Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การทำสัญญาเช่าที่พักอาศัย: สิ่งที่ควรรู้

Posted By Kung_nadthanan | 02 ม.ค. 68
186 Views

  Favorite

 

การเช่าที่พักอาศัย เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับทั้งเจ้าของที่พักและผู้เช่าที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ เพื่อให้การเช่าบ้านเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยเฉพาะในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่าบ้าน ซึ่งสัญญาเช่าที่พักอาศัยเป็นเอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการระบุข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย หากคุณเป็นผู้เช่าหรือเจ้าของที่พัก ควรทำความเข้าใจในข้อกำหนดของสัญญาเช่าที่พักอาศัยและกฎหมายเช่าบ้านเพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต

 

สัญญาเช่าที่พักอาศัยคืออะไร?

สัญญาเช่าที่พักอาศัย (Rental Agreement) คือ ข้อตกลงระหว่างเจ้าของที่พัก (ผู้ให้เช่า) และผู้เช่า (ผู้เช่าที่พัก) โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำหนดเงื่อนไขการใช้ที่พักที่เจ้าของให้เช่า โดยสัญญานี้จะระบุรายละเอียดที่สำคัญ เช่น ระยะเวลาในการเช่า, ค่าเช่า, เงื่อนไขการชำระค่าเช่า, สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย รวมถึงข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยในที่พัก

สัญญาเช่าที่พักอาศัย มีความสำคัญในการป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเจ้าของที่พักและผู้เช่า ทั้งนี้การทำสัญญาเช่าช่วยให้การเช่าบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส โดยในสัญญาเช่าจะระบุข้อกำหนดที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทุกขั้นตอนของการเช่า

 

ประเภทของสัญญาเช่าที่พักอาศัย

การเช่าที่พักอาศัยในประเทศไทยมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของการเช่าและระยะเวลาการเช่า โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้

1. สัญญาเช่าระยะสั้น

ระยะเวลา: สัญญาเช่าที่มีระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี

ลักษณะเด่น:

- นิยมใช้สำหรับการเช่าห้องพักหรือบ้านพักอาศัยที่ไม่มีการผูกพันระยะยาว

- เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว คนที่ย้ายถิ่นฐานชั่วคราว หรือผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่น

ข้อกำหนดทั่วไป:

ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์

- ไม่มีข้อกำหนดการจดทะเบียนกับกรมที่ดิน

ตัวอย่าง:  การเช่าอพาร์ตเมนต์ ห้องเช่า หรือบ้านพักชั่วคราว

 

2. สัญญาเช่าระยะยาว

ระยะเวลา: สัญญาเช่าที่มีระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป

ลักษณะเด่น:

- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเช่าที่พักอาศัยในระยะยาว

- มีข้อกำหนดที่ชัดเจน เช่น การจ่ายเงินมัดจำ ระยะเวลาการยกเลิกสัญญา

ข้อกำหนดทั่วไป:

- หากสัญญาเช่ามีระยะเวลาเกิน 3 ปี ต้องจดทะเบียนต่อกรมที่ดินเพื่อให้มีผลทางกฎหมาย

ตัวอย่าง: การเช่าบ้านหรือคอนโดระยะยาว

 

3. สัญญาเช่ารายเดือน

ระยะเวลา: ผู้เช่าชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาแน่นอน

ลักษณะเด่น:

- สัญญานี้มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า

- สามารถยกเลิกได้ง่ายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน

ข้อกำหนดทั่วไป:

- ไม่มีข้อกำหนดการจดทะเบียนกับกรมที่ดิน

ตัวอย่าง: การเช่าห้องพักในอพาร์ตเมนต์ทั่วไป

 

4. สัญญาเช่าพร้อมตัวเลือกการซื้อ (Rent-to-Own)

ระยะเวลา: ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ตกลง อาจยาวหลายปี

ลักษณะเด่น:

- ผู้เช่ามีสิทธิ์เลือกซื้อทรัพย์สินหลังจากหมดสัญญา

- ค่าเช่าบางส่วนอาจถูกนับเป็นเงินดาวน์เมื่อมีการซื้อ

ข้อกำหนดทั่วไป:

- สัญญามักมีเงื่อนไขการซื้อที่ชัดเจน เช่น ราคาขายล่วงหน้า และระยะเวลาที่กำหนด

ตัวอย่าง: การเช่าบ้านที่สามารถซื้อได้ในอนาคต

 

5. สัญญาเช่าหลายฝ่าย (Sublease Agreement)

ระยะเวลา: ขึ้นอยู่กับสัญญาเช่าหลัก

ลักษณะเด่น:

- ผู้เช่าหลักให้บุคคลอื่นเช่าต่อโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้าน

- มีข้อกำหนดในการแบ่งปันสิทธิและหน้าที่

ข้อกำหนดทั่วไป:

ผู้เช่าหลักต้องมีสิทธิ์ในการให้เช่าช่วงจากสัญญาเดิม

ตัวอย่าง: การเช่าห้องหรือบ้านในลักษณะการแบ่งห้องพักให้ผู้อื่นเช่า

 

