การเลือกทนายความ เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลลัพธ์ของคดีความส่วนบุคคล ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับคดีแพ่ง คดีอาญา ทรัพย์สิน หรือครอบครัว การมี ทนายความที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และเพิ่มโอกาสในการชนะคดี บทความนี้จะช่วยแนะนำ วิธีเลือกทนายความ ให้เหมาะสมกับคดีของคุณ
ทนายความ คือ บุคคลที่ได้รับใบอนุญาตจาก สภาทนายความแห่งประเทศไทย ให้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายและเป็นตัวแทนของลูกความในการดำเนินคดีในศาล ทนายความเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและช่วยปกป้องสิทธิของบุคคลหรือองค์กรในการดำเนินคดีทางกฎหมาย
ทนายความแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น
ทนายความทั่วไป – รับว่าความในคดีแพ่ง คดีอาญา หรือคดีอื่น ๆ
ทนายความที่ปรึกษากฎหมาย – ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่บริษัทหรือบุคคลทั่วไป
ทนายความเฉพาะทาง – มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายภาษี กฎหมายอสังหาริมทรัพย์
บทบาทของทนายความมีหลากหลายขึ้นอยู่กับลักษณะของคดีและประเภทของงานที่ทำ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่
1. ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
2. เป็นตัวแทนในกระบวนการพิจารณาคดี
3. ร่างและตรวจสอบเอกสารทางกฎหมาย
4. เจรจาต่อรองและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
หนึ่งในบทบาทหลักของทนายความ คือ การให้คำแนะนำทางกฎหมาย กับลูกความ ซึ่งอาจเป็นบุคคลทั่วไป องค์กร หรือบริษัท เพื่อให้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหากฎหมายได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างงานให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
-การให้คำแนะนำเรื่องการจัดตั้งบริษัทและกฎหมายธุรกิจ
-การอธิบายสิทธิและหน้าที่ของลูกความ เช่น สิทธิแรงงาน สัญญาจ้างงาน
-การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคดีแพ่ง เช่น การฟ้องร้องทางแพ่ง คดีมรดก
-การช่วยเหลือด้านกฎหมายอาญา เช่น คดีหมิ่นประมาท คดีฉ้อโกง
ตัวอย่างสถานการณ์:
บริษัท A ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ทนายความจะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อกำหนดทางภาษี และข้อตกลงทางธุรกิจ
ทนายความมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวแทนของลูกความในศาล เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความ
หน้าที่ของทนายความในศาล
-วิเคราะห์คดีและรวบรวมหลักฐาน
-จัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นต่อศาล
-ว่าความและให้การแทนลูกความ
-ซักค้านพยานในศาล
-ติดตามผลคดีและยื่นอุทธรณ์หากจำเป็น
ตัวอย่างสถานการณ์:
นาย B ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสัญญากับคู่ค้า ทนายความของเขาจะทำหน้าที่ว่าความ นำเสนอหลักฐาน และหาทางต่อสู้คดีเพื่อปกป้องสิทธิของนาย B
ทนายความต้องมีความเชี่ยวชาญในการร่างและตรวจสอบเอกสารทางกฎหมายให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ประเภทของเอกสารที่ทนายความเกี่ยวข้อง
-สัญญาธุรกิจ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์สิน
-สัญญาทางแพ่ง เช่น สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาแต่งตั้งผู้รับมรดก
-พินัยกรรมและเอกสารมรดก
-หนังสือมอบอำนาจ
ตัวอย่างสถานการณ์:
บริษัท C ต้องการทำสัญญาจ้างพนักงานต่างชาติ ทนายความจะตรวจสอบว่าข้อความในสัญญาถูกต้องตามกฎหมายแรงงานหรือไม่ และแนะนำข้อกำหนดที่ควรเพิ่ม
ทนายความมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คู่กรณีหาข้อตกลงร่วมกันโดยไม่ต้องฟ้องร้อง ซึ่งช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายของลูกความ
กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
-ศึกษาเงื่อนไขของข้อพิพาท
-เสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
-เจรจาต่อรองให้คู่กรณียอมรับข้อตกลงที่เป็นธรรม
-ร่างข้อตกลงที่มีผลทางกฎหมาย
ตัวอย่างสถานการณ์:
บริษัท D มีข้อพิพาทกับซัพพลายเออร์เรื่องการส่งสินค้าล่าช้า ทนายความช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้โดยไม่ต้องฟ้องร้อง
ทนายความสามารถทำงานในคดีหลายประเภท ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
เกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาญา เช่น
-คดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินและที่ดิน
-คดีมรดกและพินัยกรรม
-คดีที่เกี่ยวกับสัญญาธุรกิจ
เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาที่อาจมีโทษจำคุก เช่น
-คดีฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์
-คดีลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย
-คดีหมิ่นประมาท
-คดีแรงงาน – เช่น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
-คดีปกครอง – เช่น การฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ
การเป็นทนายความที่ดีต้องมีคุณสมบัติต่อไปนี้
-มีใบอนุญาตจากสภาทนายความ – ต้องผ่านการสอบและมีใบอนุญาตว่าความ
-มีความรู้และประสบการณ์ – ควรมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา
-มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ – ต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณของสภาทนายความ
-มีทักษะการเจรจาและว่าความ – ทนายที่ดีต้องสามารถเจรจาต่อรองและนำเสนอข้อมูลต่อศาลได้ดี
-มีความซื่อสัตย์และโปร่งใส – ควรให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา และไม่ฉ้อโกงลูกความ
การเลือกทนายความต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมกับคดีของคุณมากที่สุด
1) เชี่ยวชาญในคดีที่เกี่ยวข้อง เลือกทนายที่มีความรู้และประสบการณ์ตรงกับคดีของคุณ เช่น ถ้าคุณมีปัญหาด้านทรัพย์สิน ควรเลือกทนายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์
2) มีใบอนุญาตทนายความ ตรวจสอบว่าทนายมีใบอนุญาตจาก สภาทนายความแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอย่างแท้จริง
3) มีประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมา เลือกทนายที่มีประสบการณ์และประวัติการทำคดีที่ดี โดยอาจสอบถามถึงคดีที่เคยดำเนินการและผลลัพธ์ที่ได้รับ
4) ค่าบริการที่เหมาะสม ค่าบริการของทนายแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ควรสอบถามรายละเอียดค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเพื่อป้องกันปัญหาภายหลัง
5) ความสามารถในการสื่อสาร ทนายที่ดีควรสามารถอธิบายกฎหมายให้คุณเข้าใจง่าย และให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา
ทนายมีประสบการณ์ด้านนี้มากี่ปี?
มีคดีตัวอย่างที่คล้ายกับของเราหรือไม่?
ค่าบริการคิดเป็นรายชั่วโมงหรือแบบเหมาจ่าย?
ระยะเวลาที่คาดว่าคดีจะเสร็จสิ้นนานแค่ไหน?
หากต้องการหาทนายที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถค้นหาได้จากแหล่งต่อไปนี้
เว็บไซต์สภาทนายความ – www.lawyerscouncil.or.th
สำนักงานกฎหมายชั้นนำ – ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ
รีวิวจากลูกค้า – ค้นหาฟีดแบ็กจากผู้ที่เคยใช้บริการ
ข้อมูลอ้างอิง
สภาทนายความ