กู้เงินออนไลน์ เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคดิจิทัล เพราะช่วยให้ผู้ที่ต้องการเงินด่วนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องใช้เอกสารมากมายหรือเดินทางไปที่ธนาคาร อย่างไรก็ตาม การกู้เงินออนไลน์ก็มีทั้ง ข้อดีและข้อเสีย ที่ผู้กู้ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ ในบทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ทุกแง่มุมของการกู้เงินออนไลน์ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ปัจจุบัน การกู้เงินออนไลน์ สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของบริษัทสินเชื่อ โดยผู้กู้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังธนาคารหรือสถาบันการเงิน ลดความยุ่งยากในการยื่นขอสินเชื่อ ช่วยให้ผู้กู้สามารถกรอกข้อมูลและส่งเอกสารได้จากที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ลดความยุ่งยากในการขอสินเชื่อ
ตัวอย่าง
สามารถสมัครสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร เช่น SCB Easy, Krungthai NEXT, KKP Cash Now
ใช้บริการสินเชื่อดิจิทัลจากบริษัทฟินเทค เช่น LINE BK หรือ TrueMoney
หลายแพลตฟอร์ม กู้เงินดอกเบี้ยต่ำ มีระบบ AI ในการพิจารณาเอกสาร ทำให้กระบวนการอนุมัติรวดเร็ว บางที่สามารถรู้ผลภายใน 30 นาที และรับเงินเข้าบัญชีได้ภายใน 24 ชั่วโมง
เปรียบเทียบระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อ
กู้เงินออนไลน์: อนุมัติภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือวันเดียว
กู้เงินจากธนาคาร: ใช้เวลาหลายวันถึงเป็นสัปดาห์
สินเชื่อออนไลน์ ส่วนใหญ่อยู่ในประเภท สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) หรือ สินเชื่อเงินด่วน มักใช้เอกสารประกอบการขอสินเชื่อน้อยกว่าธนาคารดั้งเดิม บางแห่งอาจใช้แค่ข้อมูลจากบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเท่านั้น สินเชื่อออนไลน์บางประเภทไม่จำเป็นต้องใช้บุคคลค้ำประกันหรือหลักทรัพย์ ทำให้สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินรองรับ
ตัวอย่างเอกสารที่ใช้ในการกู้เงินออนไลน์
บัตรประชาชน
รายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง 3-6 เดือน
หลักฐานแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน (ถ้ามี)
บางแอปสินเชื่อใช้เพียงข้อมูลการใช้จ่ายในบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตเป็นเกณฑ์อนุมัติ
เหมาะสำหรับ
พนักงานประจำที่ต้องการเงินฉุกเฉิน
ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีเงินเดือนประจำ
ผู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์แต่ต้องการกู้เงินด่วน
ปัจจุบันมี แหล่งกู้เงินออนไลน์ หลายแห่งที่ให้บริการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมีตัวเลือกการชำระเงินที่ยืดหยุ่น สามารถเลือกแผนผ่อนชำระที่เหมาะสมกับรายได้ของตัวเอง
ตัวอย่างแหล่งกู้เงินออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ
LINE BK (วงเงินให้ยืม)
KKP Cash Now (Kasikorn)
TrueMoney Micro Credit
Shopee Pay Later
Dolfin Money by KBank
คำแนะนำ: ก่อนตัดสินใจเลือกกู้เงิน ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการชำระเงินของแต่ละแพลตฟอร์ม
เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของบริษัทสินเชื่อมักมี เครื่องคำนวณสินเชื่อ ที่ช่วยให้ผู้กู้สามารถคำนวณดอกเบี้ย ค่างวด และระยะเวลาผ่อนชำระได้ล่วงหน้า ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้ดีขึ้น ทำให้สามารถเปรียบเทียบดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อนชำระได้ก่อนตัดสินใจ
เคล็ดลับก่อนกู้
ใช้เครื่องคำนวณสินเชื่อออนไลน์เปรียบเทียบดอกเบี้ย
อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริงก่อนเลือกใช้บริการ
ศึกษาเงื่อนไขการผิดนัดชำระ เพื่อป้องกันค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น
สำหรับผู้ที่มีปัญหา เครดิตบูโร (ประวัติการชำระหนี้ไม่ดี) บางแพลตฟอร์มสินเชื่อออนไลน์อาจให้โอกาสกู้เงินได้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจสูงขึ้น
ตัวอย่าง
บางแอปกู้เงินใช้พฤติกรรมการใช้จ่ายแทนการเช็กเครดิตบูโร
สินเชื่อแบบ P2P Lending อาจเปิดโอกาสให้คนที่มีประวัติเครดิตไม่ดีสามารถกู้เงินได้
แม้ว่าสินเชื่อออนไลน์บางแห่งจะโฆษณาว่าเป็น กู้เงินดอกเบี้ยต่ำ แต่ในความเป็นจริง อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อออนไลน์มักจะสูงกว่าสินเชื่อจากธนาคารแบบดั้งเดิม เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกัน
ตัวอย่างอัตราดอกเบี้ย
สินเชื่อธนาคาร: 10% - 20% ต่อปี
สินเชื่อออนไลน์ (Non-Bank): 25% - 36% ต่อปี
สินเชื่อนอกระบบ: อาจสูงถึง 100% - 300% ต่อปี
คำแนะนำ: ก่อนกู้เงินออนไลน์ ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขให้รอบคอบ หากดอกเบี้ยสูงเกินไป อาจทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สินเชื่อออนไลน์ มักมีระยะเวลาผ่อนชำระที่สั้นกว่าสินเชื่อธนาคาร เช่น 3-12 เดือน ซึ่งทำให้ค่างวดรายเดือนสูง หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน
ตัวอย่างการผ่อนชำระ
กู้ 50,000 บาท ระยะเวลา 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 36% ต่อปี
ค่างวดรายเดือนอาจสูงถึง 9,600 - 10,000 บาท
คำแนะนำ: คำนวณความสามารถในการชำระหนี้ให้ดีก่อนตัดสินใจกู้
เนื่องจากการกู้เงินออนไลน์ทำได้ง่าย จึงมีมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่ในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม แอปเงินกู้นอกระบบ หรือ สินเชื่อเถื่อน ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และจะมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยโหด หรือใช้วิธีทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย
ตัวอย่างลักษณะของเงินกู้อันตราย
ขอค่าธรรมเนียมก่อนโอนเงินกู้ (เป็นกลลวง หลอกให้โอนเงิน)
ดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนด (มากกว่า 36% ต่อปี)
ข่มขู่และทวงหนี้โหด หากผิดนัดชำระ
วิธีป้องกัน
ตรวจสอบรายชื่อแอปเงินกู้ที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
หลีกเลี่ยงแอปสินเชื่อที่ไม่ได้มีรีวิวหรือข้อมูลที่ชัดเจน
ส่วนใหญ่ สินเชื่อออนไลน์ จะให้วงเงินกู้ที่ไม่สูงมาก (มักอยู่ในช่วง 5,000 – 100,000 บาท) จึงอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเงินก้อนใหญ่
สินเชื่อออนไลน์บางแห่งอาจมีค่าธรรมเนียมแอบแฝง เช่น ค่าดำเนินการ ค่าปรับกรณีผิดนัดชำระ หรือค่าธรรมเนียมเบิกถอน ซึ่งอาจเพิ่มภาระทางการเงินให้กับผู้กู้โดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างค่าธรรมเนียมที่อาจพบ
ค่าธรรมเนียมการสมัคร: 500 - 2,000 บาท
ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงิน: 1-3% ของยอดกู้
ค่าปรับชำระล่าช้า: 3-5% ต่อเดือน
คำแนะนำ: อ่านเงื่อนไขการกู้เงินให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
หากผิดนัดชำระหนี้ อาจส่งผลต่อ เครดิตบูโร ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคตเป็นไปได้ยากขึ้น
แม้ว่าบางสินเชื่อออนไลน์อาจไม่ตรวจสอบ เครดิตบูโร ในขั้นตอนอนุมัติเงินกู้ แต่หากผิดนัดชำระ อาจถูกส่งข้อมูลไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประวัติทางการเงินในอนาคต
ผลกระทบของเครดิตเสีย
อาจกู้เงินจากธนาคารไม่ได้ในอนาคต
มีโอกาสถูกปฏิเสธเมื่อสมัครบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบ้าน
คำแนะนำ: วางแผนชำระเงินให้ตรงเวลาเพื่อลดความเสี่ยง
การสมัคร สินเชื่อออนไลน์ มักต้องใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน ข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่สิทธิ์เข้าถึงโทรศัพท์มือถือ หากสมัครกับแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงเอกสาร หรือการนำไปขายต่อให้มิจฉาชีพ
ตัวอย่างความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนตัว
ข้อมูลบัญชีธนาคารถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ถูกสมัครสินเชื่อในชื่อของเราโดยไม่รู้ตัว
ถูกนำข้อมูลไปขายให้บริษัททวงหนี้
วิธีป้องกัน
กู้เงินกับแหล่งที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
หลีกเลี่ยงแอปที่ขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป
แม้ว่าสินเชื่อออนไลน์ถูกกฎหมายจะมีการควบคุมด้านการทวงหนี้ แต่สินเชื่อบางแห่งยังใช้วิธีการทวงหนี้ที่กดดันและไม่เหมาะสม เช่น โทรติดตามบ่อย หรือใช้ข้อความข่มขู่
ตัวอย่างวิธีทวงหนี้ที่ไม่เหมาะสม
โทรหาผู้กู้วันละหลายสิบครั้ง
โทรหาญาติ เพื่อน หรือที่ทำงานของผู้กู้
ใช้ข้อความข่มขู่
วิธีป้องกัน
เลือกกู้เงินจากสถาบันที่ได้รับอนุญาต
หากถูกคุกคาม ให้แจ้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของธนาคารแห่งประเทศไทย