ปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดความชื้นอากาศ ถ้ามีไอน้ำมากจะทำให้อากาศชื้น ถ้ามีไอน้ำน้อยจะทำให้อากาศแห้ง เราสามารถบอกค่าความชื้นในอากาศได้ 2 วิธี คือ การบอกค่าความชื้นสัมบูรณ์และการบอกค่าความชื้นสัมพัทธ์
ความชื้นของอากาศ คือ สภาวะที่อากาศมีไอน้ำปะปนอยู่ ปริมาณไอน้ำในอากาศจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิสูงอากาศจะรับไอน้ำได้มากกว่าอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า
อากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำ คือ สภาพอากาศที่อุณหภูมิหนึ่ง เมื่ออากาศรับไอน้ำไว้จนเต็มที่แล้ว จึงทำให้อากาศไม่สามารถจะรับไอน้ำเพิ่มได้อีก อากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำมีความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 100
อากาศชื้น คือ อากาศที่มีปริมาณไอน้ำมาก และสามารถรับไอน้ำได้อีกเล็กน้อย
อากาศแห้ง คือ อากาศที่มีปริมาณไอน้ำในอากาศน้อย และสามารถจะรับไอน้ำได้อีกในปริมาณมาก
ความชื้นอากาศทำให้เกิดผลดี ดังนี้
- ความชื้นอากาศพอเหมาะ ช่วยให้เมล็ดพืชงอก และทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี
- ความชื้นอากาศต่ำ ทำให้น้ำระเหยได้เร็ว ทำให้เสื้อผ้าและผลผลิตทางการเกษตรที่ตากไว้แห้งเร็ว
ความชื้นอากาศทำให้เกิดผลเสีย ดังนี้
- ทำให้เหล็กเป็นสนิม ทำให้สิ่งของที่ทำจากเหล็กเสียหาย
- ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี เชื้อราจึงทำลายผลผลิตทางการเกษตรได้มาก
การจะบอกว่าอากาศมีความชื้นมากหรือมีความชื้นน้อย มีอยู่ 2 วิธี คือ
1. ความชื้นสัมบูรณ์ (absolute humidity)
ความชื้นสัมบูรณ์ คือ อัตราส่วนระหว่างมวลของไอน้ำในอากาศกับปริมาตรของอากาศนั้น สามารถหาได้จากสูตร
ตัวอย่าง
ในอากาศ 10 ลูกบาศก์เมตร มีไอน้ำอยู่ 20 กรัม จงหาความชื้นสัมบูรณ์ของอากาศนั้น
วิธีทำ
ตอบ ความชื้นสัมบูรณ์ของอากาศ = 2 g/m3
2. ความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity)
ความชื้นสัมพัทธ์ คือ อัตราส่วนระหว่างมวลของไอน้ำที่มีอยู่จริงในอากาศกับมวลของไอน้ำเมื่ออากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิและปริมาตรเดียวกัน นิยมคิดเป็นร้อยละ สามารถหาได้จากสูตร
ตัวอย่าง
ที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส อากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำ 160 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ขณะนั้นมีไอน้ำอยู่เพียง 140 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์เท่าไร
วิธีทำ
ตอบ
อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 87.5 (อากาศที่อุณหภูมินี้รับไอน้ำไว้ 87.5% ของที่รับได้)