Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

มาตรการภาษีที่มีผลต่อรายได้ของธุรกิจ: สิ่งที่เจ้าของกิจการควร

Posted By Kung_nadthanan | 21 พ.ย. 67
9 Views

  Favorite

ในฐานะ เจ้าของกิจการ การจัดการรายได้และการปฏิบัติตามมาตรการภาษี เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับ ภาษีธุรกิจ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียค่าปรับหรือบทลงโทษ แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษี พร้อมเคล็ดลับที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน

มาตรการภาษีสำหรับเจ้าของกิจการที่ควรรู้

การทำความเข้าใจมาตรการภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการ เพราะนอกจากช่วยลดภาระภาษี ยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ รวมถึงลดความเสี่ยงด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น มาดูกันว่ามาตรการภาษีที่เจ้าของกิจการควรรู้มีอะไรบ้าง

1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)

ความหมาย:  ภาษีที่จัดเก็บจากรายได้สุทธิของกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล

สิทธิประโยชน์

- ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับอัตราภาษีพิเศษ

- ตัวอย่างอัตราภาษี SMEs

รายได้ไม่เกิน 300,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี

รายได้ 300,001 - 3,000,000 บาท: อัตราภาษี 15%

รายได้เกิน 3,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ความหมาย:  ภาษีที่จัดเก็บจากการขายสินค้าและบริการในประเทศ โดยอัตราภาษีปัจจุบันอยู่ที่ 7%

ข้อควรรู้:

ธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

- สามารถขอคืนภาษีซื้อได้หากเป็นการซื้อเพื่อการผลิตหรือการบริการ

3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)

ความหมาย:  ภาษีที่ธุรกิจต้องหักจากรายได้ของผู้ให้บริการหรือคู่ค้า และนำส่งกรมสรรพากร

ตัวอย่างการหักภาษี ณ ที่จ่าย

- การจ้างทำงาน: หัก 3%

- ค่าเช่าสำนักงาน: หัก 5%

- การจ่ายดอกเบี้ย: หัก 1%

4. มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจ (Tax Deduction)

รายการลดหย่อนที่สำคัญ:

- การลงทุนในเครื่องจักรใหม่: ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100% ของมูลค่า

- การจ้างงานบุคคลที่มีความพิการ: ได้รับสิทธิพิเศษในการลดหย่อนภาษี

- การบริจาคเพื่อสาธารณะ: ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค

5. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax)

ความหมาย:  จัดเก็บจากธุรกิจที่ไม่อยู่ภายใต้ภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจธนาคาร การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์

อัตราภาษี:

- การขายอสังหาริมทรัพย์: 3.3% ของรายได้

- ธุรกิจการธนาคาร: 0.1% ของรายได้

6. การจดทะเบียนภาษีและเอกสารสำคัญ

- เจ้าของกิจการต้องจดทะเบียนภาษีอย่างถูกต้อง และจัดเตรียมเอกสาร เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ให้ครบถ้วน

- การจัดทำ รายงานภาษีซื้อ-ขาย อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ช่วยลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ

 

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารรายได้ธุรกิจ

กลยุทธ์ต่อไปนี้ จะทำให้เราเจอ “เงิน” ที่อาจเคยสูญหายไปในการทำธุรกิจ และทำให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น

1. ควบคุมต้นทุนดำเนินการให้ได้

ควบคุมและตรวจสอบต้นทุนดำเนินการของธุรกิจ เช่น ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายการตลาดและการขาย เงินเดือน ค่าใช้จ่ายสำนักงาน ฯลฯ ซึ่งต้นทุนในส่วนนี้ จะเป็นตัวเลขที่คงที่ เมื่อเราสามารถควบคุมต้นทุนส่วนนี้ได้ กำไรก็จะเพิ่มขึ้นในธุรกิจ เริ่มจากการศึกษากลยุทธ์ที่เกี่ยวกับการควบคุมต้นทุนเหล่านี้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงใช้เทคโนโลยีในการลดต้นทุน หรือที่ในวงการธุรกิจ Startup เรียกกันว่า “Lean”

ไม่ว่าจะลดต้นทุนแค่ไหน อย่าลืมคำนึงถึงประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ไม่เช่นนั้นแล้ว ต้นทุนที่ลดลง กำไรที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นเรื่องชั่วคราวแต่อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาวได้

2. จัดการคลังสินค้าให้ดี

คลังสินค้า เป็นต้นทุนธุรกิจที่เราคาดไม่ถึง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการผลิตสินค้าเอง หรือมีคลังสินค้าของตัวเอง

ผู้ประกอบการคนใดที่ไม่ค่อยใส่ใจ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานคลังสินค้า ควรกลับไปใส่ใจและตรวจเช็คในตอนนี้ ยิ่งเป็นช่วงต้นปี ควรมีการตรวจสอบตัวเลขทั้งหมดที่สำคัญของคลังสินค้า เช่น จำนวนสินค้าคงคลัง สินค้าไหนที่ขายออกได้ไว หรือสินค้าไหนที่อยู่นานค้างเป็นปี เพื่อเป็นการจัดระเบียบคลังสินค้า และทำให้รู้ว่าต้นทุนที่จมอยู่ของธุรกิจอาจอยู่ตรงนี้

เมื่อตรวจสอบตัวเลขแล้ว ถ้าพบว่า มีตัวเลขที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ลองจัดการโดยทันที เช่น สินค้าที่ค้างคลังนานๆ สามารถขายลดราคาพิเศษแบบตั้งขาดทุน แต่ยังพอได้เงินมาหมุนเวียน หรือสินค้าไหนขายดี แต่มักไม่ค่อยเหลือในคลังจนมักขาดตลาด ก็ควรวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณการขาย ฯลฯ

3. จ่ายเงินให้ช้า รับเงินให้ไว

กลยุทธ์นี้เป็นเรื่อง การรักษาสภาพคล่องหรือกระแสเงินสด เพื่อลดความกังวลในการดำเนินธุรกิจให้น้อยลง และการมีสภาพคล่อง ย่อมทำให้เรามีเงินในการลงทุนและดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างผลกำไรทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ดังนั้น สภาพคล่อง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย แม้สภาพคล่องกับกำไร จะไม่ใช่เรื่องเดียวกันก็ตาม แต่สามารถเสริมพลังกันให้ธุรกิจยังคงเติบโตได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเจอวิกฤติอะไรก็ตาม

กลยุทธ์เรื่อง การรักษาสภาพคล่อง สามารถทำได้อย่างหลากหลาย เช่น ก่อนผลิตสินค้า ให้ทำการ Pre-order ก่อน ทำให้เรารู้ถึงปริมาณความต้องการของลูกค้า และสามารถผลิตออกมาได้โดยมีสินค้าคงคลังเหลือน้อยที่สุด ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น จากต้นทุนสินค้าคงคลังน้อยลง อาจลองคุยกับซัพพลายเออร์ เพื่อเจรจาเรื่อง ยืดระยะเวลาการชำระเงินค่าวัตถุดิบ หลังจากเราตัดสินใจซื้อวัตถุดิบ ทำให้เงินออกจากธุรกิจช้าลง มีเงินหมุนเวียนไปผลิตขายสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรมากขึ้น ฯลฯ

4. จัดทำบัญชีให้เป็นระบบ

หลายครั้งที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ทำไมกำไรเราลดลง หรือรู้สึกว่าต้นทุนส่วนนี้ทำไมตัวเลขมันเยอะเกินไป ส่งผลให้กำไรเราไม่สามารถเพิ่มได้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ มาจากการที่ธุรกิจไม่มีระบบบัญชีที่โปร่งใส ไม่สามารถตรวจสอบที่มาของตัวเลขต่างๆ ได้ ทำให้เราไม่สามารถจัดการปัญหาที่ว่า กำไรของธุรกิจหายไปไหน ซึ่งกลยุทธ์นี้ถือว่า เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด หากเจ้าของธุรกิจมีเวลาและพลังโฟกัสไม่มาก ให้ทำตามกลยุทธ์นี้เพียงข้อเดียวก่อนเลือกข้ออื่น

- การบันทึกบัญชีที่ถูกต้องและโปร่งใส ช่วยให้สามารถตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน

  • - ช้ ซอฟต์แวร์บัญชีออนไลน์ เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพ

5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

หากคุณไม่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษี การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้คุณมั่นใจในความถูกต้อง

 

ข้อดีของการปฏิบัติตามมาตรการภาษี

การปฏิบัติตามมาตรการภาษีมีความสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการทุกประเภท เพราะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือข้อดีที่สำคัญ

1. สร้างความน่าเชื่อถือในธุรกิจ

- การชำระภาษีอย่างถูกต้องและโปร่งใสช่วยเพิ่มความไว้วางใจจากลูกค้า นักลงทุน และคู่ค้าทางธุรกิจ

- ธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือจะดึงดูดโอกาสในการขยายความร่วมมือมากขึ้น

2. ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย

- การปฏิบัติตามมาตรการภาษีช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมาย เช่น การถูกตรวจสอบภาษีหรือการเสียค่าปรับ

- ลดความยุ่งยากจากการถูกตรวจสอบย้อนหลัง

3. ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

เจ้าของกิจการที่ปฏิบัติตามกฎหมายมีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น

- การลดหย่อนภาษี

- การคืนภาษี

- การเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากรัฐ

4. ช่วยบริหารจัดการต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น

- การจัดการภาษีช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่าย

- สามารถวางแผนการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. สร้างความมั่นคงในระยะยาว

- ธุรกิจที่ปฏิบัติตามมาตรการภาษีมีโอกาสอยู่รอดในระยะยาว เพราะลดปัญหาที่อาจเกิดจากการละเมิดกฎหมาย

- ทำให้ธุรกิจมีความพร้อมในการขยายตัวและแข่งขันในตลาด

6. ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจส่วนรวม

- การชำระภาษีเป็นการช่วยพัฒนาประเทศผ่านการสนับสนุนงบประมาณของรัฐ

- เจ้าของกิจการที่ปฏิบัติตามมาตรการภาษีถือว่ามีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ต่อสังคม

7. ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้บริโภค

- การดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจในสินค้าและบริการ

- เป็นจุดขายที่ช่วยเพิ่มความได้เปรียบในตลาด

8. ง่ายต่อการขอสินเชื่อและการลงทุน

- การมีเอกสารการเงินที่โปร่งใสจากการปฏิบัติตามมาตรการภาษีช่วยให้เจ้าของกิจการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุนได้ง่ายขึ้น

 

มาตรการภาษี เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถบริหาร รายได้ธุรกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายทางภาษี แต่ยังเสริมสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาว เจ้าของกิจการควรวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและแข่งขันได้ในตลาด

 

ข้อมูลอ้างอิง

กรมสรรพากร

LivePlatform

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow