ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ESG Risk หรือความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ได้กลายเป็นประเด็นที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ การบริหารจัดการ ESG Risk ไม่เพียงช่วยป้องกันความเสียหายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับ ESG Risk คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
ESG Risk หมายถึง ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยรวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาทางสังคม เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือความเสี่ยงจากธรรมาภิบาลที่ไม่โปร่งใส เช่น การทุจริตและการขาดความรับผิดชอบในการบริหารงาน
ESG Risk มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกธุรกิจยุคใหม่ เนื่องจากผู้บริโภค นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแลต่างเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนมากขึ้น องค์กรที่ไม่สามารถจัดการ ESG Risk ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียง
ESG Risk สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
1. Environmental Risk ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
- ผลกระทบจากการเปลี่ยนเปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ บริการ การจัดหาวัตถุดิบ
- ผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำที่มีต่อกระบวนการผลิตหรือบริการ
- ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Tax)
- สถานที่ก่อสร้างที่มีความเสี่ยงเรื่องสิ่งแวดล้อมที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ
- การเลือกใช้วัสดุที่ส่งผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมหรือมีความเสี่ยงในด้านความปลอดภัย
2. Social Risk ความเสี่ยงด้านสังคม
- การละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
- ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน
- การคัดค้านการสร้างโรงงานในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงชุมชน
- ความเสี่ยงในการที่ไม่สามารถสร้างคุณค่าที่ตอบสนองต่อเป้าหมายขององค์กรณ์ได้ เนื่องจากพนักงานไม่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อรอบรังพฤตกรรมของผู้บริโภคได้
3. Governance Risk ความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล
- การที่องค์กรไม่เปิดเผยข้อมูลที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นประเด็นที่เป็นความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย
- ความบกพร่องในมาตรการกำกับดูแลภายในองค์กร
- ความเสี่ยงจากการเข้าไปลงทุนในประเทศที่มีปัญหาด้านคอร์รัปชั่น
- การไม่ผ่านกฎระเบียบ เช่น การพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)
- การเลือกวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐานในการก่อสร้าง ทำให้ไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการ
ESG Risk มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อธุรกิจในหลายมิติ ทั้งด้านการเงิน การดำเนินงาน และชื่อเสียง องค์กรที่สามารถจัดการ ESG Risk ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถ
- ลดความเสี่ยงทางการเงิน การจัดการ ESG Risk ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกปรับหรือเสียหายทางกฎหมายจากการละเมิดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส
- สร้างความน่าเชื่อถือในตลาด การที่องค์กรมีการจัดการ ESG Risk อย่างเป็นระบบจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่ดีและสามารถดึงดูดการลงทุนจากผู้ที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ESG Risk ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังเป็นตัวเร่งในการพัฒนานวัตกรรมและแนวทางการทำงานที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้
การจัดการ ESG Risk ต้องเริ่มต้นจากการระบุและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละด้าน ธุรกิจควรพัฒนากลยุทธ์ที่เน้นการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ เช่น ESG Reporting และการทำ Sustainability Assessment มาช่วยในการจัดการจะทำให้กระบวนการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ESG Risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในปัจจุบัน การจัดการ ESG Risk อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น แต่ยังเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว