Photo : https://www.lib.ubu.ac.th/
-
สยามมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย ซึ่งมีทักษะการทอผ้าไหมตั้งแต่สาวจนวัยชรา และมีการใช้ผ้าไหมทั้งในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมสำคัญตั้งแต่เกิดจนตาย ดังเช่นในคติการทอผ้าและสวมใส่ผ้าไหมของกลุ่มวัฒนธรรมเขมรและกลุ่มลาว พอสรุปได้ดังนี้
ทอตั้งแต่สาวจนแก่
1. วัยเด็ก (แรกเกิด-14 ขวบ) เด็กหญิงทีมีอายุ 6-12 ขวบ จะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนและเรียนรู้เกี่ยวกับการทอผ้าจากแม่และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เด็กสาวในทุกวัฒนธรรมทุกคนต้องทอผ้าเป็น การทอผ้าจึงเป็นกระบวนการทางสังคมวัฒนธรรมทำหน้าที่ขัดเกลาสมาชิกให้พร้อมที่จะเปลี่ยนไปสู่สถานภาพอย่างใหม่
2. วัยรุ่น (15 ปี - ก่อนแต่งงาน) เป็นช่วงวัยที่มีความพร้อมมากที่สุดที่จะเข้าสู่พิธีแต่งงานจากเงื่อนไขที่เกิดจากกระบวนการทอผ้าและนำไปสู่พิธีแต่งงาน
-
กรณีผู้หญิงจะแต่งงานได้นั้นต้องทอผ้าให้เป็นอย่างน้อย 3 อย่างคือ “เสื้อดำ ต่ำแพร ซิ่นไหม” เสื้อดำ คือ เสื้อที่ตัดจากผ้าฝ้ายที่ทอเองแล้วย้อมคราม ซึ่งชาวบ้านนิยมใช้ในชีวิตประจำวันและใช้ในการทำงานในไร่นา ต่ำแพร หมายถึง ทอผ้าขาวม้าที่เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ของชาวบ้านได้ ซิ่นไหม หมายถึง หญิงคนที่จะแต่งงานได้ก็ต้องทอซิ่นไหมได้ด้วย เพราะ ผ้าขาวม้า (ผ้าแพร) ซิ่นไหม นิยมใช้เป็นเครื่องสมมา ตอบแทนบุญคุณของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายในพิธีแต่งงาน
3. วัยผู้ใหญ่ (หลังจากให้กำเนิดบุตรคนแรก - หมดประจำเดือนหรือมีลูกคนสุดท้าย) ขั้นนี้ ผ้าที่ผู้หญิงผู้เป็นแม่ของเด็กที่เกิดใหม่ทอไว้ เช่น ซิ่นไหม ผ้าแพร จะถูกนำมาเป็นสิ่งตอบแทนแม่หมอผู้ทำคลอดให้ รวมทั้งการผูกแขนนับถือเป็นเสมือนแม่คนที่สอง
4. วัยชรา (50 ปีขึ้นไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต) ผู้หญิงในวัยนี้ จะทำหน้าที่เป็นผู้อบรมสั่งสอนลูกหลานเกี่ยวกับการทอผ้าในแง่มุมต่างๆ และทำการรวบรวมลายผ้า ลายดอกชนิดต่างๆ ไว้บนแผ่นเดียวกัน เป็นผืนผ้าที่ชาวภูไทเรียกว่า “ผ้าแส่ว”
