Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การจัดทำรายงานทางการเงิน: วิธีการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีและภาษี

Posted By Kung_nadthanan | 10 ก.ย. 67
71 Views

  Favorite

การจัดทำรายงานทางการเงิน  เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทุกธุรกิจต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจมีการจัดการที่เป็นระบบ แต่ยังต้องปฏิบัติตาม มาตรฐานบัญชี และข้อกำหนดทาง ภาษี เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายและการเสียภาษีที่ไม่ถูกต้อง การทำรายงานทางการเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ถือหุ้นและหน่วยงานภาครัฐ

ความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี

การจัดทำรายงานทางการเงินตามมาตรฐานบัญชี นั้นช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงผลประกอบการทางการเงินได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส มาตรฐานบัญชีในประเทศไทยถูกกำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ธุรกิจมีการบันทึกและรายงานการเงินที่ตรงกับความเป็นจริงและป้องกันความผิดพลาดทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น

หลักการที่สำคัญในการจัดทำรายงานทางการเงินตามมาตรฐานบัญชี ได้แก่:

- การจัดทำงบกำไรขาดทุน:  แสดงรายได้และค่าใช้จ่ายของธุรกิจในช่วงเวลาที่กำหนด

- การจัดทำงบแสดงฐานะการเงิน:  สะท้อนสินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของธุรกิจ

- การจัดทำงบกระแสเงินสด:  แสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดที่เข้าและออกจากธุรกิจ

การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลที่ธุรกิจนำเสนอแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด

ข้อกำหนดทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับการรายงานทางการเงิน

การรายงานทางการเงินไม่เพียงแค่ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานบัญชี แต่ยังต้องเป็นไปตามข้อกำหนดทางภาษีอย่างถูกต้อง การยื่นภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและป้องกันการถูกตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร

ธุรกิจทุกแห่งต้องจัดทำรายงานการเงินและยื่นแบบภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น:

- แบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี

- แบบ ภ.พ.30 สำหรับการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รายเดือน

- แบบ ภ.ง.ด.51 สำหรับการยื่นภาษีครึ่งปี

วิธีการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษีและมาตรฐานบัญชี

เพื่อให้การจัดทำรายงานทางการเงินเป็นไปตามข้อกำหนดทางภาษีและมาตรฐานบัญชี ธุรกิจควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:

1. การบันทึกบัญชีที่ถูกต้อง:  ธุรกิจควรมีระบบการบันทึกบัญชีที่มีความแม่นยำ เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ทุกช่วงเวลา และป้องกันความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การเสียภาษีไม่ครบถ้วน

2. การจัดเก็บเอกสารทางการเงิน:  เอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษีควรถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบ

3. การยื่นภาษีตามกำหนดเวลา:  การยื่นภาษีตามกำหนดช่วยป้องกันการถูกปรับจากกรมสรรพากร และทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือในด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย

4. การใช้บริการที่ปรึกษาทางบัญชี:  ธุรกิจที่ต้องการความเชี่ยวชาญในการจัดทำรายงานทางการเงินและยื่นภาษีสามารถใช้บริการที่ปรึกษาทางบัญชีเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้องตามข้อกำหนด

 

การจัดทำรายงานทางการเงินที่ถูกต้องตามมาตรฐานบัญชี และ ข้อกำหนดทางภาษี เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากความเสี่ยงทางกฎหมาย การปฏิบัติตามขั้นตอนการบันทึกบัญชี การเก็บเอกสาร การยื่นภาษีตามกำหนด รวมถึงการใช้บริการที่ปรึกษาทางบัญชี เป็นสิ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความโปร่งใสและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในทุกการดำเนินงาน

การทำตามแนวทางเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ แต่ยังช่วยให้คุณสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและสร้างฐานะการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น

 

