at Olympia) “วิหารอาร์ทิมิส” (Temple of Artemis at Ephesus) “มหารูปแห่งโรดส์” (Colossus of Rhodes) ในทะเลเอเจียน “ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย” (Lighthouse of Alexandria) ซึ่ง 4 อย่างหลังเป็น 4 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
- ด้านกีฬา ต้นกำเนิดกีฬา “โอลิมปิก” (Olympic Game, 776 B.C.)
- ด้านศิลปกรรม รูปปั้นเทพเจ้า และวีรบุรุษที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ สมจริง ลายจิตรกรรมบนผนัง และภาชนะ ละคร “สุขนาฏกรรม” (Comedy) และ “โศกนาฏกรรม” (Tragedy)
- ด้านการแพทย์ เกิดบิดาแห่งการแพทย์ “ฮิปโปเครตีส” (Hippocrates)
- ด้านรัฐศาสตร์ กรุงเอเธนส์เป็นต้นแบบระบอบประชาธิปไตย
- ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กำเนิดทฤษฎีบทของ “ไพธากอรัส” (Pythagoras) เรขาคณิตแบบ “ยูคลิด” (Euclid) และ “อาร์คิมีดีส” (Archimedes)
- ด้านดาราศาสตร์ “เอราทอสธีนีส” (Eratosthenes) คำนวณความยาวรอบโลกได้ และค้นพบว่าการขึ้นลงของระดับผิวน้ำบนโลกขึ้นกับดวงจันทร์
- ด้านวรรณกรรม มหากาพย์ “อีเลียด” และ “โอดิสซี” ของ “โฮเมอร์”
- ด้านอักษรศาสตร์ ประดิษฐ์ตัวอักษรกรีก
- ด้านประวัติศาสตร์ กำเนิดบิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์โลก เฮโรโดตุส (Herodotus) และทูซิดิเดส (Thucydides) ผู้บันทึก “สงครามเพโลโพนีเซียน” (The Peloponnesian War)
- ด้านศาสนา ระบบความเชื่อแบบพหุเทวนิยม เทวปกรณ์กรีก
- ด้านปรัชญา มี “ธาลีส” (Theles) บิดาแห่งปรัชญาตะวันตก ผู้เริ่มอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติด้วยเหตุผล รวมถึง “โซคราตีส” (Socrates) “พลาโต” (Plato) “อาริสโตเติล” (Aristotle) สามมหาปราชญ์แห่งเอเธนส์
อารยธรรมโรมัน
“อารยธรรมโรมัน” เป็นอารยธรรมของพวกอินโดยูโรเปียนเผ่า “ละติน” (Latin) และเผ่า “อีทรัสกัน” (Etruscan) ซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่กรุงโรม ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิตาลี จักรวรรดิโรมันรับช่วงอารยธรรมต่อมาจากจักรวรรดิมาเซโดเนีย หรือกรีก อีกทอดหนึ่ง หลังจากกลืนดินแดนกรีกไว้ใต้อำนาจได้ แม้จะเป็นผู้ชนะสงคราม แต่โรมันกลับเป็นฝ่ายรับเอาอารยธรรมในด้านต่างๆ จากกรีกมาเป็นแม่แบบ
ด้วยความที่ภูมิประเทศเป็นแหลมที่ยื่นยาวไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวโรมันจึงเดินเรือติดต่อค้าขาย และทำสงครามชิงดินแดนอื่นได้อย่างสะดวก แม้พื้นที่ส่วนมากจะเป็นภูเขา แต่ก็ยังมีที่ราบลุ่มให้เพาะปลูกได้อย่างเพียงพอ ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทางตอนบนยังมีเทือกเขาสูง คอยเป็นปราการธรรมชาติป้องกันผู้รุกรานจากทางบกอีกด้วย ปัจจัยเหล่านี้เอื้อให้โรมันสั่งสมอำนาจ ความมั่งคั่ง และบ่มเพาะอารยธรรมของตนเองได้อย่างมั่นคง
ตามตำนานแล้ว กรุงโรมก่อตั้งขึ้นเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตศักราช โดย “โรมูลัส” (Romulus) และ “รีมัส” (Remus) สองพี่น้อง โดยชื่อกรุงโรมตั้งตามชื่อของโรมูลัส ซึ่งโรมในช่วงแรกปกครองโดยกษัตริย์ ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็น “สาธารณรัฐ” ซึ่งปกครองโดย “วุฒิสภา” แทน (509 B.C.)
การปฏิวัตินี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง พวกละติน และผู้ปกครองชาวอีทรัสกัน หลังจากขับไล่กษัตริย์อีทรัสกันออกไปแล้ว ทั้ง 2 เผ่าก็ได้ผสมกลมกลืนกัน จนกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวโรมันในเวลาต่อมา
ต่อมาภายหลัง เกิดความขัดแย้งในเรื่องสิทธิตามกฎหมายระหว่างชนชั้น ผลของความขัดแย้งนี้กลายเป็น “กฎหมาย 12 โต๊ะ” เป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ความยุติธรรมแก่พลเมืองโดยเท่าเทียมกัน ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นมรดกของชาวโรมันโดยแท้ ที่ได้มอบไว้ให้แก่ชาวโลก
สาธารณรัฐโรมันมีกำลังกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถยึดครองคาบสมุทรอิตาลีได้ทั้งหมด และยังขยายอาณาเขตไปโดยรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หลังจากเอาชนะพวก “คาร์เทจ” (Carthage) ซึ่งมีอำนาจในแถบตอนเหนือของอาฟริกาลงได้อย่างราบคาบ โรมันก็ยึดครองดินแดนยุโรปฝั่งตะวันตก ไปจนถึงสเปนในปัจจุบัน รวมทั้งดินแดนอาฟริกาตอนเหนือรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วย
กระทั่งถึงยุคของ “จูลีอัส ซีซาร์” (Julius Caesar) แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของโรมัน ซึ่งตั้งตนเองเป็นผู้เผด็จการตลอดชีพ หลังจากปราบจลาจลในกรุงโรมลงได้ ซีซาร์กุมอำนาจเหนือวุฒิสภา ฝ่าฝืนกฎหมายโรมัน ยังความไม่พอใจให้วุฒิสมาชิกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเกรงว่าโรมันจะกลายเป็นระบอบจักรวรรดิ จึงวางแผนการลอบสังหารผู้เผด็จการตลอดชีพ แต่โรมันก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตาได้
ภายหลังซีซาร์ถูกลอบสังหาร (44 B.C.) “ออคตาวีอัส” (Octavius) ทายาทบุญธรรมของซีซาร์ก็สามารถรวบอำนาจการปกครองอาณาจักรโรมันไว้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ (Emperor) แห่งจักรวรรดิโรมัน (27 B.C.) มีพระนามว่า “ออกัสตัส” (Augustus) โดยตำแหน่งจักรพรรดิต่อมานิยมเรียกว่า “ซีซาร์” ตามชื่อสกุลของออคตาวีอัส
การที่โรมันสามารถยึดครองเมเซโดเนียได้ ทำให้ดินแดนส่วนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเมเซโดเนีย กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่ไปด้วย ในยุคของจักรพรรดิออกัสตัสนี้ นับเป็นยุคทองที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อารยธรรมกรีกผสมโรมันได้แพร่กระจายไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วภาคพื้นยุโรป อาฟริกาตอนบน ตลอดจนแถบเมโสโปเตเมีย
จักรวรรดิโรมันยังคงเรืองอำนาจต่อมา จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ เมื่อจักรพรรดิ “คอนสแตนติน” (Constantine) โปรดให้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรมไปที่ “ไบแซนติอุม” (Byzantium) และตั้งชื่อเมืองหลวงใหม่ตามพระนามของพระองค์ว่า “คอนสแตนติโนเปิล” (Constantinople) ซึ่งปัจจุบันนี้คือเมือง “อิสตันบูล” ในประเทศตุรกี ส่งผลให้โรมันแตกออกเป็นสองอาณาจักรในเวลาต่อมา (395 A.C.) คือ โรมันตะวันตก มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมตามเดิม และโรมันตะวันออกซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “จักรวรรดิไบแซนไทน์” (Byzantine) มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล
จากนั้น อำนาจที่เคยยิ่งใหญ่ของโรมันก็เสื่อมถอยลงตามลำดับ จนกระทั่งอนารยชนเยอรมันเผ่า “วิซิกอธ” (Visigoth) ได้เข้ามารุกรานกรุงโรม (410 A.C.) จนกระทั่งจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ต้องล่มสลายลงในปีคริสตศักราช 476 ถือเป็นการปิดฉากของอารยธรรมโลกตะวันตกสมัยโบราณลงแต่เพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้กรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิไบแซนไทน์จะยังคงอยู่ แต่ด้วยเหตุที่จักรพรรดิคอนสแตนตินได้ประกาศให้ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน ทำให้อารยธรรมทางความคิดนับจากนี้ไปถูกปิดกั้น ไม่มีการพัฒนาทางความคิด และวิทยาการมากนัก ซึ่งต่างจากสมัยกรีกโดยสิ้นเชิง อารยธรรมตะวันตกจึงถือว่าเริ่มเข้าสู่ยุคมืด หรือยุคกลางนับจากนั้นมา
อารยธรรมที่โดดเด่นของโรมันมีดังนี้
- การทำปฏิทิน จูเลียส ซีซาร์ได้ปฏิรูปปฏิทินโรมันให้เป็น “ปฏิทินจูเลียน” เริ่มใช้เมื่อ 45 ปีก่อนคริสตศักราช โดยใน 1 ปี จะแบ่งเป็น 12 เดือน มี 365 วัน คล้ายกับระบบปฏิทินในปัจจุบัน
- ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม มีการใช้ปูนซีเมนต์ ถนนคอนกรีตเชื่อมดินแดนต่างๆ มีท่อระบายน้ำ สะพาน ท่อส่งน้ำ (Aqueduct) โรงอาบน้ำสาธารณะ ระบบบำบัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล เสาโรมัน หลังคาโดม ประตูชัย (Triumphal Arch) ลานคนเมือง ฟอรัมทราจัน (Forum of Trajan) โรงละครและสนามกีฬา “โคลอสเซียม” (Colosseum) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เทวาลัยหรือวิหารเทพเจ้า “วิหารแพนธีออน” (Pantheon)
- ด้านศิลปกรรม ต่อยอดจากกรีก แกะสลักรูปลอยตัวเหมือนจริง
- ด้านการแพทย์ วิธีทำคลอดด้วยการผ่าหน้าท้อง มีการใช้ยาสลบ
- ด้านรัฐศาสตร์ ต้นแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ จัดทำประมวลกฎหมายคือ “กฎหมาย 12 โต๊ะ”
- ด้านอักษรศาสตร์ ประดิษฐ์ตัวอักษรโรมัน ภาษาละตินซึ่งเป็นรากของภาษายุโรปส่วนใหญ่
- ด้านศาสนา ระบบความเชื่อแบบพหุเทวนิยม การเผยแผ่ศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก
เรียบเรียงโดย : มรุตเทพ วงษ์วาโย