การเล่านิทานเป็นศิลปะที่สร้างความเพลิดเพลินและถ่ายทอดข้อคิดให้ผู้ฟัง นักเล่านิทานที่ดีไม่เพียงแต่ต้องมีน้ำเสียงน่าฟัง แต่ยังต้องมีทักษะด้านการใช้ภาษา อารมณ์ และการสื่อสารที่สามารถดึงดูดผู้ฟังให้มีส่วนร่วม นอกจากนี้ การใช้ท่าทาง สีหน้า และจังหวะการเล่าที่เหมาะสมจะช่วยให้เรื่องราวมีชีวิตชีวา ทักษะการสร้างบรรยากาศและการปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายก็เป็นสิ่งสำคัญ หากนักเล่าฝึกฝนทักษะเหล่านี้ ย่อมสามารถถ่ายทอดนิทานได้อย่างน่าประทับใจและตราตรึงใจผู้ฟัง
นักเล่านิทานต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้ฟังเข้าใจและเข้าถึงอารมณ์ของเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ การสื่อสารที่ดีไม่ได้มีเพียงแค่คำพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การใช้สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และจังหวะในการเล่า เพื่อให้เกิดความสมจริงและดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง นอกจากนี้ การใช้น้ำเสียงที่แตกต่างกันไปตามตัวละครหรืออารมณ์ของเรื่องราวจะช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับนิทาน
นักเล่านิทานที่ดีควรเข้าใจ พัฒนาการทางอารมณ์และสติปัญญาของเด็กในแต่ละช่วงวัย เพื่อสามารถสื่อสารได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น
เด็กเล็ก (3-5 ปี) ชอบนิทานที่มีภาพประกอบสีสันสดใส และใช้ภาษาง่าย ๆ
เด็กวัยประถม (6-12 ปี) อาจสนใจเรื่องราวที่มีความซับซ้อนขึ้นและแฝงข้อคิดมากขึ้น
การเข้าใจจิตวิทยาเด็กยังช่วยให้นักเล่าสามารถเลือกเรื่องราว และวิธีการเล่าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และสนุกไปพร้อมกัน
การอ่านและการเล่าเรื่องเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน นักเล่านิทานควรมีความสามารถในการ อ่านออกเสียงให้ชัดเจน ใช้น้ำเสียงที่เหมาะสมกับเนื้อหา และมีจังหวะการเล่าที่น่าติดตาม นอกจากนี้ การปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับบริบทหรือสไตล์การเล่าเฉพาะตัว จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับการเล่าเรื่อง และทำให้ผู้ฟังจดจำได้ง่ายขึ้น
ในการเล่านิทาน บางครั้งอาจเกิดสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น
เด็กบางคนอาจไม่สนใจและเริ่มคุยกันเอง
เด็กถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
อุปกรณ์ที่ใช้เล่าชำรุดหรือมีปัญหากะทันหัน
นักเล่าที่ดีต้องมีไหวพริบและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น ปรับโทนเสียงหรือวิธีการเล่าให้ดึงดูดความสนใจมากขึ้น เปลี่ยนแนวทางการสื่อสาร หรือหาอุปกรณ์เสริมมาช่วย เพื่อให้การเล่ายังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น