Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ภาษาไทย ม.1 เทอม 1 เรียนเนื้อหาอะไรบ้าง?

Posted By Plook Knowledge | 11 ก.ย. 67
1,607 Views

  Favorite

          การเรียนวิชาภาษาไทยในระดับชั้น ม.1 เทอม 1 ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาทักษะการสื่อสารของนักเรียน โดยเนื้อหาที่เรียนครอบคลุมทั้งการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน ตลอดจนหลักการใช้ภาษาไทยและวรรณคดี การเรียนในเทอมนี้ช่วยให้นักเรียนมีทักษะทางภาษาไทยที่แข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมทั้งเข้าใจวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยผ่านการศึกษาวรรณกรรมไทย 

 

ภาษาไทย ม.1 เทอม 1 เรียนเนื้อหาอะไรบ้าง?

1. ทักษะการอ่าน

2. ทักษะการเขียน

3. การฟัง การพูด และการดู

4. หลักการใช้ภาษาไทย

5. วรรณคดีและวรรณกรรม

 

รายละเอียดของเนื้อหาที่นักเรียน ม.1 เทอม 1 จะได้เรียนรู้

1. ทักษะการอ่าน

การอ่านเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการเข้าใจและเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เนื้อหาในการพัฒนาทักษะการอ่านในภาษาไทย ม.1 ประกอบด้วย:

- การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง: นักเรียนจะได้ฝึกการออกเสียงที่ถูกต้อง การเว้นวรรคตอน และการจับใจความจากบทความประเภทต่างๆ

- การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ: การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความจากหนังสือและสื่อที่น่าสนใจ โดยเน้นที่การแยกแยะข้อมูลสำคัญและสรุปเนื้อหา

- การอ่านตามความสนใจ: ส่งเสริมให้นักเรียนอ่านหนังสือตามความสนใจส่วนตัว เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านที่หลากหลาย

1. การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง

การฝึกอ่านออกเสียงช่วยให้นักเรียนมีการออกเสียงที่ถูกต้อง สร้างความมั่นใจในการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เนื้อหาการเรียนประกอบด้วย:

- การอ่านบทร้อยแก้ว: บทร้อยแก้วคือการเขียนที่ไม่มีลักษณะฉันทลักษณ์ (เช่น นิยาย บทความ) นักเรียนจะได้ฝึกการอ่านออกเสียงให้ชัดเจน เข้าใจเนื้อหา และสามารถจับใจความสำคัญได้

- การอ่านบทร้อยกรอง: การฝึกอ่านบทร้อยกรอง เช่น กลอน กาพย์ ฉันท์ และโคลง นักเรียนจะต้องฝึกการเว้นจังหวะตามสัมผัสและจังหวะของบทกลอน การออกเสียงที่ถูกต้องจะช่วยให้การอ่านร้อยกรองมีความไพเราะมากขึ้น

ตัวอย่างโจทย์
อ่านบทร้อยแก้วต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม:
"ฉันเดินทางไปยังสถานที่ที่เงียบสงบ ปราศจากเสียงรบกวนใดๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ในป่าใหญ่."
คำถาม: สถานที่ที่ผู้เขียนพูดถึงในข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร?

2. การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ

การอ่านจับใจความเป็นทักษะที่ช่วยให้นักเรียนสามารถสรุปและดึงข้อมูลสำคัญออกมาจากเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว เนื้อหานี้จะครอบคลุมการฝึกจับใจความจากหนังสือ บทความ สื่อออนไลน์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ

- การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ: นักเรียนจะได้ฝึกการอ่านเนื้อหาที่ยาวและซับซ้อนมากขึ้น โดยสรุปข้อมูลที่สำคัญที่สุดออกมา

- การอ่านเชิงวิเคราะห์: ฝึกการอ่านเพื่อค้นหาแนวคิดหลักและรายละเอียดที่สำคัญ รวมถึงการแยกแยะข้อเท็จจริงและความคิดเห็น

ตัวอย่างโจทย์
ให้อ่านบทความต่อไปนี้และจับใจความสำคัญ:
"การอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทุกคนควรใส่ใจ ในปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลดการใช้พลาสติก การปลูกต้นไม้ และการรีไซเคิลเป็นตัวอย่างที่สามารถทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันของเรา"
คำถาม: ข้อความนี้ต้องการสื่อถึงอะไร?