6. สัญญาเช่าภายใต้เงื่อนไขพิเศษ

ระยะเวลา: ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเฉพาะระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า

ลักษณะเด่น:

- มีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงทรัพย์สิน การดูแลรักษา หรือการใช้ทรัพย์สินเฉพาะวัตถุประสงค์

ข้อกำหนดทั่วไป:

- สัญญานี้มักมีการปรับแต่งเงื่อนไขตามความต้องการของทั้งสองฝ่าย

ตัวอย่าง: การเช่าบ้านพร้อมเงื่อนไขให้ผู้เช่าปรับปรุงบ้านบางส่วน

 

ข้อกำหนดในสัญญาเช่าที่พักอาศัย

การทำสัญญาเช่าที่พักอาศัยจำเป็นต้องระบุข้อกำหนดที่สำคัญดังนี้

1. ระยะเวลาในการเช่า:

- ต้องระบุระยะเวลาในการเช่าที่ชัดเจน เช่น สัญญาเช่า 1 ปี หรือ 2 ปี เป็นต้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องตกลงกันก่อน หากต้องการต่อสัญญาหรือยกเลิกก่อนครบกำหนด ต้องแจ้งกันตามระยะเวลาที่ระบุในสัญญา

- การระบุระยะเวลาในการเช่าช่วยให้ทั้งผู้เช่าและเจ้าของที่พักมีความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะอยู่ในที่พัก

2. ค่าเช่าและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ:

- ค่าเช่าควรถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในสัญญา โดยระบุจำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละเดือน รวมถึงวันเวลาในการชำระเงิน

- หากมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าบริการส่วนกลาง ค่าจอดรถ หรือค่าสาธารณูปโภค ควรระบุไว้ในสัญญาเช่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในภายหลัง

3. เงินประกัน:

การฝากเงินประกันเพื่อคุ้มครองเจ้าของที่พักในกรณีที่ผู้เช่าทำให้ที่พักเสียหายหรือไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้

4. การบำรุงรักษาที่พัก:

- สัญญาควรกำหนดหน้าที่ของทั้งเจ้าของที่พักและผู้เช่าในการบำรุงรักษาที่พัก เช่น การซ่อมแซมระบบไฟฟ้า, ประปา, หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งอาจระบุว่าเจ้าของที่พักต้องรับผิดชอบการซ่อมแซมในบางกรณี หรือผู้เช่าต้องดูแลในบางกรณี

5. สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่า:

- ผู้เช่าควรปฏิบัติตามข้อกำหนดในการใช้พื้นที่พักอาศัยอย่างถูกต้อง เช่น ห้ามทำกิจกรรมที่รบกวนผู้เช่าท่านอื่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ (ถ้ามีกฎดังกล่าว) หรือห้ามทำการปรับปรุงที่พักโดยไม่ได้รับอนุญาต

6. การคืนสถานที่หลังหมดสัญญา:

- ในกรณีที่สัญญาเช่าหมดอายุหรือผู้เช่าต้องการย้ายออกจากที่พัก ควรกำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับการคืนสถานที่ให้เจ้าของที่พักในสภาพที่ดี ไม่มีความเสียหาย

 

ทำไมจึงต้องมีสัญญาเช่าที่พักอาศัย?

1. ความชัดเจน: การทำสัญญาช่วยให้ทั้งเจ้าของที่พักและผู้เช่าเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน

2. การป้องกันข้อพิพาท: การมีสัญญาช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจระหว่างเจ้าของที่พักและผู้เช่า

3. การคุ้มครองทางกฎหมาย: สัญญาเช่าที่พักอาศัยเป็นหลักฐานที่สามารถใช้ในการดำเนินการทางกฎหมายหากเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

 

กฎหมายเช่าบ้านในประเทศไทย

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่าที่พักอาศัยในประเทศไทยหลักๆ จะมี พระราชบัญญัติการเช่าบ้าน พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมและกำหนดข้อบังคับในการเช่าบ้าน รวมถึงการคุ้มครองทั้งเจ้าของที่พักและผู้เช่าจากการกระทำที่ไม่เหมาะสม

ในประเทศไทยการเช่าบ้านหรือที่พักอาศัยถูกควบคุมโดย พระราชบัญญัติการเช่าบ้าน พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าและเจ้าของบ้านให้ชัดเจน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันข้อพิพาทและให้ความคุ้มครองทั้งสองฝ่ายในกรณีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเช่าบ้านหรือที่พัก

การเช่าบ้านในประเทศไทยได้รับการควบคุมโดยหลายกฎหมายที่มุ่งหวังให้ทั้งผู้เช่าและเจ้าของบ้านได้รับความเป็นธรรม รวมถึงการป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีการเช่าบ้าน กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีดังนี้:

1. พระราชบัญญัติการเช่าบ้าน พ.ศ. 2522

- พระราชบัญญัติการเช่าบ้าน พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้บังคับในการเช่าบ้านและที่พักอาศัยในประเทศไทย โดยกฎหมายนี้จะควบคุมเรื่องการทำสัญญาเช่า ระยะเวลาเช่า ค่าเช่า และการยกเลิกสัญญา

- กฎหมายนี้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เช่าที่พักอาศัยและเจ้าของบ้าน โดยมีข้อกำหนดในการรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อบ้านหรือการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา

2. กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (Civil and Commercial Code)

- กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่ควบคุมการทำสัญญาต่างๆ รวมถึงสัญญาการเช่าบ้าน กฎหมายนี้กำหนดเรื่องของการทำสัญญา การชำระเงิน และความรับผิดชอบต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายในกรณีที่เกิดข้อพิพาท เช่น การบอกเลิกสัญญา การขอค่าชดเชย และการยุติการเช่า

- ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537-607 จะกล่าวถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์สิน ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาคดีกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในกรณีเช่าบ้าน

3. กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค

- พระราชบัญญัติการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในทุกกรณี รวมถึงการเช่าบ้าน ในกรณีที่เจ้าของบ้านอาจกระทำการไม่เป็นธรรมกับผู้เช่า เช่น การเรียกเก็บค่าเช่ามากเกินไป หรือการไม่ซ่อมแซมบ้านตามที่ตกลง

- หากผู้เช่าได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าของบ้าน เช่น การเรียกเก็บค่าเช่าเกินจริง ผู้เช่ามีสิทธิที่จะร้องเรียนและใช้กฎหมายนี้ในการเรียกร้องความเป็นธรรม

4. กฎหมายแรงงาน

- กฎหมายแรงงานบางประการอาจมีผลกระทบต่อการเช่าบ้านในกรณีที่ผู้เช่าคือพนักงานหรือแรงงานที่ย้ายมาอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดและมีการหาที่พักอาศัยในพื้นที่นั้นๆ

- เช่น ในกรณีของการให้ที่พักอาศัยแก่พนักงานหรือแรงงานที่อาศัยอยู่ในที่ทำงาน อาจมีข้อกำหนดหรือเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการให้ที่พักอาศัยตามกฎหมายแรงงานที่ใช้บังคับในบางกรณี

5. กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

- ในกรณีที่บ้านหรือที่พักอาศัยได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น การก่อสร้างที่ไม่ได้รับอนุญาต การทิ้งขยะในพื้นที่สาธารณะ หรือการปล่อยสิ่งของที่เป็นอันตรายออกมา ผู้เช่าหรือเจ้าของบ้านอาจต้องรับผิดชอบตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม

- กฎหมายเหล่านี้อาจรวมถึง พระราชบัญญัติการจัดการมลพิษและการควบคุมการทำลายสิ่งแวดล้อม ที่จะทำให้ทั้งผู้เช่าและเจ้าของบ้านต้องคำนึงถึงการรักษาความสะอาดและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

6. กฎหมายเกี่ยวกับการจดทะเบียนสัญญาเช่า

- กฎหมายบางประการกำหนดให้สัญญาเช่าบ้านที่มีระยะเวลาเช่ามากกว่า 3 ปี จำเป็นต้องจดทะเบียนต่อกรมที่ดิน ซึ่งการจดทะเบียนนี้จะทำให้สัญญามีผลตามกฎหมายและสามารถพิสูจน์ได้ในกรณีที่เกิดข้อพิพาท

- หากไม่มีการจดทะเบียนและเกิดข้อพิพาทในภายหลัง สัญญาอาจไม่ได้รับการยอมรับในศาล

 

ข้อควรระวังในการทำสัญญาเช่าที่พักอาศัย

1. ตรวจสอบสัญญาให้ละเอียด: ก่อนเซ็นสัญญาควรตรวจสอบข้อกำหนดทุกข้อ รวมถึงระยะเวลา ค่าเช่า และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหลังจากการเช่า

2. ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร: แม้ว่าการเช่าที่พักอาศัยในบางกรณีจะเป็นการตกลงปากเปล่า แต่การทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจะช่วยให้เกิดความชัดเจนและสามารถใช้เป็นหลักฐานในกรณีเกิดข้อพิพาท

3. เก็บสำเนาสัญญาและหลักฐานการชำระค่าเช่า: ควรเก็บสำเนาสัญญาเช่าและหลักฐานการชำระค่าเช่าไว้อย่างรัดกุมเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง

 

การทำสัญญาเช่าที่พักอาศัยมีความสำคัญในการสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างเจ้าของที่พักและผู้เช่า การปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาและการเข้าใจกฎหมายเช่าบ้านจะช่วยป้องกันข้อพิพาทในอนาคต ทั้งนี้การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้าของที่พักและผู้เช่าจะทำให้การเช่าที่พักเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสำหรับทั้งสองฝ่าย

 

ข้อมูลอ้างอิง

กระทรวงยุติธรรม

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow