ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT (Value Added Tax) เป็นภาษีที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เจ้าของธุรกิจทุกขนาดต้องปฏิบัติตาม กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและลดความเสี่ยงจากบทลงโทษทางกฎหมาย เนื้อหานี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับ VAT หลักการ วิธีคำนวณ และการปฏิบัติตามที่ถูกต้อง
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย
3. กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางการค้า หรือหากำไร โดยรัฐบาลต่างประเทศองค์การของรัฐบาลต่างประเทศ นิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
4. กิจการร่วมค้า (Joint Venture)
5. มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิ หรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
6. นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายรับเกิน
ออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่มีการขายสินค้า หรือให้บริการ เพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้ใช้บริการ
เพื่อประโยชน์ในการบันทึกจำนวนภาษีขายของกิจการที่เรียกเก็บจากลูกค้าในแต่ละเดือนภาษี ภาษีขายที่เกิดขึ้นในเดือนใดก็เป็นภาษีขายของเดือนนั้น
เพื่อประโยชน์ในการบันทึกจำนวนภาษีซื้อของกิจการที่ถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนรายอื่นเรียกเก็บในแต่ละเดือนภาษี ภาษีซื้อเกิดขึ้นในเดือนใดก็เป็นภาษีซื้อของเดือนนั้น
ผู้ประกอบกิจการขายสินค้ามีหน้าที่จัดทำรายงานนี้เพื่อแสดงปริมาณสินค้าและวัตถุดิบที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีอยู่ได้มาและจำหน่ายไปเนื่องจากการขายสินค้าหรือการผลิต (*ผู้ประกอบกิจการให้บริการไม่ต้องจัดทำรายงานนี้)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิตหรือการให้บริการ ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อกำหนดใน ประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1
- เรียกเก็บจากผู้บริโภคในขั้นสุดท้าย
- ผู้ประกอบการทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมและส่งมอบภาษีให้กับกรมสรรพากร
- ปัจจุบันอัตรา VAT อยู่ที่ 7% ของมูลค่าขายสินค้าและบริการ
- การเกษตร
- การให้บริการทางการแพทย์
- การศึกษา
ธุรกิจต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันหลังจากมีรายได้เกินเกณฑ์ 1.8 ล้านบาท
ธุรกิจต้องออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่มีการขายสินค้าและบริการ โดยใบกำกับภาษีต้องระบุข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ประกอบการ
- หมายเลขทะเบียนภาษี
ยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
คำนวณจากส่วนต่างระหว่าง VAT ที่เก็บจากลูกค้า (Output VAT) และ VAT ที่จ่ายให้กับคู่ค้า (Input VAT)
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ต้องคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระ หรือมีสิทธิได้รับคืน เป็นรายเดือนๆ ละหนึ่งครั้งตามเดือนปฏิทิน
วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 พร้อมกับชำระภาษี (ถ้ามี) เป็นรายเดือนภาษีทุกเดือน ไม่ว่าจะได้ขายสินค้าหรือให้บริการ
ในเดือนภาษีนั้นหรือไม่ก็ตาม การคำนวณภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน ดังนี้
ผู้ประกอบการส่งออกสินค้ามีการคำนวณภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน จะใช้วิธีคำนวณทำนองเดียวกับ
ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 (ภาษีที่ต้องชำระ = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ)
แต่มีความแตกต่างกันในด้านภาษีขาย เนื่องจากผู้ประกอบการที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0
จากมูลค่าส่งออก ภาษีขายจึงมีค่าเป็น 0 เสมอ ในขณะที่ภาษีซื้อจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ผลการคำนวณจึงเป็นลบ (-)
อันเกิดจากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ทำให้มีการคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ส่งออกเท่าจำนวนภาษีซื้อ
ที่เกิดขึ้นจริงหนแต่ละเดือน การคำนวณภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน ดังนี้
ผลการคำนวณภาษีในเดือนนี้ ปรากฏว่าเป็นลบ (-) กล่าวคือ ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย
ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 มีสิทธิขอคืนภาษีจำนวน 3,500 บาท
ธุรกิจที่ปฏิบัติตามกฎหมายมีความโปร่งใสและได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าและลูกค้า
การไม่ปฏิบัติตาม เช่น ไม่จดทะเบียนหรือไม่ยื่นภาษี อาจถูกปรับหรือเสียค่าปรับย้อนหลัง
สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หาก Input VAT สูงกว่า Output VAT
- การไม่จดทะเบียน VAT มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
- การไม่ยื่นภาษีตามกำหนด มีโทษปรับ 200 บาทต่อครั้ง หรือสูงสุด 2% ของ VAT ที่ค้างชำระ
การถูกกรมสรรพากรตรวจสอบอาจทำให้เสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ
กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นส่วนสำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดต้องให้ความสำคัญ เจ้าของธุรกิจควรศึกษาหลักการ วิธีคำนวณ และปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ การเข้าใจและปฏิบัติตาม VAT อย่างครบถ้วน ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
ข้อมูลอ้างอิง
กรมสรรพากร