นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส
NICOLAUS COPERNICUS
ค.ศ. 1473 - 1543
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 วิถีความคิดของชาวยุโรปในยุคนั้นถูกครอบงำด้วยอิทธิพลทางความคิดของกลุ่มบุคคล 2 กลุ่มได้แก่กลุ่มคริสตจักรโรมันคาทอลิกและกลุ่มปรัชญาอนุรักษ์นิยมที่เชื่อในความคิดของอริสโตเติลความเชื่อมโยงระหว่างสองกลุ่มดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อศาสนาจักรได้แต่งตั้งกลุ่มนักบวชเยซูอิตขึ้นเพื่อทำงานด้านปัญหาทางวิทยาศาสตร์และสั่งสอนประชาชนตามที่ศาสนาจักรยอมรับซึ่งศาสตร์ทางด้านปรัชญาและวิทยาศาสตร์ที่นักบวชเยซูอิตยอมรับคือสิ่งที่อริสโตเติลได้สอนเอาไว้เมื่อ 1,500 ปีล่วงมาแล้วทำให้ความคิดและคำสอนของอริสโตเติลได้ถูกถ่ายทอดผ่านคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลโดยปริยาย
พร้อมกันนี้ศาสนจักรได้ตั้งศาลศาสนาขึ้นเพื่อดำเนินการควบคุมดูแลสิ่งพิมพ์ต่างๆที่เผยแพร่ต่อสาธารณะมิให้แสดงความคิดเห็นขัดกับหลักศาสนาดังนั้นเมื่อนักดาราศาสตร์ในยุคนั้นอาทิโคเปอร์นิคัสหรือกาลิเลโอได้ค้นพบสิ่งใดก็ตามที่ไปขัดกับหลักคำสอนของอริสโตเติลหรือถึงขั้นพิสูจน์ได้ว่าคำสอนของอริสโตเติลนั้นผิดจะเป็นการสื่อโดยนัยว่าคัมภีร์ไบเบิลก็ผิดไปด้วยซึ่งศาสนจักรในยุคนั้นไม่สามารถยอมรับในเรื่องดังกล่าวได้โดยเฉพาะกาลิเลโอนั้นได้เผชิญวิบากกรรมเป็นอย่างมากจากการที่ได้เผยแพร่ผลการทดลองหรือกระทั่งความคิดเห็นทางด้านดาราศาสตร์ที่ขัดกับหลักคำสอนของอริสโตเติล
แบบจำลองจักรวาลที่มีโลกเป็นศูนย์กลางตามความคิดของอริสโตเติลและปโตเลมีเป็นประเด็นหลักของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยโคเปอร์นิคัสเป็นผู้พิสูจน์ว่าความเชื่อดังกล่าวผิดโดยแท้ที่จริงแล้วดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
วัยเยาว์
นิโคเลาส์โคเปอร์นิคัสเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ค.ศ. 1473 ที่เมืองโตรัน (Torun) ประเทศโปแลนด์ครอบครัวของโคเปอร์นิคัสค่อนข้างมีฐานะร่ำรวยแต่บิดาของโคเปอร์นิคัสเสียชีวิตลงเมื่อโคเปอร์นิคัสอายุได้เพียง 10 ขวบจากนั้นเป็นต้นมาลุงของโคเปอร์นิคัสซึ่งเป็นบิชอป (ตำแหน่งพระในศาสนาศริสต์) ได้เข้ามาดูแลและอุปการะเลี้ยงดูเนื่องจากลุงเป็นผู้ที่มีความรู้จึงได้อบรมสั่งสอนและให้แนวทางการศึกษาแก่โคเปอร์นิคัสทำให้โคเปอร์นิคัสได้รับอิทธิพลทางความคิดด้านศาสนาไปด้วยนอกจากนี้ลุงของโคเปอร์นิคัสยังได้ตั้งใจที่จะให้โคเปอร์นิคัสดำเนินวิถีชีวิตเป็นนักบวชของศาสนาคริสต์อีกด้วย
โคเปอร์นิคัสค้นหาตัวตนในมหาวิทยาลัย
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาโคเปอร์นิคัสได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกราโกวการเรียนณมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทำให้โคเปอร์นิคัสชอบเรื่องดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างมากอย่างไรก็ตามหลังจากศึกษาที่มหาวิทยาลัยกราโกวเป็นเวลา 4 ปีโคเปอร์นิคัสได้เดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโบโลญาและมหาวิทยาลัยปาดัวประเทศอิตาลี
ในระหว่างที่ศึกษาด้านปรัชญาและกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยโบโลญาโคเปอร์นิคัสได้พบนักดาราศาสตร์ผู้โด่งดังในยุคนั้นชื่อ "โนวารา" (Domenico Maria Novara da Ferrara) ผู้ซึ่งสอนวิชาดาราศาสตร์โดยโคเปอร์นิคัสได้เข้าเรียนวิชาดังกล่าวและต่อมาได้กลายมาเป็นผู้ช่วยของโนวารา