3. การอ่านหนังสือตามความสนใจ

การส่งเสริมให้นักเรียนอ่านหนังสือที่สนใจเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาทักษะการอ่าน นักเรียนจะได้เลือกหนังสือหรือบทความที่ตรงกับความสนใจของตน เช่น นิยาย วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือการ์ตูน ซึ่งช่วยให้การอ่านเป็นเรื่องสนุกและเป็นการพัฒนาทักษะไปพร้อมๆ กัน

- การอ่านหนังสือที่หลากหลาย: ช่วยให้มุมมองในการอ่านกว้างขึ้น นักเรียนจะได้เรียนรู้วิธีการนำเสนอเนื้อหาจากหนังสือประเภทต่างๆ

- การอ่านเพื่อพัฒนาทักษะ: การอ่านหนังสือที่ชอบยังช่วยพัฒนาทักษะการสรุป การจับใจความ และการตีความจากเรื่องราวที่ซับซ้อนมากขึ้น

ตัวอย่างโจทย์
ให้เลือกหนังสือที่สนใจมาอ่าน 1 เล่ม แล้วเขียนสรุปใจความสำคัญของเนื้อหาที่ได้เรียนรู้ พร้อมแสดงความคิดเห็น

 

ประโยชน์ของการพัฒนาทักษะการอ่านในภาษาไทย ม.1 เทอม 1

- เพิ่มความสามารถในการจับใจความสำคัญ: ทักษะการอ่านช่วยให้นักเรียนสามารถจับประเด็นสำคัญจากเนื้อหาที่อ่านได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในการศึกษาและการทำงานในอนาคต

- พัฒนาความคิดเชิงวิเคราะห์: การอ่านช่วยให้สมองพัฒนาการคิดเชิงวิเคราะห์ นักเรียนจะสามารถแยกแยะข้อมูลที่สำคัญและไม่สำคัญได้ดีขึ้น

- เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์: การอ่านหนังสือที่หลากหลายจะเปิดโลกทัศน์และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการอ่านนิยายหรือบทกวีที่มีการใช้ภาษาที่สวยงาม

- พัฒนาทักษะภาษาไทย: การอ่านช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งในด้านการเขียน การพูด และการคิดอย่างมีระบบ

 

2. ทักษะการเขียน

การเขียนช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารความคิดของตนได้อย่างชัดเจน โดยเนื้อหาการเรียนการเขียนใน ม.1 เทอม 1 ประกอบด้วย:

- การคัดลายมือตัวบรรจง: ฝึกการเขียนตัวอักษรให้สวยงามและอ่านง่าย

- การเขียนโน้มน้าวใจ: การเขียนเพื่อชักชวนหรือโน้มน้าวผู้อ่าน เช่น การเขียนจดหมายหรือข้อเขียนที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะ

- การเขียนสื่อสาร: เช่น การเขียนแนะนำตัวเอง การเขียนแนะนำสถานที่สำคัญ รวมถึงการเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือและจดหมายธุรกิจ

- การเขียนเรียงความและย่อความ: การเขียนเรียงความเชิงพรรณนาและการย่อความจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ซึ่งช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะการสรุปและการเขียนเชิงสร้างสรรค์

- มารยาทในการเขียน: สอนเรื่องมารยาทในการเขียน เช่น การใช้คำพูดที่สุภาพและการจัดวางเนื้อหาอย่างมีระเบียบ

1. การคัดลายมือ

การคัดลายมือเป็นพื้นฐานของทักษะการเขียนที่ดี การเขียนด้วยลายมือที่สวยงาม ชัดเจน และอ่านง่ายเป็นสิ่งที่ควรฝึกฝน เนื้อหาภาษาไทย ม.1 เทอม 1 จะเน้นการฝึกการคัดลายมือตัวบรรจง โดยให้ความสำคัญกับระเบียบการเขียน การเว้นบรรทัด และความสม่ำเสมอของตัวอักษร

- การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด: เป็นการฝึกเขียนลายมือแบบมาตรฐานที่ช่วยให้นักเรียนเขียนได้เป็นระเบียบ อ่านง่าย และถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนด

- ความสำคัญของลายมือที่ดี: การคัดลายมือไม่เพียงแค่สร้างความชัดเจนในการสื่อสาร แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นระเบียบและความตั้งใจของผู้เขียน

ตัวอย่างโจทย์
คัดลายมือบทกลอนต่อไปนี้ให้ถูกต้องและสวยงาม:
"รักเมืองไทย ใฝ่คุณธรรม คิดแบ่งปัน ร่วมสร้างสรรค์"

2. การเขียนเพื่อสื่อสาร

การเขียนเพื่อสื่อสารเป็นทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน นักเรียนจะได้ฝึกเขียนเพื่อสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเขียนจดหมาย การเขียนแนะนำตัวเอง หรือการเขียนแนะนำสถานที่สำคัญ

- การเขียนแนะนำตัวเอง: นักเรียนจะได้ฝึกเขียนเกี่ยวกับตัวเอง เช่น ชื่อ ที่อยู่ ความสนใจ และงานอดิเรก เพื่อฝึกการเขียนแนะนำให้ผู้อ่านรู้จัก

- การเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือหรือจดหมายธุรกิจ: นักเรียนจะได้ฝึกการเขียนจดหมายในลักษณะทางการ เพื่อขอความช่วยเหลือหรือแนะนำตัวเองในโอกาสต่างๆ

ตัวอย่างโจทย์
เขียนจดหมายแนะนำตัวเองให้เพื่อนใหม่รู้จัก โดยระบุชื่อ อายุ ที่อยู่ ความสนใจ และสิ่งที่ชอบทำในเวลาว่าง

3. การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา

การเขียนเรียงความเชิงพรรณนาเป็นการฝึกเขียนเพื่อบรรยายหรือพรรณนาสิ่งต่างๆ ให้ผู้อ่านสามารถเห็นภาพชัดเจน นักเรียนจะได้เรียนรู้การใช้คำที่สละสลวย และการจัดลำดับความคิดในการเขียนเพื่อให้เรียงความมีความต่อเนื่องและน่าสนใจ

- การเขียนเชิงพรรณนา: การใช้ภาษาที่สวยงามในการบรรยายสิ่งของ สถานที่ หรือเหตุการณ์ เช่น การบรรยายบรรยากาศในสถานที่ท่องเที่ยว หรือการบรรยายลักษณะของบุคคล

- การเขียนเรียงความอย่างมีโครงสร้าง: นักเรียนจะได้ฝึกการจัดโครงสร้างของเรียงความ ตั้งแต่การเปิดเรื่อง การขยายเนื้อหา และการสรุปปิดท้าย

ตัวอย่างโจทย์
เขียนเรียงความเชิงพรรณนาในหัวข้อ "บ้านในฝันของฉัน" โดยบรรยายลักษณะของบ้านในฝัน สถานที่ตั้ง และบรรยากาศรอบๆ บ้าน

4. การเขียนย่อความ

การย่อความคือการสรุปเนื้อหาจากบทความหรือข้อความยาวๆ ให้สั้นลงแต่ยังคงใจความสำคัญ เนื้อหานี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถสกัดข้อมูลที่สำคัญที่สุดออกมาได้อย่างกระชับและถูกต้อง

- การย่อความจากบทความหรือเรื่องราว: นักเรียนจะได้ฝึกย่อความจากบทความต่างๆ โดยการอ่านเนื้อหาทั้งหมดแล้วสรุปออกมาให้สั้นที่สุด

- หลักการย่อความ: การตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกและการคงใจความสำคัญที่ต้องการสื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจ

ตัวอย่างโจทย์
ให้อ่านบทความเรื่อง "การปลูกต้นไม้ช่วยลดภาวะโลกร้อน" แล้วสรุปย่อความใน 3-5 ประโยค

5. การเขียนรายงาน

การเขียนรายงานเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการทำงานทางวิชาการ นักเรียนจะได้เรียนรู้การจัดโครงสร้างรายงาน การหาข้อมูล และการสรุปผลการศึกษาหรือการวิจัยต่างๆ

- การเขียนรายงานเชิงวิชาการ: ฝึกการเขียนรายงานตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เช่น บทนำ เนื้อหา และบทสรุป การอ้างอิงแหล่งข้อมูล และการใช้ภาษาที่เป็นทางการ

- มารยาทในการเขียนรายงาน: การเขียนรายงานควรเป็นไปอย่างมีระเบียบ การจัดหน้ากระดาษที่เหมาะสม การใช้คำพูดที่สุภาพและเป็นกลาง

ตัวอย่างโจทย์
ให้เขียนรายงานเรื่อง "การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในชุมชนของเรา" โดยค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และสรุปผลการศึกษา

 

ประโยชน์ของการพัฒนาทักษะการเขียนในภาษาไทย ม.1 เทอม 1

- พัฒนาการสื่อสาร: ทักษะการเขียนช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารความคิดและความรู้สึกของตนได้อย่างชัดเจนและมีระเบียบ

- ฝึกการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง: การเขียนเป็นการฝึกใช้ไวยากรณ์และคำศัพท์ภาษาไทยอย่างถูกต้อง รวมถึงการจัดเรียงประโยคที่เป็นทางการ

- สร้างความคิดเชิงตรรกะ: การเขียนเรียงความหรือรายงานช่วยฝึกฝนการเรียบเรียงความคิด การใช้เหตุผล และการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ

- เตรียมความพร้อมสู่การเรียนระดับสูง: ทักษะการเขียนที่พัฒนาในระดับ ม.1 จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเขียนเชิงวิชาการในระดับที่สูงขึ้น

 

3. การฟัง การพูด และการดู

ทักษะเหล่านี้ช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อหาที่ครอบคลุมได้แก่:

- การพูดแสดงความรู้และความคิดอย่างสร้างสรรค์: นักเรียนจะได้ฝึกการพูดสรุปความจากเรื่องที่ฟังและดู รวมถึงการรายงานการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ

- มารยาทในการฟัง การดู และการพูด: การเรียนรู้มารยาทพื้นฐานในการสื่อสาร เช่น การฟังอย่างตั้งใจ ไม่พูดแทรก และการพูดให้ชัดเจนและมีความหมาย

1. ทักษะการฟัง

การฟังเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการรับรู้และทำความเข้าใจข้อมูลที่ผู้อื่นสื่อสาร การพัฒนาทักษะการฟังช่วยให้นักเรียนสามารถจับใจความสำคัญและตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง

- การฟังเพื่อจับใจความสำคัญ: นักเรียนจะได้ฝึกการฟังและสรุปข้อมูลจากเรื่องราวที่ได้ยิน เพื่อพัฒนาความสามารถในการแยกแยะข้อมูลที่สำคัญและไม่สำคัญ

- การฟังเชิงวิเคราะห์: ฝึกการฟังเพื่อตีความและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ นักเรียนจะได้เรียนรู้วิธีการคิดเชิงวิจารณ์เพื่อสรุปประเด็นที่สำคัญ

- มารยาทในการฟัง: นักเรียนจะได้รับการฝึกเรื่องมารยาทในการฟัง เช่น การฟังอย่างตั้งใจ ไม่พูดแทรก และรอให้ผู้อื่นพูดจบก่อนที่จะแสดงความคิดเห็น

ตัวอย่างโจทย์
ฟังเรื่องราวต่อไปนี้แล้วสรุปใจความสำคัญ:
"ในปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การลดการใช้ถุงพลาสติก การปลูกต้นไม้ และการแยกขยะเป็นวิธีที่เราสามารถช่วยลดปัญหานี้ได้"
คำถาม: วิธีใดบ้างที่สามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้?

 

2. ทักษะการพูด

ทักษะการพูดช่วยให้นักเรียนสามารถถ่ายทอดความคิดและข้อมูลได้อย่างชัดเจน การเรียนรู้การพูดอย่างมีระบบและมีมารยาทเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

- การพูดแสดงความรู้และความคิดอย่างสร้างสรรค์: นักเรียนจะได้ฝึกการพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้ และความคิดสร้างสรรค์จากเรื่องที่ได้ฟังหรือดู โดยเน้นการพูดให้ชัดเจน กระชับ และเข้าใจง่าย

- การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า: นักเรียนจะได้รับการฝึกการพูดรายงานผลการค้นคว้าหรือการศึกษาในเรื่องต่างๆ เช่น การนำเสนอรายงานหน้าชั้นเรียน การพูดสรุปประเด็นจากการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ

- มารยาทในการพูด: นักเรียนจะได้เรียนรู้เรื่องการพูดอย่างมีมารยาท เช่น การใช้ภาษาสุภาพ การพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมาะสม การไม่พูดแทรกหรือขัดจังหวะผู้อื่น และการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์

ตัวอย่างโจทย์
ให้พูดรายงานสั้นๆ ในหัวข้อ "การประหยัดพลังงานในโรงเรียน" โดยสรุป 3 วิธีที่สามารถช่วยลดการใช้พลังงานในโรงเรียนของเรา

 

3. ทักษะการดู

การดูเป็นทักษะที่ช่วยให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อภาพหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว นักเรียนจะได้ฝึกทักษะการตีความและสรุปข้อมูลจากการดู ซึ่งช่วยเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์และความคิดเชิงสร้างสรรค์

- การดูเพื่อจับใจความสำคัญ: นักเรียนจะได้ฝึกการดูภาพยนตร์ วิดีโอ หรือเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อจับใจความสำคัญจากสิ่งที่ได้เห็น และสรุปเนื้อหาหลักที่ต้องการสื่อ

- การดูเชิงวิเคราะห์: การดูไม่เพียงแต่เพื่อรับรู้ แต่ยังเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การดูโฆษณาแล้วตีความว่าผู้นำเสนอพยายามสื่ออะไร หรือการดูภาพยนตร์แล้ววิเคราะห์พฤติกรรมของตัวละคร

- มารยาทในการดู: นักเรียนจะได้เรียนรู้มารยาทในการดู เช่น การดูภาพยนตร์หรือวิดีโออย่างเงียบๆ ไม่พูดแทรก และการไม่ใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการชม

ตัวอย่างโจทย์
ดูวิดีโอการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ฉายในห้องเรียน จากนั้นสรุปวิธีการอนุรักษ์ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 3 วิธี

 

ประโยชน์ของการพัฒนาทักษะการฟัง การพูด และการดูในภาษาไทย ม.1 เทอม 1

- พัฒนาการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: ทักษะการฟัง การพูด และการดู ช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

- เสริมสร้างความคิดเชิงวิเคราะห์: การฟังและดูอย่างตั้งใจช่วยให้นักเรียนสามารถตีความและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีเหตุผล

- พัฒนาความมั่นใจในการสื่อสาร: การฝึกฝนการพูดและการแสดงออกในที่สาธารณะช่วยให้นักเรียนมีความมั่นใจในการสื่อสารและการแสดงความคิดเห็น

- สร้างนิสัยที่ดีในการสื่อสาร: การเรียนรู้มารยาทในการฟัง การพูด และการดู ช่วยให้นักเรียนมีทักษะทางสังคมที่ดี และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

 

4. หลักการใช้ภาษาไทย

เนื้อหาในส่วนนี้มุ่งเน้นให้เข้าใจโครงสร้างของภาษาไทยและการใช้คำอย่างถูกต้อง ประกอบด้วย:

- เสียงในภาษาไทย: การเรียนรู้เรื่องเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ในภาษาไทย

- ชนิดและหน้าที่ของคำ: สอนการใช้คำต่างๆ ในภาษาไทย เช่น คำนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ และการใช้คำให้ถูกต้องตามบริบท

- กาพย์ยานี 11: การศึกษาลักษณะของกาพย์ยานี 11 ซึ่งเป็นวรรณกรรมร้อยกรองที่มีความสำคัญในวรรณคดีไทย

- สำนวนสุภาษิตและคำพังเพย: นักเรียนจะได้เรียนรู้ความหมายและการใช้สำนวนไทยเพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 เสียงในภาษาไทย

เสียงในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

- เสียงพยัญชนะ แบ่งออกเป็นเสียงต่ำ เสียงกลาง และเสียงสูง

- เสียงสระ ประกอบด้วยสระเสียงสั้นและเสียงยาว เช่น อะ อา เอะ เอ ฯลฯ

- เสียงวรรณยุกต์ แบ่งเป็น 5 เสียง ได้แก่ เสียงสามัญ เอก โท ตรี และจัตวา

ตัวอย่างโจทย์:

จงเขียนคำที่มีเสียงสระสั้นและเสียงสระยาว:
(คำตอบ: สระสั้น เช่น อะ, อิ สระยาว เช่น อา, อี)

ชนิดและหน้าที่ของคำ

คำในภาษาไทยแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามหน้าที่ในการสื่อความหมาย ซึ่งชนิดของคำที่สำคัญ ได้แก่:

- คำนาม ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ เช่น "โต๊ะ"

- คำกริยา บอกการกระทำ เช่น "วิ่ง"

- คำวิเศษณ์ ขยายคำอื่น เช่น "เร็ว"

- คำสรรพนาม ใช้แทนคำนาม เช่น "เขา"

ตัวอย่างโจทย์:

จงแยกคำในประโยคต่อไปนี้ว่าคำไหนเป็นคำนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์:
"เด็กน้อยวิ่งเร็วมาก"
(คำตอบ: เด็กน้อย = คำนาม, วิ่ง = คำกริยา, เร็วมาก = คำวิเศษณ์)

กาพย์ยานี 11

กาพย์ยานี 11 เป็นหนึ่งในรูปแบบกลอนที่นิยมใช้ในวรรณคดีไทย ซึ่งมีหลักการแต่งที่ชัดเจน ประกอบด้วย 2 บาท โดยแต่ละบาทมี 2 วรรค และแต่ละวรรคมี 11 พยางค์ โดยการสัมผัสระหว่างวรรคและบาทจะช่วยสร้างความไพเราะ

ตัวอย่างกาพย์ยานี 11:

เมื่อน้ำขึ้นให้รีบตัก
ไม่รู้จักไปไม่ถึง
เมื่อโอกาสจงรีบพึ่ง
อย่ารั้งรอรีนานนาน

ตัวอย่างโจทย์:

จงแต่งกาพย์ยานี 11 จำนวน 2 บาทในหัวข้อ "ความสามัคคี"

สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย

สำนวนสุภาษิตและคำพังเพยเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมไทยที่ใช้เปรียบเทียบหรือแสดงข้อคิดอย่างมีศิลปะ สำนวนหรือสุภาษิตมักเป็นข้อความที่มีความหมายตรงและลึกซึ้ง เช่น:

- สำนวน: น้ำท่วมปาก หมายถึง ไม่สามารถพูดหรือบอกความจริงออกมาได้เพราะกลัวผลที่ตามมา

- สุภาษิต: ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

- คำพังเพย: ชักแม่น้ำทั้งห้า หมายถึง การยกเหตุผลหรือข้ออ้างมากมายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

ตัวอย่างโจทย์:

จงอธิบายความหมายของสำนวน "หมูไปไก่มา"

 

5. วรรณคดีและวรรณกรรม

นักเรียนจะได้ศึกษาและวิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและค่านิยมในสังคมไทย เนื้อหาสำคัญได้แก่:

- การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจากวรรณคดี: นักเรียนจะได้ฝึกวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีและข้อคิดที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

- บทอาขยานและบทร้อยกรอง: การท่องและวิเคราะห์บทอาขยานที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและการศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านบทร้อยกรองไทย

1. ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม

วรรณคดี หมายถึง งานเขียนที่มีคุณค่าในด้านวรรณศิลป์ โครงสร้างของเรื่อง และภาษาที่งดงาม วรรณคดีมักจะเป็นเรื่องราวที่สืบทอดกันมาจากอดีต สะท้อนความเป็นไปของสังคมในยุคนั้นๆ ตัวอย่างเช่น รามเกียรติ์, ลิลิตพระลอ และ พระอภัยมณี

วรรณกรรม หมายถึง งานเขียนหรือเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง สื่อความหมาย หรือให้ข้อคิด โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์และความรู้สึกของผู้แต่ง วรรณกรรมอาจรวมถึงนิยาย บทละคร บทกวี และบทความ ตัวอย่างเช่น เรื่องสั้น หรือ นวนิยาย

2. ความแตกต่างระหว่างวรรณคดีและวรรณกรรม

แม้ว่าวรรณคดีและวรรณกรรมจะมีการใช้ภาษาและโครงสร้างคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างหลัก ๆ ดังนี้:

- วรรณคดี มักจะเป็นงานเขียนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมีการถ่ายทอดผ่านกาลเวลา ด้วยภาษาที่เป็นแบบแผนและงดงาม วรรณคดีบางเรื่องจะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์หรือสะท้อนความเชื่อและศีลธรรมของคนในยุคอดีต

- วรรณกรรม มุ่งเน้นที่ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียน เนื้อหาอาจจะเป็นเรื่องสมมติหรือเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เป็นงานเขียนที่อ่านเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อสะท้อนความรู้สึกของผู้เขียน

3. ตัวอย่างวรรณคดีไทยที่สำคัญ

วรรณคดีไทยมีความหลากหลายและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สะท้อนวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยในอดีต เรื่องราวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่:

- รามเกียรติ์: วรรณคดีเรื่องนี้มีพื้นฐานจากมหากาพย์รามายณะของอินเดีย เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์เพื่อช่วยเหลือพระนางสีดา

- ลิลิตพระลอ: เป็นวรรณคดีที่สะท้อนถึงความรักและความโศกเศร้าของพระลอและพระเพื่อนพระแพง วรรณคดีเรื่องนี้มีความงดงามในด้านการใช้ภาษา

- พระอภัยมณี: วรรณคดีของสุนทรภู่ที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของพระอภัยมณี ซึ่งมีการใช้เครื่องดนตรีปี่เพื่อแก้ปัญหาและช่วยชีวิตในหลายสถานการณ์

4. ความสำคัญของการเรียนวรรณคดีและวรรณกรรม

การเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรมมีประโยชน์หลายประการ ได้แก่:

- ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการวิเคราะห์ข้อความ

- ทำให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยในแต่ละยุคสมัย

- ส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์และการเชื่อมโยงเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน

- ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการเขียนเชิงศิลปะ

ตัวอย่างโจทย์เกี่ยวกับวรรณคดีและวรรณกรรม

เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนความเข้าใจเกี่ยวกับวรรณคดีและวรรณกรรม ลองทำโจทย์ต่อไปนี้:

- จงอธิบายความแตกต่างระหว่างวรรณคดีกับวรรณกรรมในแง่ของเนื้อหาและคุณค่า
(คำตอบ: วรรณคดีเน้นความสวยงามของภาษาและเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ขณะที่วรรณกรรมเน้นความคิดสร้างสรรค์และการสื่อความรู้สึกของผู้แต่ง)

- จงยกตัวอย่างวรรณคดีไทยที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรัก และอธิบายว่าความรักนั้นมีผลต่อเรื่องอย่างไร
(คำตอบ: ลิลิตพระลอ พระลอต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อความรักของตน แต่สุดท้ายต้องพบกับโศกนาฏกรรม)

- วรรณกรรมประเภทใดที่คุณคิดว่าสะท้อนชีวิตประจำวันของคนในสมัยปัจจุบันมากที่สุด และเพราะเหตุใด
(คำตอบ: นวนิยายหรือนิยายสะท้อนชีวิตเพราะสามารถนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ ความรัก หรือปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน)

บทอาขยาน

บทอาขยาน เป็นบทกวีที่ได้รับการคัดเลือกให้เด็กนักเรียนท่องจำ เพื่อฝึกฝนทักษะด้านการใช้ภาษาไทยและสร้างความเข้าใจในวรรณคดีไทย เนื้อหาของบทอาขยานมักจะเกี่ยวข้องกับการให้ข้อคิดหรือแสดงความงดงามของภาษาไทย

ตัวอย่างบทอาขยานที่นิยมใช้ในระดับชั้น ม.1 ได้แก่:

- สยามานุสสติ: เป็นบทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักชาติ การระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษไทยที่ปกป้องแผ่นดิน

