คำสมาส
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
06 ส.ค. 64
 | 34.1K views



การสมาสคำ

          เป็นการสร้างคำขึ้นเพื่อเพิ่มคำใหม่ประเภทหนึ่ง  เพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการสื่อสาร  โดยนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป มารวมเป็นคำเดียวกัน  คำที่นำมารวมกันนี้เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาบาลีสันสกฤต เรียกว่า “คำสมาส” คำสมาสจะเป็นคำที่มีความหมายใหม่ คำที่มีความหมายหลักมักจะอยู่ข้างหลัง  คำที่ช่วยขยายความหมายจะอยู่ข้างหน้า  ดังนั้นการแปลคำสมาสจึงมักจะแปลจากท้ายมาหาคำหน้า เช่น

          มหา (ยิ่งใหญ่)  +  ชาติ (การเกิด)   เท่ากับ   มหาชาติ  หมายถึง          การเกิดครั้งยิ่งใหญ่
          วีร (กล้าหาญ)   +  บุรุษ (ชาย)       เท่ากับ   วีรบุรุษ    หมายถึง         ชายผู้กล้าหาญ
          อุทก (น้ำ)        +  ภัย (อันตราย)    เท่ากับ   อุทกภัย   หมายถึง         ภัยอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วม

          คำสมาส (อ่านว่า สะ – หมาด) คือ การนำคำภาษาบาลีและ/หรือสันสกฤตตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมารวมกันเป็นคำเดียว มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน โดยคำหลักมักอยู่ข้างหลัง คำขยายมักอยู่ข้างหน้า เช่น ราชธานี  คำว่า  ธานี  ซึ่งแปลว่าเมืองจะอยู่ท้ายคำ

การสร้างคำสมาส

          คำสมาสในภาษาไทยมีวิธีการสร้างคำ ดังนี้

                   ๑.  นำคำภาษาบาลีและสันสกฤตมาต่อกัน  อาจเป็นคำภาษาบาลีต่อกับภาษาบาลี หรือคำภาษาสันสกฤตต่อกับภาษาสันสกฤต หรือคำภาษาบาลีต่อกับภาษาสันสกฤตก็ได้  เมื่อแปลคำสมาสจะแปลจากคำหลังไปหาคำหน้า

ตัวอย่าง

     ถาวร (มั่นคง, ยั่งยืน) + วัตถุ (สิ่งของ) (บาลี + บาลี) = ถาวรวัตถุ
     อ่านว่า           ถา – วอน – วัด – ถุ
     หมายถึง         สิ่งของที่ก่อสร้างที่มั่นคง ยั่งยืน เช่น โบสถ์ วิหาร

  ข้อสังเกต

          การสร้างคำวิธีนี้เป็นการนำคำมาเรียงต่อกัน และในการอ่านมักอ่านออกเสียงพยางค์เชื่อมระหว่างคำที่มาต่อกัน  แต่มีบางคำไม่อ่านออกเสียงพยางค์เชื่อมระหว่างคำ หรือบางคำจะอ่านออกเสียงพยางค์เชื่อมระหว่างคำหรือไม่ก็ได้ เช่น

          เกียรติคุณ       อ่านว่า           เกียด – ติ – คุน
                                 หมายถึง        คุณที่เลื่องลือ

๒.  นำคำภาษาบาลีสันสกฤตมาเชื่อมกันเป็นคำเดียวกันอีกแบบหนึ่ง        บางครั้งเรียกว่า”สมาสมีสนธิ” หมายถึง  การนำคำบาลีสันสกฤต ๒ คำ มาเชื่อมต่อเสียง ให้เสียงกลมกลืนกับพยางค์ต้นของคำหลัง มักเป็น อะ อา อิ อี หรือ อุ อู ไปเชื่อมกับพยางค์ท้ายของคำต้น  คำที่นำมาเชื่อมกันนี้อาจเป็นคำภาษาบาลีต่อกับคำภาษาบาลี หรือคำภาษาสันสกฤตต่อกับคำภาษาสันสกฤต หรือคำภาษาบาลีต่อกับคำภาษาสันสกฤตก็ได้ และเมื่อแปลความหมายจะแปลจากคำหลังไปหาคำหน้า เช่น

            ตัวอย่าง

            ภัตต (อาหาร) + อาคาร (เรือน) (บาลี + บาลี) = ภัตตาคาร
                   หมายถึง  อาคารที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม

   ข้อสังเกต

          มีคำในภาษาไทยหลายคำที่มีการประกอบคำคล้ายคำสมาส คือ นำศัพท์มาเรียงต่อกันและสามารถอ่านออกเสียง อะ อิ อุ เชื่อมระหว่างคำที่มาต่อกัน แต่ไม่ใช่คำสมาส  เพราะไม่ใช่คำรวมของคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต และมีภาษาอื่นปน เช่น

          คุณ + ค่า        (บาลี + ไทย)                 อ่านว่า   คุน – นะ – ค่า, คุน – ค่า
          ชีว + เคมี        (สันสกฤต + อังกฤษ)    อ่านว่า   ชี – วะ – เค – มี
          เทพ + เจ้า       (บาลี + ไทย)                อ่านว่า   เทบ – พะ – เจ้า
          ทุน + ทรัพย์     (ไทย + สันสกฤต)        อ่านว่า   ทุน – นะ – ซับ
          เมรุ + มาศ      (บาลี + เขมร)                อ่านว่า   เม – รุ – มาด
          บรรจุ + ภัณฑ์   (เขมร + บาลีสันสกฤต) อ่านว่า บัน – จุ – พัน

ลักษณะของคำสมาส

          ๑.  คำที่สมาสกันต้องเป็นคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น อาจจะเป็นบาลีสมาสกับบาลี เช่น ทิพโสต ขัตติยมานะ สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต เช่น อักษรศาสตร์ บุรุษโทษ บาลีสมาสกับสันสกฤต เช่น วิทยาเขต วัฒนธรรม
          ๒.  คำสมาสไม่ต้องประวิสรรชนีย์หรือมีเครื่องหมายทัณฑฆาตที่อักษรสุดท้ายของคำหน้า เช่น ศิลปกรรม ธุรการ สัมฤทธิ์บัตร วารดิถี 
          ๓.  คำที่นำมาสมาสกันแล้ว ความหมายหลักอยู่ที่คำหลัง ส่วนความรองจะอยู่ข้างหน้า เช่น ยุทธ (รบ) + ภูมิ (แผ่นดิน / สนาม) = ยุทธภูมิ (สนามรบ)
          ๔.  คำที่รวมกันแล้วไม่เปลี่ยนแปลงรูปคำแต่อย่างใด เช่น วัฒน + ธรรม = วัฒนธรรม / โลก + บาล = โลกบาล
          ๕.  คำสมาสเมื่อออกเสียงต้องต่อเนื่องกัน เช่น ภูมิศาสตร์ อ่านว่า พู – มิ – สาด / เกตุมาลา อ่านว่า เก – ตุ – มา – ลา

หลักการสังเกตคำสมาส

            ๑.  คำที่สมาสกันต้องเป็นคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น เช่น ทิพโสต ขัตติยมานะ กิจการ(บาลีสมาสกับบาลี) อักษรศาสตร์ บุรุษโทษ (สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต)  วิทยาเขต วัฒนธรรม (บาลีสมาสกับสันสกฤต)
            ๒.  คำสมาสมีลักษณะคล้ายการนำคำสองคำมาวางเรียงต่อกัน  เวลาอ่านจะมีเสียงสระต่อเนื่องกัน
            ๓.  ไม่มีการประวิสรรชนีย์ (  )และ ไม่ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาต เช่น  มนุษยสัมพันธ์ พลศึกษา
            ๔.  การเรียงคำ คำหลักจะอยู่ข้างหลัง ดังนั้นการแปลจึงแปลความหมายจากหลังมาหน้า
            ๕.  คำ “พระ” ประกอบหน้าคำบาลี สันสกฤต จัดเป็นคำสมาส
            ๖.  คำที่ลงท้ายด้วยคำว่า ศาสตร์  กรรม  ภาพ  ภัย  ศึกษา  มักเป็นคำสมาส

หมายเหตุ : ยกเว้นคำสมาสบางคำที่วางคำตั้งหรือคำหลักเป็นคำหน้าและวางคำขยายเป็นคำหลังจึงสามารถแปลความหมายจากหน้าไปหลังได้ เช่น บุตรธิดา หมายถึง ลูกและภรรยา  สมณพราหมณ์ หมายถึง พระสงฆ์และพราหมณ์   ทาสกรรมกร หมายถึง ทาสและกรรมกรฯลฯ

แนวคิด 
          คำไหนมี “ ะ ” หรือ ตัวการันต์ ระหว่างคำ คำนั้นไม่ใช่คำสมาส เช่น กิจจะลักษณะ วิพากษ์วิจารณ์ พิมพ์ดีด