เงินทุนหมุนเวียนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ช่วยให้กิจการสามารถจัดการค่าใช้จ่ายในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคำนวณเงินทุนหมุนเวียนที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ธุรกิจมีสภาพคล่องและสามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่อง
เงินทุนหมุนเวียน หรือ Working Capital คือ ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) และหนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) ของธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถของบริษัท จากเงินสำรองระยะสั้นในการดำเนินธุรกิจ ที่จะช่วยให้ธุรกิจคล่องตัว ขยับขยายได้อย่างไม่ติดขัด และพร้อมตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นได้ เงินทุนหมุนเวียนจึงเปรียบเสมือนรากฐานของธุรกิจ หากมีเงินทุนหมุนเวียนมาก ก็ยิ่งมีความมั่นคง
การบริหารธุรกิจให้มีเงินทุนหมุนเวียนอย่างเหมาะสม จะช่วยรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจ ทำให้จัดการกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างคล่องตัว ลดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ ที่อาจมีค่าปรับหรือดอกเบี้ยตามมา หากต้องการลงทุนเพิ่มก็ทำได้ทันท่วงที ยิ่งในปัจจุบันที่ตลาดเปลี่ยนไว ธุรกิจที่มีเงินทุนหมุนเวียนก็จะสามารถก้าวทันผู้บริโภค และสร้างผลกำไรได้ดี
การคำนวณเงินทุนหมุนเวียนสามารถทำได้โดยใช้สูตรดังนี้
ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) ได้แก่ เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง และทรัพย์สินที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายในหนึ่งปี
หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) ได้แก่ หนี้สินที่ต้องชำระภายในหนึ่งปี เช่น เจ้าหนี้การค้า ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย และเงินกู้ระยะสั้น
เพื่อให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
1. คำนวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) หากค่ามากกว่า 1 แสดงว่าธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดี แต่หากต่ำกว่า 1 อาจบ่งบอกถึงปัญหาทางการเงิน
2. วิเคราะห์ระยะเวลาหมุนเวียนของสินทรัพย์และหนี้สิน
-ระยะเวลาลูกหนี้การค้า (Days Sales Outstanding – DSO) – ระยะเวลาที่ลูกค้าชำระเงิน
-ระยะเวลาหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover Days – ITD) – ระยะเวลาที่สินค้าถูกขายออกไป
-ระยะเวลาชำระเจ้าหนี้ (Days Payable Outstanding – DPO) – ระยะเวลาที่ธุรกิจชำระหนี้ให้ซัพพลายเออร์
3. ประเมินกระแสเงินสด ตรวจสอบว่าเงินสดหมุนเวียนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับรายรับและรายจ่ายของธุรกิจ
4. พิจารณาวงจรเงินสด (Cash Conversion Cycle – CCC) หาก CCC สั้น ธุรกิจสามารถหมุนเวียนเงินทุนได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงทางการเงิน
5. ตั้งสำรองเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควรมีเงินทุนสำรองที่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือน
สมมติว่า บริษัท A มีข้อมูลทางการเงินดังนี้
สินทรัพย์หมุนเวียน: 500,000 บาท
หนี้สินหมุนเวียน: 300,000 บาท
เงินทุนหมุนเวียน = 500,000 - 300,000 = 200,000 บาท
ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า บริษัท A มีเงินทุนหมุนเวียน 200,000 บาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าธุรกิจสามารถดำเนินงานต่อไปได้โดยไม่เกิดปัญหาสภาพคล่อง
1. ลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable) - หากลูกค้าจ่ายเงินช้า อาจส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนลดลง
2. สินค้าคงคลัง (Inventory) - การบริหารสต็อกสินค้าให้เหมาะสมช่วยลดต้นทุนและเพิ่มสภาพคล่อง
3. เจ้าหนี้การค้า (Accounts Payable) - การเจรจาขยายระยะเวลาชำระหนี้อาจช่วยเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน
4. ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน - ธุรกิจควรควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาระดับเงินทุนหมุนเวียนที่ดี
1. ปรับปรุงการบริหารสินค้าคงคลัง – ลดสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มเงินสด
2. เร่งกระบวนการรับชำระเงินจากลูกค้า – ใช้วิธีการเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพ
3. จัดการหนี้สินอย่างเหมาะสม – หลีกเลี่ยงการก่อหนี้สินหมุนเวียนที่มากเกินไป
4. ขยายระยะเวลาชำระหนี้กับซัพพลายเออร์ - อย่างเหมาะสม
ข้อมูลอ้างอิง
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม