Present Simple Tense (Tense ปัจจุบันธรรมดา)
Present เพร๊เซินท= ปัจจุบัน
Simple ซิ๊มเพิล = ธรรมดา
โครงสร้าง
S + V1 (ประธานเอกพจน์ กริยาเติม s,es)
ประธาน + กริยาช่องที่ 1 (ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเติม s หรือ es แล้วแต่กรณี)
S + กริยาช่วย + V1
ประธาน + กริยาช่วย + กริยาช่องที่ 1 (ไม่ต้องเติม s ทุกกรณี)
กริยาช่วยที่ใช้บ่อยคือ can, should, must
Tense นี้ค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหน่อยตรงที่ประธานเอกพจน์ต้องเติม s ส่วนประธานพหูพจน์ไม่ต้องเติม สิ่งที่จะสร้างความยุ่งยากนิดหนึ่งคือการเติม s เพราะกริยาบางตัวต้องเติม es ไม่ใช่แค่ s เฉยๆ แต่ไม่ใช่เรื่องยากถ้าได้ศึกษาการเติม s ที่้ท้ายคำนามเพื่อให้นามนั้นเป็นพหูพจน์
หลักการใช้
ในหนังสืออาจจะบอกไว้หลายข้อ แต่ให้ผู้เรียนจำไว้แค่ 2 ข้อ คือ จริงและวัตร
1. จริง คือ ข้อเท็จจริงทั่วไป ซึ่งเป็นการบอกกล่าว เล่า ถามเรื่องราว เหตุการที่เป็นข้อเท็จริงทั่วๆไป (facts) และข้อมูลข่าวสาร (information)
- ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนจะเป็นข้อมูลบอกให้รู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน มีอาชีพอะไร ชอบอะไร เป็นต้น
His name is Somchai. ชื่อ ของเขา คือ สมชาย
He comes from Thailand. เขา มา จาก ประเทศไทย
He is a doctor. เขา เป็น หมอ
He can play football. เขา สามารถ เล่น ฟุตบอล
- ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ก็จะเป็นการบอกให้รู้ว่ามันคืออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ลักษณะนิสัยใจคอ แหล่งที่อยู่ เป็นต้น
Elephants are the largest land animals. ช้าง เป็น สัตว์ บก ที่ใหญ่ที่สุด
They have 28 teeth. พวกมัน มี ฟัน 28 ซี่
They eat grass. พวกมัน กิน หญ้า (เป็นอาหาร)
They can swim. พวกมัน สามารถ ว่ายน้ำ
- ถ้าเป็นสิ่งของก็จะบอกให้รู้ว่ามันคืออะไร ทำมาจากอะไร ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
This is a Japanese car. นี่ คือ รถยนต์ ญี่ปุ่น
It is very expensive. มัน มีราคาแพง มาก
The company is in Japan. บริษัท อยู่ ใน ญี่ปุ่น
- ถ้าเป็นสถานที่ก็จะเป็นข้อมูลข่าวสารของสถานที่นั้น เช่น ถ้าเป็นกรุงเทพ ก็จะเป็นข้อมูลของประชากร พื้นที่ สถานที่สำคัญๆต่างๆเป็นต้น
Bangkok is the capital city of Thailand. กรุงเทพ เป็น เมืองหลวง ของ ประเทศไทย
It has 50 districts. มัน มี 50 อำเภอ (เขต)
2. วัตร คือ กิจวัตร เป็นสิ่งที่ทำบ่อยๆ อาจทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุดเดือน ทุกปี ก็ได้ ซึ่งจะมีคำเหล่านี้กำกับอยู่ด้วย
always อ๊อลเวส เสมอ
usually ยู๊ชวลลิ โดยปกติ
generally เจ็๊นนะเริลลิ โดยปกติ
often อ๊อฟฟึน บ่อยๆ
frequently ฟรี๊เคว็นลิ บ่อยๆ
sometimes ซั๊มไทมส บางครั้ง
occasionally อะเค๊เชินนัลลิ บางครั้ง
seldom เซ็๊ลดัม ไม่ค่อยจะ
rarely แร๊ลิ ไม่ค่อยจะ
hardly (ever) ฮ๊าดลิ แทบจะไม่ (เคย)
never เน็๊ฝเฝอะ ไม่เคย
every day เอ็ฝริเด ทุกวัน
every+ Sunday/ Monday….. เอ็ฝริ ซันเด / มันเด… ทุกวันอาทิตย์/ จันทร์….