การจัดทำรายงานทางการเงิน

การจัดทำรายงานทางการเงิน  เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกประเภท เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามผลประกอบการทางการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ รวมถึงผู้ถือหุ้น มีข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนในการตัดสินใจ นอกจากนี้ การจัดทำรายงานทางการเงินยังเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและภาษีที่กำหนดโดยหน่วยงานภาครัฐ

ประเภทของรายงานทางการเงิน

รายงานทางการเงินแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน โดยรายงานหลักที่สำคัญมีดังนี้:

1. งบกำไรขาดทุน (Income Statement):  เป็นรายงานที่แสดงถึงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรหรือขาดทุนของธุรกิจในช่วงระยะเวลาที่กำหนด งบนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของผลการดำเนินงานของธุรกิจว่ามีกำไรหรือขาดทุนเท่าใด

2. งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet):  เป็นรายงานที่แสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของธุรกิจ ณ วันสิ้นสุดงวดบัญชี งบนี้ช่วยให้ธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสียเห็นภาพรวมของสถานะการเงินในปัจจุบัน

3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement):  แสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดเข้าและออกจากธุรกิจ งบกระแสเงินสดช่วยในการวิเคราะห์สภาพคล่องของธุรกิจ ว่ามีเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินงานหรือไม่

4. งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น (Statement of Changes in Equity):  รายงานนี้จะแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของทุนของเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น ซึ่งจะรวมถึงกำไรสะสมที่ถูกจัดเก็บไว้และเงินปันผลที่จ่ายออกไป

ขั้นตอนการจัดทำรายงานทางการเงิน

1. การบันทึกบัญชี (Record-Keeping):  การบันทึกบัญชีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำอย่างถูกต้อง โดยควรบันทึกทุกธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือค่าใช้จ่าย การบันทึกบัญชีที่แม่นยำจะช่วยให้การจัดทำรายงานทางการเงินเป็นไปได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน

2. การตรวจสอบรายการบัญชี (Account Reconciliation):  การตรวจสอบและเปรียบเทียบรายการทางการเงินกับเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจสอบยอดเงินในบัญชีธนาคาร และการตรวจสอบเอกสารใบแจ้งหนี้กับยอดในบัญชี

3. การสรุปข้อมูล (Summarizing):  การรวบรวมข้อมูลจากบันทึกบัญชีและรายการต่างๆ เพื่อจัดทำรายงานงบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน และงบกระแสเงินสด

4. การวิเคราะห์งบการเงิน (Financial Analysis):  เมื่อรายงานทางการเงินถูกจัดทำเรียบร้อยแล้ว ควรมีการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจว่ามีแนวโน้มอย่างไร ทั้งในด้านรายได้ กำไร และกระแสเงินสด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนธุรกิจในอนาคต

ข้อกำหนดในการจัดทำรายงานทางการเงินตามมาตรฐานบัญชี

รายงานทางการเงินต้องถูกจัดทำให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชีที่ถูกกำหนด เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงินสากล (International Financial Reporting Standards หรือ IFRS) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ

มาตรฐานบัญชีที่สำคัญในการจัดทำรายงานทางการเงินในประเทศไทยมีหลายฉบับ เช่น:

- TFRS 15: รายได้จากการทำสัญญากับลูกค้า

- TFRS 16: สัญญาเช่า

- TAS 12: ภาษีเงินได้

การจัดทำรายงานทางการเงิน  เป็นกระบวนการที่สำคัญและซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำในการบันทึกบัญชี การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและภาษี รายงานที่ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยให้ธุรกิจมีการบริหารจัดการทางการเงินที่ดีขึ้น และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ลงทุน ผู้ถือหุ้น และหน่วยงานรัฐ

มาตรฐานบัญชี

มาตรฐานบัญชี (Accounting Standards)  คือ  ข้อกำหนดและหลักการที่ใช้ในการจัดทำและรายงานข้อมูลทางการเงินของธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ เพื่อให้มีความชัดเจน โปร่งใส และสามารถเปรียบเทียบกันได้ทั้งภายในประเทศและระดับสากล การใช้มาตรฐานบัญชีช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเข้าใจข้อมูลทางการเงินและใช้ข้อมูลนั้นในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

ความสำคัญของมาตรฐานบัญชี

มาตรฐานบัญชี  มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจมีระบบการบันทึกบัญชีที่ถูกต้อง โปร่งใส และสอดคล้องกับข้อกำหนดที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ เช่น สภาวิชาชีพบัญชีในประเทศไทย หรือมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (International Financial Reporting Standards - IFRS) ในระดับสากล

การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี  ช่วยให้ข้อมูลทางการเงินของธุรกิจมีความถูกต้องและโปร่งใส ทำให้ผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจในสถานะทางการเงินของธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรฐานบัญชีในประเทศไทย

ในประเทศไทย มาตรฐานบัญชีถูกกำหนดโดย สภาวิชาชีพบัญชี (Federation of Accounting Professions) ซึ่งมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการบัญชีให้สอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) โดยมีการปรับปรุงและอัปเดตเป็นระยะเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและธุรกิจ

ตัวอย่างของมาตรฐานบัญชีที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่:

1. TFRS 15: รายได้จากการทำสัญญากับลูกค้า
มาตรฐานนี้กำหนดวิธีการรับรู้รายได้จากการขายสินค้าและบริการ โดยธุรกิจต้องปฏิบัติตามหลักการ 5 ขั้นตอนในการรับรู้รายได้เพื่อให้สอดคล้องกับสัญญาที่ทำกับลูกค้า

2. TFRS 16: สัญญาเช่า
มาตรฐานนี้เปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับสัญญาเช่า โดยผู้เช่าต้องบันทึกสิทธิในการใช้สินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับการเช่าในงบการเงิน

3. TAS 12: ภาษีเงินได้
กำหนดวิธีการบันทึกภาษีเงินได้ที่เกี่ยวข้องกับกำไรและขาดทุนจากการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงภาษีเงินได้ที่เกิดขึ้นจากผลต่างชั่วคราวระหว่างบัญชีภาษีและบัญชีการเงิน

มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS)

IFRS เป็นมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่ใช้ในหลายประเทศทั่วโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินของธุรกิจมีความชัดเจนและสามารถเปรียบเทียบกันได้ข้ามประเทศ มาตรฐานนี้ถูกกำหนดโดย คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (International Accounting Standards Board - IASB)

ตัวอย่างของมาตรฐาน IFRS ที่สำคัญ ได้แก่:

1. IFRS 9: เครื่องมือทางการเงิน
กำหนดวิธีการบันทึกบัญชีและการจัดประเภทเครื่องมือทางการเงิน เช่น สินทรัพย์ทางการเงิน หนี้สินทางการเงิน และอนุพันธ์

2. IFRS 15: รายได้จากสัญญากับลูกค้า
เป็นมาตรฐานที่สอดคล้องกับ TFRS 15 ซึ่งใช้หลักการ 5 ขั้นตอนในการรับรู้รายได้จากการขายสินค้าและบริการ

3. IFRS 16: สัญญาเช่า
เป็นมาตรฐานที่กำหนดให้ผู้เช่าบันทึกสินทรัพย์และหนี้สินที่เกิดจากสัญญาเช่าในงบการเงิน

ขั้นตอนการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี

ธุรกิจที่ต้องการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีควรดำเนินการดังนี้:

1. ศึกษามาตรฐานที่เกี่ยวข้อง:  ธุรกิจควรทำความเข้าใจในมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้องกับลักษณะการดำเนินธุรกิจของตน

2. ปรับปรุงระบบบัญชี:  ธุรกิจควรปรับปรุงระบบบัญชีและการบันทึกบัญชีให้สอดคล้องกับมาตรฐานบัญชีที่กำหนด

3. ตรวจสอบและตรวจทาน:  ธุรกิจควรทำการตรวจสอบงบการเงินและรายการบัญชีต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการบันทึกและรายงานเป็นไปตามมาตรฐาน

4. จัดทำรายงานทางการเงิน:  หลังจากที่ทำการบันทึกบัญชีเรียบร้อยแล้ว ควรจัดทำรายงานทางการเงินตามมาตรฐานที่กำหนด และยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี  ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือในสายตาผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายและข้อกำหนดทางบัญชีที่เกี่ยวข้อง

 

การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีและภาษี

การปฏิบัติตาม มาตรฐานบัญชีและภาษี เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่มีการจัดทำบัญชีและรายงานทางการเงินอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามกฎหมาย ข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบสภาพทางการเงินและการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแล

การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี

การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี  คือ  การที่ธุรกิจต้องดำเนินการตามกฎระเบียบและข้อกำหนดที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) หรือมาตรฐานการรายงานทางการเงินไทย (TFRS) การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้การจัดทำงบการเงินมีความโปร่งใส และสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของธุรกิจกับองค์กรอื่นได้

ขั้นตอนการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี

1. ศึกษาและทำความเข้าใจมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง: ธุรกิจต้องทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดของมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของธุรกิจ เช่น TFRS, IFRS, หรือมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม

2. จัดทำเอกสารบัญชีและงบการเงิน: การบันทึกรายการทางการเงินต่างๆ ควรทำตามหลักการที่ถูกต้องตามมาตรฐานบัญชี เช่น การบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินตามเงื่อนไขที่กำหนด

3. ตรวจสอบและประเมินผล: เมื่อสิ้นสุดแต่ละรอบบัญชี ธุรกิจต้องทำการตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีเพื่อให้มั่นใจว่าการบันทึกถูกต้องครบถ้วน

4. ยื่นรายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแล: การยื่นรายงานทางการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด เป็นหน้าที่ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตาม โดยยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามเวลาที่กำหนด

การปฏิบัติตามภาษี

การปฏิบัติตามภาษี  เกี่ยวข้องกับการคำนวณและชำระภาษีตามกฎหมายภาษีอากรของแต่ละประเทศ ซึ่งในประเทศไทยการปฏิบัติตามภาษีต้องทำให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่กำหนดโดย กรมสรรพากร เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), และภาษีธุรกิจเฉพาะ การปฏิบัติตามภาษีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบและถูกปรับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ภาษีหลักที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตาม

1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล:  เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากกำไรสุทธิของธุรกิจ โดยคำนวณจากรายได้หักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):  เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการขายสินค้าและบริการ โดยอัตราภาษีปัจจุบันในประเทศไทยอยู่ที่ 7% ธุรกิจที่มีรายได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและทำการชำระภาษีอย่างต่อเนื่อง

3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ:  สำหรับธุรกิจบางประเภท เช่น สถาบันการเงิน หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อและการลงทุน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งคำนวณจากยอดรายได้รวมที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจ

ข้อกำหนดภาษีตามกฎหมายที่ธุรกิจควรรู้

- การจดทะเบียนภาษี:  ธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับกรมสรรพากร

- การจัดทำรายงานภาษี:  ธุรกิจต้องจัดทำและยื่นแบบแสดงภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามกฎหมาย

- การชำระภาษีประจำปี:  ธุรกิจต้องยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด. 50) และแบบแสดงภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ภายในเวลาที่กำหนด

การรายงานทางการเงินตามกฎหมาย

การจัดทำรายงานทางการเงินตามกฎหมาย  เป็นกระบวนการที่สำคัญในการตรวจสอบสภาพการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ การจัดทำรายงานต้องปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง และรายงานเหล่านี้ต้องยื่นต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสรรพากร


การปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีและภาษี  ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ถือหุ้น นักลงทุน และหน่วยงานตรวจสอบ

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow
Thailand Web Stat
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราต้องการให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ เราจึงนำคุกกี้ที่บันทึกการเข้าชม และการใช้งานบนหน้าเว็บไซต์จากเครื่องของคุณมาวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ รวมทั้งนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจคุณยิ่งขึ้น
ยอมรับรายละเอียด
x