การวางแผนภาษี เป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) หรือ บริษัทขนาดใหญ่ เพราะการบริหารภาษีอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพิ่มสภาพคล่อง และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
การวางแผนภาษี (Tax Planning) คือ การบริหารจัดการภาษีของธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดต้นทุนภาษีที่ต้องจ่าย
ข้อดีของการวางแผนภาษีที่ดี
ลดภาระภาษีโดยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างถูกต้อง
บริหารกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ไม่ต้องจ่ายภาษีมากเกินไป
ป้องกันปัญหาภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดการวางแผน
ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือในสายตาสรรพากรและนักลงทุน
ธุรกิจที่จดทะเบียนในประเทศไทยต้องเสียภาษีหลัก ๆ ดังนี้
ภาษีที่เรียกเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัท โดยทั่วไปอัตราภาษีอยู่ที่ 20% แต่ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) อาจได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่าตามเงื่อนไขที่กำหนด
ธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเก็บภาษี 7% จากการขายสินค้า/บริการ
ธุรกิจต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 1-5% เมื่อมีการจ่ายเงินค่าบริการให้ผู้ให้บริการ หรือบุคคลธรรมดา
สำหรับธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงิน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% ของรายรับ
การวางแผนภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น การวางแผนภาษีที่ดีต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โครงสร้างของธุรกิจมีผลต่ออัตราภาษีที่ต้องจ่าย ดังนั้นการเลือกโครงสร้างที่เหมาะสมสามารถช่วยลดภาระภาษีได้ เช่น
บริษัทจำกัด มีข้อดีในเรื่องของการเสียภาษีนิติบุคคลในอัตราที่แน่นอน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด และ ธุรกิจเจ้าของคนเดียว อาจเสียภาษีในรูปของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งอัตราภาษีแตกต่างกันไป
บริษัทข้ามชาติ ควรพิจารณาการวางแผนโครงสร้างภาษีระหว่างประเทศให้เหมาะสม
รัฐมีมาตรการทางภาษีที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ เช่น
การหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าการตลาด ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน
สิทธิประโยชน์ BOI สำหรับธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่ช่วยลดอัตราภาษีหรือให้สิทธิยกเว้นบางประเภท
การจัดทำบัญชีให้ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงของการตรวจสอบภาษี
ใช้ประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด
บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่ปรึกษา ค่าการตลาด เป็นต้น
หากธุรกิจมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT
สามารถขอคืนภาษีซื้อ (Input VAT) ได้หากซื้อสินค้าหรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
การใช้เครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อช่วยลดภาระภาษีของธุรกิจ
การจ่ายเงินปันผลแทนการจ่ายเงินเดือนสามารถช่วยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การให้ผลตอบแทนในรูปแบบโบนัสหรือค่าจ้างอาจช่วยให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า
การใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสวัสดิการพนักงานช่วยลดฐานภาษีได้
หากธุรกิจมีการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ควรใช้ข้อตกลงการป้องกันการเก็บภาษีซ้อน
การวางแผนการตั้งสำนักงานหรือบริษัทในประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
การบริหารราคาซื้อขายระหว่างบริษัทในเครือ (Transfer Pricing) ให้ถูกต้อง
การจัดการรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำสุด
การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษีสำหรับบางประเภทธุรกิจ
การบริหารกำไรสะสมและขาดทุนทางบัญชีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ไม่จัดเก็บเอกสารบัญชีให้ครบถ้วน - ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ละเลยการยื่นภาษีตรงเวลา - ถูกปรับและเสียดอกเบี้ยเพิ่ม
ใช้ช่องโหว่ภาษีที่ผิดกฎหมาย - อาจโดนตรวจสอบและเสียค่าปรับจำนวนมาก
ไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี - ทำให้เสียโอกาสในการลดหย่อนภาษี
ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ภาษีทุกปี - ใช้สิทธิที่ธุรกิจมีให้คุ้มค่า
จ้างนักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษี - ลดความผิดพลาดในการยื่นภาษี
ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีและระบบภาษีดิจิทัล - ช่วยจัดการเอกสารและคำนวณภาษีได้แม่นยำ
ข้อมูลอ้างอิง
กรมสรรพากร