5. เมื่อเสียชีวิต ผู้ตายจะทอไหมเอาไว้เป็นพิเศษ ประณีตทีสุด สวยงามที่สุดสำหรับคลุมโลงศพของตัวเอง และนอกจากนี้ญาติผู้ตายจะนำผ้าไหมที่ผู้ตายเคยสวมใส่ตอนมีชีวิตอยู่ นำใส่ไปในโลงศพพร้อมศพผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายได้นำไปใช้ในโลกหน้าและญาติๆ คนรู้จัก ที่ล่วงลับไปก่อนหน้านี้จะจดจำผู้ตายได้และได้ไปอยู่ด้วยกัน
ความเชื่อเรื่องไหมและฝ้าย
ชาวอีสานความเชื่อเรื่อง ไหม – ฝ้าย
-
ชาวบ้านทั่วไปจะไม่ใช้ไหมคำไหมเงินทอผ้า ถ้าต้องการจะใช้ก็จะใช้เส้นไหมสีเหลืองแทน
-
เชื่อกันว่าถ้าใช้ผ้าหรือหมอนถวายพระที่ทำด้วยผ้าไหม จะได้บุญกุศลแรง
-
การนำผ้าหมี่ไหมที่ยังไม่ได้ใช้ไปถวายวัด เพื่อใช้ทำเป็นผ้าห่อคัมภีร์หนังสือใบลาน เชื่อกันว่าเป็นการช่วยรักษาความรู้ สติปัญญาเพื่อลูกหลาน และเป็นการไถ่บาปที่เคยฆ่าตัวไหมเป็นจำนวนมากอีกด้วย
ชาวไทลื้อ / ไทยวนความเชื่อเรื่อง ไหม – ฝ้าย
-
ผ้าที่ใส่ในเวลาปกติของคนเหนือ ถ้าเป็นชาวบ้านใส่ฝ้าย เป็นเจ้านายใส่ไหม
-
ภาคเหนือโดยเฉพาะชาวไทลื้อไทยวนไม่นิยมใช้ผ้าไหมเพราะต่างยึดมั่นในพุทธศาสนาและคติความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในอดีตจึงหลีกเลี่ยงการทอผ้าไหม เนื่องจากไหมดิบที่จะนำมาทอเป็นผ้าไหมนั้น จะต้องต้มรังไหมซึ่งมีตัวดักแด้อยู่ข้างในให้ตายเสียก่อน จึงจะสามารถที่จะสาวเส้นไหมได้ ผ้าไหมผืนหนึ่งจะต้องใช้รังไหมจำนวนมาก จึงหันมาทอผ้าฝ้ายเป็นส่วนใหญ่
กลุ่มชาติพันธุ์กับผ้าไหม
Photo : www.isangate.com/
ภูไท (กาฬสินธุ์)
-
ภูไท แพรวา (เทคนิคขิด) เป็นเทคนิคการทอที่ยากซับซ้อน ผ้าเบี่ยงพาดไหล่ใช้ในพิธีกรรม
-
ผ้าลายขิดนั้นชาวภูไทถือว่าเป็นของสูงและเป็นเทคนิคการทอผ้าที่แสดงความสามารถสูงสุดของหญิงภูไท
-
จะใช้แต่งกายเฉพาะส่วนบนของร่างกายเหนือเอวขึ้นไป ใช้ในพิธีมงคล
-
นิยมนำผ้าซิ่นใหม่ไปถวายวัด เพื่อใช้ห่อคัมภีร์ใบลานเพราะเชื่อว่าได้กุศลมาก
-
หญิงสาวเมื่อทอผ้าขิดได้ถือว่าเป็นผู้มีความพร้อมในการครองเรือน
ไทยวน / ไทโยนก (ล้านนา - ภาคเหนือ ราชบุรี)
-
ไทยวน / ไทโยนก ซิ่นตีนจก ในราชสำนักมีการใช้ผ้าซิ่นที่มีลักษณะการทอที่พิเศษออกไป โดยมักจะนุ่งซิ่นที่ประดับตีนซิ่นด้วยตีนจกที่ทอด้วยเส้นไหมสอดสลับกับเส้นเงินเส้นทองด้วยเทคนิคการจก
-
คติของสตรีไทยวนในการประกอบหัวซิ่น จะต้องเอาผ้าแถบสีขาวมาต่อตามความกว้างของหัวซิ่นเรียกว่า ผ้าป้าว เพื่อป้องกันการทำคุณไสยและเสน่ห์ยาแฝด
ลาวครั่ง / ลาวเวียง (ชัยนาท อุทัยธานี นครปฐม พิษณุโลก กาญจนบุรี)
-
ลาวครั่ง / ลาวเวียงมัดหมี่ต่อตีนจกผ้าทอลาวครั่งจะโดดเด่นกว่าผ้าทอกลุ่มอื่นๆ คือการใช้สีสันของผ้าที่ให้ความรู้สึกร้อนและแรง เช่น ใช้สีแดงครั่ง สีส้มหมากสุก สีเหลือง สีส้มหมากสุก สีเหลือง และการทอด้วยลวดลายที่ให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว
-
มีการทอผ้าด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วย เช่น ธง ผ้าอาสนะ ผ้าคลุมหัวนาค ผ้าห่อคัมภีร์ ผ้าติดธรรมาสน์
-
มีวิธีย้อมสีผ้ามัดหมี่ด้วยวิธีการแจะ หมายถึงการย้อมสีหลักเพียงสีเดียว ส่วนสีอื่นๆจะใช้ไม้จุ่มสีมาแต้มถูตามตำแหน่งของลวดลายทำให้เสริมความเหลื่อมล้ำของลวดลายมากยิ่งขึ้น
วัฒนธรรมเขมร (อีสานใต้ / สุรินทร์)
-
วัฒนธรรมเขมรเทคนิคการทอ คือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด
-
เมื่อฝ่ายชายออกป่าเพื่อคล้องช้าง ผู้หญิงเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม ถือว่าเป็นการเชิดชูครอบครัวด้วย
-
การทอผ้าของกูยจะใช้หูกขนาดยาวแต่ถอดเก็บได้ เวลากลางวันจะพาดยาวและถอดเก็บในเวลากลางคืน
-
ผ้าคาดเอวผู้ชาย ทอเช่นเดียวกับผ้าหัวซิ่นแต่กว้างกว่า โดยยืนพื้นสีแดงเช่นกัน ใช้ห่อเครื่องลางของขลังสำหรับป้องกันตัว ถือเป็นของสำคัญจะแขวนไว้ในที่สูงห้ามสตรีจับต้อง
-
หัวซิ่นผืนใหญ่ที่ใช้คาดเอวก็ยังทำเป็นสัญลักษณ์ให้ตระหนักว่ามีผู้รอคอยอยู่ที่บ้าน ต้องพยายามทำงานให้สำเร็จ
-
ผ้าโฮลเป็นผ้าที่ชาวเขมรชายและหญิงนุ่งสวมในงานพิธีกรรมสำคัญๆ ยกเว้นงานศพ ใช้เทคนิคย้อมมัดหมี่ที่มัดเฉพาะเส้นพุ่ง
-
ผ้าหมี่โฮล ก็คือผ้าปูมเขมร อดีตขุนนางใช้นุ่งเป็นโจงกระเบน ความยาว 4 หลา
ผ้ายกเมืองนคร (นครศรีธรรมราช)
-
ผ้ายกเมืองนคร เป็นภูมิความรู้ของชาวไทรบุรีที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่นครศรีธรรมราช ในสมัยธนบุรีและสมัยต้นรัตนโกสินทร์
-
ชาวไทรบุรีดังกล่าวได้รับการสั่งสมวิธีการทอผ้าจากชาวอินเดียที่มาตั้งถิ่นฐาน ชาวไทรบุรีบางส่วนเป็นชาวอินเดียที่มาตั้งถิ่นฐาน
-
รายละเอียดของผ้ายกเมืองนครมีความคล้ายคลึงกับผ้าที่ใช้เต้นระบำในแคว้นมณีปุระอินเดีย
-
ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นผ้ายกทองเป็นผ้าที่เจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นุ่งเท่านั้นและเป็นเครื่องราชบรรณาการ
ขอบคุณเนื้อหา : นิทรรศการ “มองใหม่ด้ายไหม” มิวเซียมสยาม
14 กุมภาพันธ์ - 29 มิถุนายน 2557
https://www.museumsiam.org/