every + / week/ month/ year…. เอ็ฝริ วีค / มันธ/ เยีย … ทุกสัปดาห์ / เดือน/ ปี
- I always get up at 6 o’clock. ผม ตื่นนอน เวลา 6 โมง เสมอ
- You usually buy fruit at 7-11. โดยปกติ คุณ ซื้อ ผลไม้ ที่ 7-11
- He often comes to my house. เขา มา บ้าน ของฉัน บ่อยๆ
- She sometimes does homework at school. บ้างครั้ง หล่อน ทำ การบ้าน ที่ โรงเรียน
- It seldom rains in the morning. ฝน ไม่ค่อยจะ ตก ใน ตอนเช้า
- We hardly ever drink coffee in the evening. เรา แทบจะไม่ เคย ดื่ม กาแฟ ใน ตอนเย็น
- They never drive to work. พวกเขา ไม่เคย ขับรถ ไป ทำงาน
- Somchai plays football everyday. สมชาย เล่น ฟุตบอล ทุกวัน
- We watch a movie every Monday. เรา ดู หนัง ทุก วันจันทร์
- She goes to England every year. หล่อน ไป ประเทศอังกฤษ ทุก ปี
Time Line เส้นเวลา
หลังจากที่ได้อ่านหลักการใช้แล้ว ทีนี้มาดูไทม์ไลน์กันว่าจะเป็นจริงอย่างที่บอกไว้หรือไหม่ ทีบอกว่า tense นี้ใช้บอกข้อเท็จจริงทั่วไป
- สีดำคือ อดีตที่หมองหม่น
- สีส้มคือปัจจุบันที่สดใส
- สีชมพู คือ อนาคตที่เรืองรองผ่องอำไพ
- ลูกศรสีขาวไซร้คือเหตุการณ์
ให้สังเกตุที่ลูกศรนะครับ มันคือเหตุการณ์ จะเห็นว่ามันมีอยู่ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั่นหมายความว่าข้อความที่เราพูดหรือเขียนมันเป็นจริงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ ตามที่ลูกศรชี้บอก เช่น
His name is Somchai. ชื่อ ของเขา คือ สมชาย (สองปีก่อนก็ใช่ เมื่อวานก็ใช่ วันนี้ก็ใช่ ในอนาคตก็น่าจะใช่ ถ้าไม่เปลี่ยนชือเสียก่อน)
He comes from Thailand. เขา มา จาก ประเทศไทย (ก็เขาเป็นคนไทย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตด้วย ก็มันเป็นความจริงอย่างนั้น)
He is a doctor. เขา เป็น หมอ (สิบปีก่อนก็เห็นเป็นหมอ ตอนนีก็เป็น อนาคตก็คงไม่พ้นอาชีพหมอ)
ถ้านักเรียนต้องการสื่อเรื่องราวอะไรสักอย่าง ที่มันเป็นข้อเท็จจริงอย่างนี้ ก็อย่าลืมว่าต้องใช้
ประธาน + กริยาช่องที่ 1 (หากประธานเป็นเอกพจน์กริยาเติม s) นี่คือหลักภาษาที่ต้องจดจำ
สรุปประเด็นที่ต้องจดจำให้ได้
1. Present Simple Tense ใช้เพื่อกล่าวถึงข้อเท็จจริงทั่วไป และการกระทำที่เป็นกิจวัตร
2. โครงสร้าง คือ
– ประธาน + กริยาช่องที่ 1 ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเติม s (เรียนรู้การเติม s ได้จากหัวข้อ “การเติม s ที่ท้ายกริยา present simple tense”)
– ประธาน + กริยาช่วย + กริยาช่องที่ 1 (กริยาไม่เติม s ทุกกรณี)
Tense นี้ พบเจอได้ที่ไหน
>>บทสนทนาทั่วไป ที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ
>>ในหนังสือเรียน สารานุกรม สารคดี และอื่นๆที่นำเสนอข้อเท็จจริง
กริยา 3 ช่องที่ใช้ในหน้านี้
ช่อง 1 |
ช่อง 2 |
ช่อง 3 |
คำแปล |
buy | bought | bought | ซื้อ |
come | came | come | มา |
do | did | done | ทำ |
drive | drove | driven | ขับรถ |
eat | ate | eaten | กิน |
go | went | gone | ไป |
get | got | got | ได้รับ |
have, has | had | had | มี |
is, am ,are | was, were | been | เป็น อยู่ คือ |
play | played | played | เล่น |
rain | rained | rained | ฝนตก |
watch | watched | watched | ดู |
คำที่ใช้ค้นในหน้านี้
- ตัวอย่างประโยค present simple tense โครงสร้าง present simple tense การใช้ present simple tense present simple tense คือ หลักการเติม s โครงสร้างpresent simple tense simple tense present simple tense คืออะไร present simple คือ การใช้ present simple