ในปี 1497 โคเปอร์นิคัสอายุได้ 24 ปีลุงของได้ทำการแต่งตั้งให้โคเปอร์นิคัสเป็นพระที่วิหารฟราวเอนเบิร์กในประเทศโปแลนด์แต่ในขณะนั้นโคเปอร์นิคัสยังคงศึกษาอยู่ในอิตาลีและรอคอยการครอบรอบของปีค.ศ. 1500 โดยในปีนั้น (ค.ศ. 1500 ) โคเปอร์นิคัสได้เดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาจากนั้นได้เดินทางกลับไปที่วิหารเฟรินบูร์กประเทศโปแลนด์ในปี 1501 ทันทีที่กลับถึงโปแลนด์โคเปอร์นิคัสขออนุญาตลุงเดินทางกลับไปยังมหาวิทยาลัยปาดัวประเทศอิตาลีอีกครั้งเพื่อกลับไปเรียนวิชาการแพทย์และโหราแพทย์ให้จบนอกจากนี้ในปี 1503 โคเปอร์นิคัสยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายศาสนาที่เฟอร์รารา
ดำเนินวิถีชีวิตตามความปราถนาของลุง
เมื่อสำเร็จการศึกษาทั้งด้านการแพทย์และกฎหมายแล้วโคเปอร์นิคัสเดินทางกลับมาที่โปแลนด์เพื่อทำงานเป็นทั้งนักบวชและแพทย์ที่เมืองฟราวเอนเบิร์กตามความปราถนาของลุงแต่ในปี 1512 ลุงของโคเปอร์นิคัสได้ถึงแก่กรรมลงทำให้โคเปอร์นิคัสเริ่มอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาและค้นคว้าด้านดาราศาสตร์ซึ่งโคเปอร์นิคัสสนใจเป็นอย่างมาก
บุรุษผู้มีศรัทธาในศาสนาแต่ขัดแย้งในความเชื่อ
ในระหว่างที่ศึกษาที่กราโกวและมหาวิทยาลัยในอิตาลีโคเปอร์นิคัสได้ตั้งข้อสงสัยในความเชื่อที่สอนโดยอริสโตเติลและปโตเลมีในประเด็นที่โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยโคเปอร์นิคัสมีความสงสัยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงสร้างระบบจักรวาลที่มีความซับซ้อนดังที่ปโตเลมีได้อธิบายไว้ในแบบจำลอง Ptolemy system ด้วยเหตุนี้โคเปอร์นิคัสจึงตั้งสมมติฐานว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดน่าจะหมุนรอบดวงอาทิตย์พร้อมกับทุ่มเททำการค้นคว้าศึกษาในขณะที่เป็นนักศึกษาอยู่และเมื่อกลับสู่โปแลนด์เพื่อเข้ารับตำแหน่งนักบวชที่วิหารฟราวเอนเบิร์กโคเปอร์นิคัสได้ค้นคว้าเรื่องดังกล่าว
อย่างต่อเนื่อง
ความคิดเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้นโคเปอร์นิคัสไม่ไช่บุคคลแรกที่นำเสนอแต่เป็นนักปราชญ์กรีกโบราณชื่อว่าอริสตาร์คัสแห่งซามอส (Aristarchus of Samos) เป็นผู้นำเสนอในช่วงระหว่าง 310 ปีถึง 230 ปีก่อนคริสต์กาลโดยอริสตาร์คัสกล่าวไว้ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาลโดยมีโลกและดาวเคราะห์อื่นๆโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ซึ่งโคเปอร์นิคัสเชื่อในแนวความคิดนี้มากกว่า
โคเปอร์นิคัสดำเนินการค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างทุ่มเทในช่วงปี 1510 ถึง 1514 โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าดวงอาทิตย์อยู่กับที่ณศูนย์กลางวงโคจรของดาวเคราะห์โดยที่โลกใช้เวลา 1 ปีในการหมุนรอบดวงอาทิตย์จากผลที่ได้โคเปอร์นิคัสได้ร่างหนังสือ 1 เล่มชื่อ Commentariolus ด้วยลายมือของเขาเองซึ่งอธิบายหลักการเบื้องต้นของทฤษฎีจักรวาลตามการสังเกตดวงดาวของโคเปอร์นิคัสนอกจากนี้โคเปอร์นิคัสยังได้นำเสนอความคิดว่าโลกมีการหมุนรอบตัวเองโดยหนึ่งรอบใช้เวลา 24 ชั่วโมงซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่เชื่อว่าโลกอยู่นิ่งกับที่รวมไปถึงสาเหตุที่ทำให้นักดาราศาสตร์สังเกตเห็นดาวเคราะห์บางดวงโคจรย้อนทางเดิมในบางเวลาซึ่งกล่าวได้ว่าโคเปอร์นิคัสเป็นบุคคลแรกที่อธิบายปรากฏการณ์ "retrograde"
หนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้มีการระบุชื่อผู้เขียนแต่ผู้อ่านทราบดีว่าโคเปอร์นิคัสเป็นผู้เขียนและเรียบเรียงขึ้นโดยมีการส่งเวียนอ่านในหมู่มิตรสหายนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใดโคเปอร์นิคัสจึงไม่ยอมตีพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าวอย่างไรก็ตามได้มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า "แท้ที่จริงแล้วเหตุผลสำคัญที่โคเปอร์นิคัสไม่ยอมตีพิมพ์ผลงานดังกล่าวก็เนื่องจากว่าผลงานการค้นพบจะไปขัดแย้งกับคัมภีร์ไบเบิล"
ผลงานชิ้นสำคัญในช่วง 30 ปีสุดท้าย
หลังจากเขียน Commentariolus แล้วโคเปอร์นิคัสยังคงทำงานตามแนวคิดของตนเองที่ได้ตั้งไว้จนเวลาล่วงไปอีกร่วม 20 ปี (ค.ศ. 1534) ผลงานขั้นสุดท้ายใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แต่โคเปอร์นิคัสก็ยังไม่ยอมที่จะตีพิมพ์ผลงานเผยแพร่สู่สาธารณะตามคำร้องขอของมิตรสหายอย่างไรก็ตามข้อความภายในหนังสือ Commentariolus ได้มีการกล่าวถึงไปทั่วทั้งยุโรปเชื่อกันว่าแม้แต่พระสันตปาปาเองก็น่าที่จะทราบอยู่บ้างแต่ทรงไม่ดำเนินการใดๆเนื่องจากในเวลานั้นยังไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนอีกทั้งโคเปอร์นิคัสก็ยังมิได้ตีพิมพ์เผยแพร่ทฤษฏีดังกล่าว
ในปีค.ศ. 1539 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อจอร์จโจชิมรีติคัส (George Joachim Rhaticus) แห่งมหาวิทยาลัยวิทเทนเบิร์กเยอรมนี (University of Wittenberg Germany) ได้ทำงานค้นคว้าร่วมกับโคเปอร์นิคัสเป็นเวลา 2 ปีโดยรีติคัสได้สนับสนุนให้โคเปอร์นิคัสตีพิมพ์เผยแพร่ทฤษฎีใหม่เผยแพร่แก่ประชาชนแต่โคเปอร์นิคัสก็ไม่กล้าที่จะดำเนินการใดๆเพราะทราบดีว่าสิ่งที่ค้นพบเป็นเรื่องที่ขัดกับคัมภีร์ไบเบิลแต่สุดท้ายแล้ว โคเปอร์นิคัสทนความรบเร้าของรีติคัสไม่ได้จึงได้เรียบเรียงทฤษฏีของเขาขึ้นเป็นหนังสือโดยมีชื่อว่า "De Revolutionibus"
โคเปอร์นิคัสขอให้รีติคัสนำต้นฉบับหนังสือของเขาไปพิมพ์ที่ประเทศเยอรมนีแต่คนพิมพ์ชื่อแอนเดรียส์ออสเซียนเดอร์ (Andreas Osiander) อ่านต้นฉบับดูแล้วเกรงว่าเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวจะก่อให้เกิดความขัดแย้งกับศาสนาจักรได้เปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น "De Revolutionibus Orbium Coelestium" (On the Revolutions of the Celestial Sphere) โดยพิมพ์ออกเผยแพร่ในเดือนมีนาคมปีค.ศ. 1543 ก่อนหน้าโคเปอร์นิคัสจะเสียชีวิตลงเพียง 2 เดือน (โคเปอร์นิคัสถึงแก่กรรมลงในเดือนพฤษภาคมค.ศ. 1543)
โดยในการพิมพ์ครั้งแรกนั้นออสเซียนเดอร์ได้ทำการเปลี่ยนหน้าคำนำโดยออสเซียนเดอร์ได้ดึงหน้าคำนำของโคเปอร์นิคัสออกแล้วเขียนขึ้นใหม่โดยมีข้อความเตือนผู้อ่านว่าไม่ควรคาดหวังอะไรก็ตามจากดาราศาสตร์และไม่ควรยอมรับว่าสมมุติฐานนั้นจะเป็นความจริงสิ่งที่น่าละลายคือออสเซียนเดอร์ไม่ได่ระบุชื่อตัวเองว่าเป็นผู้แต่งหน้าคำนำนั้นซึ่งการทำเช่นนี้เสมือนได้ว่าจิตวิญญาณของโคเปอร์นิคัสได้ถูกบิดเบื้อนไปอย่างไรก็ตามได้มีผู้วิเคราะห์ถึงสาเหตุดังกล่าวว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ที่ออสเซียนเดอร์ไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบหรือความขัดแย้งใดๆอันจะเป็นผลเนื่องมาจากหนังสือเล่มนี้
หนังสือที่พิมพ์เสร็จแล้วได้ถูกนำส่งไปให้โคเปอร์นิคัสแต่นับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่โคเปอร์นิคัสไม่ได้เห็นสิ่งที่ออสเซียนเดอร์ได้ทำไว้โดยโคเปอร์นิคัสได้สิ้นลมไปก่อนที่หนังสือจะถูกส่งมาถึงเขาในหนังสือเล่มนี้โคเปอร์นิคัสได้อธิบายหลักคิดและการทดลองทางดาราศาสตร์ของเขาโดยมีรูปดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาลพร้อมกับมีโลกและดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์นอกจากนี้โคเปอร์นิคัสยังได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกกลมอย่างไรก็ตามข้อมูลบางอย่างที่โคเปอร์นิคัสกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ยังมีข้อผิดพลาดอยู่อาทิเช่นโคเปอร์นิคัสระบุว่าวงโคจรของดาวเคราะห์ทุกดวงมีลักษณะเป็นวงกลมโดยแท้จริงแล้วโจฮันเนสเคปเลอร์นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันได้พิสูจน์ในภายหลังว่าวงโคจรดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี
ความสำคัญของหนังสือ "De Revolutionibus"
ความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่มีต่อวิวัฒนาการทางดาราศาสตร์ได้เริ่มจากทีโคบราห์นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์กและกาลิเลโอนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิตาลีรวมไปถึงโจฮันเนสเคปเลอร์ (ทั้งสามคนเป็นนักดาราศาสตร์ในยุคที่ต่อเนื่องจากโคเปอร์นิคัสภายในระยะเวลา 30 ปีนับจากโคเปอร์นิคัสเสียชีวิตลง) โดยทั้งสามคนต่างได้อ่านหนังสือของโคเปอร์นิคัสและสนับสนุนแนวความคิดของโคเปอร์นิคัสนอกจากนี้แนวความคิดของโคเปอร์นิคัสยังเป็นแนวทางให้ไอแซคนิวตันนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษได้ค้นพบและสร้างกฎแรงโน้มถ่วงโลกในอีก 150 ปีต่อมา หลังจากหนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ในปี 1566 ศาสนจักรได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อความศรัทธาและความเชื่อที่มีต่อศาสนาจึงนำไปสู่การห้ามเผยแพร่หนังสือของโคเปอร์นิคัสในปีค.ศ. 1616 โดยการห้ามดังกล่าวเป็นระยะเวลายาวนานร่วม 200 ปีเศษจนกระทั่งปีค.ศ. 1835 ศาสนจักรจึงได้ยกเลิกคำห้ามดังกล่าวอย่างไรก็ตามในระหว่างช่วงเวลาการห้ามเผยแพร่ระบบสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัสได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผู้คนส่วนใหญ่ไปแล้ว
ความสามารถด้านอื่น
โคเปอร์นิคัสไม่ใช่ผู้ที่มีแต่ความสามารถทางด้านดาราศาสตร์และด้านการแพทย์เท่านั้นแต่เขายังได้ชื่อว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์และรัฐบุรุษคนสำคัญของโปแลนด์อีกด้วยทั้งนี้เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่ช่วยให้ประเทศโปแลนด์รอดพ้นจากวิกฤตด้านเงินตราได้โดยในเวลานั้นโปแลนด์ประกอบด้วยรัฐต่างๆหลายรัฐซึ่งรัฐบาลกลางไม่มีระบบการเงินที่แน่นอนทำให้หลังจากเกิดสงครามแล้วประเทศโปแลนด์ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอีกทั้งได้มีการปลอมแปลงเงินขึ้นด้วยยิ่งส่งผลให้เกิดความยุ่งยากขึ้นประชาชนต่างก็มุ่งแต่เก็บเฉพาะเงินดีไว้หมดทำให้เกิดภาวะเงินฝืด
โคเปอร์นิคัสเสนอให้ทุกๆรัฐใช้ระบบเงินตราเดียวกันโดยให้รัฐบาลกลางเก็บเงินเหรียญต่างๆเสียแล้วนำเอาเหรียญใหม่ที่เป็นระบบเดียวกันออกใช้ความคิดดังกล่าวครั้งแรกใช้ไม่ได้ผลแต่ต่อมานิวตันได้นำเอาไปใช้ในประเทศอังกฤษกลับได้ผลลัพธ์ดีมากจึงทำให้ชื่อเสียงของโคเปอร์นิคัสพลอยโด่งดังไปด้วย
ที่มา : https://www.space.mict.go.th/astronomer.php