- ศรีธนญชัย: บทนี้สะท้อนถึงความฉลาดแกมโกงของศรีธนญชัย ซึ่งเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในวรรณคดีไทย

การท่องบทอาขยานช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในภาษาและวัฒนธรรม อีกทั้งยังช่วยฝึกทักษะการพูดและการจดจำ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้ภาษาไทย

บทร้อยกรอง

บทร้อยกรอง คือ งานประพันธ์ที่แต่งขึ้นด้วยโครงสร้างและรูปแบบเฉพาะ เช่น การใช้สัมผัสคล้องจองและการเรียงคำอย่างมีจังหวะ โดยบทร้อยกรองมีหลายประเภท เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ และกลอน แต่ละประเภทมีโครงสร้างเฉพาะ เช่น:

- กาพย์ยานี 11: เป็นบทร้อยกรองที่มีสองวรรคในหนึ่งบท และมี 11 พยางค์ในแต่ละวรรค

- กลอนสุภาพ: ประกอบด้วยสี่วรรคในหนึ่งบท ใช้การสัมผัสคำระหว่างวรรคเพื่อสร้างความไพเราะ

บทร้อยกรองใช้ในการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก หรือข้อคิดต่าง ๆ ผ่านภาษาที่งดงามและจังหวะที่สอดคล้อง ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากขึ้น

ความสำคัญของการเรียนวรรณคดี วรรณกรรม บทอาขยาน และบทร้อยกรอง

การเรียนรู้วรรณคดี วรรณกรรม บทอาขยาน และบทร้อยกรอง มีความสำคัญในหลายแง่มุม ได้แก่:

- ฝึกทักษะการใช้ภาษา: ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างภาษา การใช้คำ และรูปแบบประโยคที่สวยงาม

- ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์: โดยการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม นักเรียนจะได้ฝึกฝนการคิดเชิงวิเคราะห์และการตีความความหมายที่ลึกซึ้ง

- เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม: ทำให้เราเข้าใจและสืบสานวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคมไทย

- พัฒนาทักษะการพูดและจดจำ: การท่องบทอาขยานเป็นการฝึกการพูดที่ชัดเจนและการจำบทกวีที่มีโครงสร้างซับซ้อน

ตัวอย่างโจทย์

เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถฝึกฝนและทำความเข้าใจเนื้อหา ลองทำโจทย์ตัวอย่างต่อไปนี้:

- จงแยกความแตกต่างระหว่างวรรณคดีและวรรณกรรม พร้อมยกตัวอย่างแต่ละประเภท
(คำตอบ: วรรณคดีคือผลงานที่เน้นความงดงามของภาษาและสืบทอดกันมา เช่น รามเกียรติ์ ส่วนวรรณกรรมคือผลงานที่สะท้อนชีวิตหรือสังคม เช่น นิยาย)

- จงเขียนวิเคราะห์ข้อคิดที่ได้จากบทอาขยานเรื่อง “สยามานุสสติ”
(คำตอบ: ข้อคิดจากสยามานุสสติคือความรักชาติ และการยกย่องวีรบุรุษที่สละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย)

- จงแต่งกาพย์ยานี 11 ในหัวข้อ "ความรักชาติ" จำนวน 2 บท
(คำตอบ: นักเรียนควรแต่งบทร้อยกรองที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเสียสละเพื่อชาติและการปกป้องประเทศ)

- จงอธิบายโครงสร้างของกลอนสุภาพ พร้อมยกตัวอย่างการใช้สัมผัสในบทร้อยกรอง
(คำตอบ: กลอนสุภาพมี 4 วรรคในหนึ่งบท การใช้สัมผัสเชื่อมระหว่างวรรคที่ 2 และ 3 ช่วยให้บทกลอนมีจังหวะและความไพเราะ)

 

          เนื้อหาภาษาไทย ม.1 เทอม 1 ครอบคลุมการพัฒนาทักษะทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน รวมถึงการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทยและการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมไทย ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาทักษะทางภาษาและความเข้าใจในวัฒนธรรมไทย การศึกษาในระดับนี้ช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Knowledge
  • 0 Followers
  • Follow