ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้
1. อารยธรรมจีน
1.1 อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ร่องรอยอารยธรรมจีนเริ่มปรากฏขึ้นในยุคหินเก่า เมื่อมีการขุดค้นพบโครงกระดูก “มนุษย์ปักกิ่ง” ซึ่งมีอายุ 500,000–300,000 ปีมาแล้ว
แหล่งโบราณคดี 2 แหล่ง ซึ่งมีลักษณะเด่นมาก คือ
1. วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao culture) ขุดพบซากโบราณคดีที่บริเวณมณฑลเหอหนาน
2. วัฒนธรรมหลงชาน (Longshan culture) ขุดพบซากโบราณคดีที่บริเวณมณฑลชานตง จนถึงเมืองหางโจว มีการตั้งแหล่งชุมชน
1.2 อารยธรรมจีนสมัยประวัติศาสตร์
1.2.1 ประวัติศาสตร์และพัฒนาการของการก่อตัวเป็นรัฐ
ราชวงศ์แรกในยุคประวัติศาสตร์ของจีน คือ ราชวงศ์โจว ปกครองแบบนครรัฐ เป็นยุคแรกที่รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ
1.2.2 พัฒนาการด้านอารยธรรมและความเจริญของจีน
1. ศาสนาและความเชื่อ ในสมัยราชวงศ์ชาง ชาวจีนนับถือเทพเจ้าและเชื่อเรื่องวิญญาณ จึงมีการเคารพบูชาบรรพบุรุษ
ในช่วงที่เกิดความแตกแยกสมัยราชวงศ์โจว ทำให้เกิดนักปรัชญามากมายเพื่อแก้ปัญหาสังคมและการเมือง มีแนวคิด 3 ลัทธิ ได้แก่ ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า ลัทธิฝ่าเจียหรือนิติธรรมนิยม
2. ศิลปะและนวัตกรรม การผลิตภาชนะสำริดและความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ มีความเจริญก้าวหน้าในสมัยราชวงศ์ชาง สามารถผลิตปฏิทินในระบบจันทรคติ ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคที่ประเทศจีนแตกแยก ได้นำเหล็กมาใช้แทนสำริด ซึ่งทนทานกว่า ขณะเดียวกันการแกะสลักหยกเจริญก้าวหน้า และนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ
สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซี แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางประติมากรรมของจีน
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการประดิษฐ์กระดาษ เครื่องมือตรวจวัดตำแหน่งดวงดาว สามารถคำนวณได้ว่า 1 ปีมี 365 วัน และคำนวณการเกิดจันทรุปราคาได้
3. ตัวอักษรและวรรณกรรม อักษรจีนเป็นต้นกำเนิดของอักษรภาพ พัฒนามาจากการวาดภาพเพื่อบันทึกเรื่องราวของมนุษย์สมัยโบราณ ในสมัยราชวงศ์ชางและราชวงศ์โจวนิยมสลักคำทำนายบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ เรียกว่า อักษรกระดองเต่า จนกระทั่งจักรพรรดิจิ๋นซีรวมประเทศเป็นปึกแผ่นได้แล้ว จึงปรับให้ใช้อักษรจีนรูปแบบเดียวกันทั้งหมด กลายเป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะเรียกว่า ศิลปะแบบพู่กันจีน (Calligraphy) อีกด้วย
วรรณกรรมชุดแรกที่มีชื่อเสียง คือ “อู่จิง” แปลว่า “คัมภีร์ทั้ง 5 (Five Classics) จัดทำโดยขงจื๊อ ได้แก่
1) ซือจิง เป็นหนังสือที่รวบรวมบทกลอนจากแคว้นต่าง ๆ
2) ซูจิง เป็นหนังสือที่รวบรวมคำประกาศ เอกสารราชการ
3) อี้จิง เป็นตำราทำนายดวงชะตา
4) หลี่จี้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับจารีต ขนบธรรมเนียม
5) ชุนชิว เป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เรียบเรียงโดยขงจื๊อ
4. การติดต่อค้าขาย ในสมัยราชวงศ์ชาง ใช้เปลือกหอย หรือหอยเบี้ยเป็นสื่อกลางซื้อขาย และเปลี่ยนมาใช้เงินตราในราชวงศ์โจว
จักรพรรดิจิ๋นได้ยกเลิกระบบเงินตรา และมาตรการวัดของแคว้นต่าง ๆ ให้ใช้ตามแบบอย่างในแคว้นฉินที่มีอยู่เดิม เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศ ทำให้การติดต่อค้าขายสะดวกยิ่งขึ้น
ต่อมาได้มีการบุกเบิกเส้นทางสายไหมขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น โดยเริ่มต้นที่เมืองฉางอาน และสิ้นสุดที่จักรวรรดิโรมัน
1.3 อิทธิพลของอารยธรรมจีน
ดินแดนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน เช่น เกาหลี เวียดนาม จะได้รับอารยธรรมจีนอย่างสมบูรณ์ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะยอมรับอารยธรรมจีนด้วยผลประโยชน์ทางการค้า ส่วนเส้นทางการค้าสายไหม มีการแลกเปลี่ยนระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับจีน จีนได้แพร่ขยายวิทยาการและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
2. อารยธรรมอินเดีย
2.1 อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ
หลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบในเมืองฮารัปปาและเมืองโมเฮนโจดาโร เกิดจากชาวดราวิเดียนซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของอินเดีย สันนิษฐานว่าอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุมีความเจริญในระดับเดียวกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย โดยพบเครื่องประดับของอารยธรรมเมโสโปเตเมียในเมืองฮารัปปาและโมเฮนโจดาโร
2.2 อารยธรรมอินเดียภายหลังการเข้ามาของชาวอารยัน
2.2.1 ประวัติศาสตร์และพัฒนาการของการก่อตัวเป็นรัฐ
ก่อนที่อารยธรรมอินเดียจะพัฒนาไปสู่จักรวรรดิ แบ่งได้ 2 ยุค คือ
1. ยุคพระเวท เป็นยุคแรกที่ชาวอารยันมาตั้งหลักแหล่งมั่นคงในอินเดีย เกิดเป็นระบบวรรณะ
2. ยุคมหากาพย์ (ประมาณ 900–600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นช่วงที่ชาวอารยันขยายตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือและทางตอนกลางของอินเดีย มีการก่อตั้งเมืองต่าง ๆ แคว้นที่มีอำนาจในสมัยนั้น คือ แคว้นมคธ
2.2.2 พัฒนาการด้านอารยธรรมและความเจริญของอินเดีย
1. ศาสนาและความเชื่อ ในตอนแรกชาวอินเดียนับถือเทพเจ้า ต่อมาในยุคพระเวทได้เกิดคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า คัมภีร์พระเวท ประกอบด้วย ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท
การปกครองของสังคมแบ่งออกเป็น 4 วรรณะ คือพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร หากแต่งงานข้ามวรรณะ บุตรจะกลายเป็นคนที่อยู่นอกวรรณะ เรียกว่า จัณฑาล กลายเป็นที่รังเกียจของสังคม
ต่อมาเกิดศาสนาขึ้นใหม่ 2 ศาสนา เป็นศาสนาแบบอเทวนิยม
1) ศาสนาเชน ศาสดาคือ พระมหาวีระ
2) พระพุทธศาสนา ศาสดาคือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ หรืออริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นหลักการของพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังเชื่อในกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดย่อมได้ผลตอบแทน พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
2. ศิลปะและนวัตกรรม ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญ ดังนี้
1) สถูป สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
2) ถ้ำวิหาร สร้างเพื่อให้พระสงฆ์จำวัด
3) เสาหิน เป็นเสาหินขนาดใหญ่ที่สวยงาม แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าอโศกมหาราชทรงยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนา
ในช่วงที่ชาวกรีกครอบครองทางตอนเหนือของอินเดีย เกิดการผสมผสานศิลปะของกรีกและอินเดียขึ้น เรียกว่า ศิลปะคันธาระ โดยมีการปั้นรูปพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก
นักคณิตศาสตร์ได้พัฒนาสัญลักษณ์ของตัวเลข ซึ่งเป็นรากฐานของตัวเลขที่ใช้ในปัจจุบัน รวมถึงระบบทศนิยมและสมการพีชคณิตกำลังสอง
ส่วนการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้า เชี่ยวชาญในการเสริมความงามและผลิตยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อนได้ สมัยคุปตะมีความก้าวหน้ากว่าอาณาจักรอื่น
3. ตัวอักษรและวรรณกรรม
ยุคมหากาพย์ ได้เกิดวรรณคดีที่ยิ่งใหญ่ 2 เรื่อง คือ
1) มหากาพย์รามายณะ
2) มหากาพย์มหาภารตะ
4. การติดต่อค้าขาย ในสมัยจักรวรรดิเมารยะ การค้าขายมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะบ้านเมืองอยู่ในความสงบ
2.3 อิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย
อารยธรรมอินเดียได้แพร่ขยายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ จนอารยธรรมอินเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมในสังคมนั้น ๆ
ในภูมิภาคเอเชียกลาง ยุคสมัยแรก ๆ มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกับชาวอินเดีย แล้วอารยธรรมอิสลามก็เข้ามาแทนที่จนถึงปัจจุบัน
ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ชาวมุสลิมได้ใช้วิทยาการหลายอย่างของอินเดีย เช่น การแพทย์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่มีอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียมากที่สุด โดยเฉพาะด้านศาสนา นอกจากนี้ตัวอักษรอินเดียก็เป็นมรดกตกทอดมาถึงภูมิภาคนี้ด้วย
3. แหล่งมรดกโลกในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย
3.1 แหล่งมรดกโลกในดินแดนเอเชียตะวันออก
1. กำแพงเมืองจีน (The Great Wall) ภาษาจีนเรียกว่า “กำแพงหมื่นลี้” เป็นกำแพงที่ยาวที่สุดในโลก ยูเนสโกได้ประกาศให้กำแพงเมืองจีนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1987 และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง กำแพงเมืองจีนจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจีน
2. ปราสาทฮิเมจิ (Himeiji-Jo) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ปราสาทกระเรียนขาว” ปราสาทแห่งนี้มีการออกแบบระบบการป้องกันที่ซับซ้อน และรอดพ้นจากการถูกทำลายด้วยระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยูเนสโกได้ประกาศให้ปราสาทฮิเมจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1993
3. สุสานราชวงศ์โชซอน (Royal Tombs of Joseon Dynasty) เป็นที่ตั้งสุสานทั้งหมด 40 สุสาน กระจายอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 18 แห่ง ยูเนสโกได้ประกาศให้สุสานราชวงศ์โชซอนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 2009
3.2 แหล่งมรดกโลกในดินแดนเอเชียใต้
1. ตาชมะฮัล (Taj Mahal) ตั้งอยู่ที่เมืองอัคระ รัฐอุตตรประเทศ สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาว และประดับด้วยอัญมณีใช้เวลาก่อสร้างถึง 20 ปี ยูเนสโกได้ประกาศให้ตาชมะฮัลเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1983 และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
2. ตักศิลา (Taxila) ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าและเคยตกอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิเปอร์เซียและกรีก ถือได้ว่าเป็นจุดนัดพบระหว่างอารยธรรมตะวันตกและอารยธรรมตะวันออก ยูเนสโกได้ประกาศให้ตักศิลาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1980
3.3 แหล่งมรดกโลกในดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
เปตรา (Petra) เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ทางตะวันออกของหุบเขาวาดีมูซา (Wadi Musa) ชาวอาหรับได้เข้ามาสกัดหินผาลึกเข้าไปเป็นอาคารต่าง ๆ ตามหุบเขา สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างกรีกและศิลปะแบบตะวันออก ยูเนสโกได้ประกาศให้เปตราเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1985
3.4 แหล่งมรดกโลกในดินแดนเอเชียกลาง
ซามาร์คันด์ (Samarkand–Crossroads of cultures) ก่อตั้งขึ้นราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช และในคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าติมูร์ได้รวบรวมช่างฝีมือจากเมืองต่าง ๆ ที่พระองค์ไปยึดครองมาได้ เช่น ดามัสกัส อาเซอร์ไบจาน มาสร้างสถาปัตยกรรมในเมือง เช่น สุสาน สุเหร่า ใจกลางเมืองซามาร์คันด์ในสมัยนั้นเรียกว่า “เรกิสถาน” (registan) ยูเนสโกได้ประกาศให้ซามาร์คันด์เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 2001
คำสำคัญ
มนุษย์ปักกิ่ง
ลัทธิขงจื๊อ
ลัทธิเต๋า
ลัทธิฝ่าเจีย
นิติธรรมนิยม
ยุคพระเวท
ยุคมหากาพย์
พราหมณ์
กษัตริย์
แพศย์
ศูทร
จัณฑาล
คันธาระ
รามายณะ
มหาภารตะ
แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th