Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การทำความเข้าใจสมการบัญชี: ความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้น

Posted By Kung_nadthanan | 08 ก.ย. 67
410 Views

  Favorite

การทำความเข้าใจสมการบัญชี  เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการจัดการทางการเงินของธุรกิจ สมการบัญชีไม่เพียงแต่ช่วยในการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ยังช่วยในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินขององค์กร โดยสมการบัญชีแสดงถึงความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้น ในบทความนี้เราจะสำรวจความหมายและความสำคัญของสมการบัญชี รวมถึงวิธีการใช้งานในการจัดทำและวิเคราะห์งบการเงินของธุรกิจ

สมการบัญชีคืออะไร?

สมการบัญชีพื้นฐานสามารถสรุปได้ในรูปแบบที่เรียกว่า สมการบัญชี ซึ่งประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลักคือ:

- ทรัพย์สิน (Assets):  สิ่งที่ธุรกิจเป็นเจ้าของและมีมูลค่าทางการเงิน เช่น เงินสด, สินค้าคงคลัง, อาคาร, และเครื่องจักร

- หนี้สิน (Liabilities):  ภาระผูกพันทางการเงินที่ธุรกิจต้องชำระให้แก่บุคคลภายนอก เช่น เจ้าหนี้การค้า, หนี้สินระยะยาว, และเงินกู้ยืม

- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity):  ความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นในธุรกิจ ซึ่งได้แก่ทุนจดทะเบียน, กำไรสะสม, และทุนสำรอง

สมการบัญชีพื้นฐาน

สมการบัญชีพื้นฐานมีรูปแบบดังนี้:

ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

สมการนี้แสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินของธุรกิจจะต้องเท่ากับผลรวมของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นเสมอ นั่นหมายความว่าทรัพย์สินที่ธุรกิจเป็นเจ้าของจะมาจากแหล่งเงินทุนที่ได้แก่หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

ความสำคัญของสมการบัญชี

1. การบันทึกข้อมูลทางการเงิน

- สมการบัญชีช่วยในการบันทึกข้อมูลทางการเงินอย่างถูกต้อง โดยการบันทึกข้อมูลของทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้นให้สอดคล้องกับสมการบัญชี

​2. การสร้างงบการเงิน

- การจัดทำงบการเงิน เช่น งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) ใช้สมการบัญชีในการจัดระเบียบข้อมูลทางการเงิน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงผลรวมของทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้นได้อย่างชัดเจน

3. การวิเคราะห์สถานะทางการเงิน

- การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินโดยใช้สมการบัญชีช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินความมั่นคงทางการเงิน เช่น การวิเคราะห์อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงิน

4. การตรวจสอบความถูกต้องของบัญชี

- การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบัญชีจะสามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อตรวจสอบว่า สมการบัญชี ยังคงเป็นไปตามหลักการที่กำหนด

ตัวอย่างการใช้สมการบัญชี

เพื่อให้เข้าใจสมการบัญชีได้ชัดเจนขึ้น ลองดูตัวอย่างดังนี้:

สมมุติว่าธุรกิจมีข้อมูลทางการเงินดังนี้:

- ทรัพย์สิน: 500,000 บาท

- หนี้สิน: 300,000 บาท

- ส่วนของผู้ถือหุ้น: ?

โดยการใช้สมการบัญชี:

ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น 500,000 = 300,000 + ส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้น = 500,000 − 300,000 ส่วนของผู้ถือหุ้น = 200,000

จากตัวอย่างนี้ เราสามารถคำนวณได้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นคือ 200,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสมดุลของสมการบัญชี

การประยุกต์ใช้สมการบัญชีในการจัดทำงบการเงิน

ในการจัดทำงบการเงิน เช่น งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) จะใช้สมการบัญชีในการจัดระเบียบข้อมูลที่แสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ ณ วันหนึ่ง วันใด โดยแสดงทรัพย์สินทั้งหมด, หนี้สินทั้งหมด, และส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะต้องให้มีความสัมพันธ์ตามสมการบัญชีที่กำหนด

การทำความเข้าใจ สมการบัญชี เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการทางการเงินของธุรกิจ สมการบัญชีช่วยให้ธุรกิจสามารถบันทึก, วิเคราะห์, และรายงานข้อมูลทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้สมการบัญชีในการจัดทำและตรวจสอบงบการเงินจะช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะทางการเงิน, ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการบัญชี, และตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีข้อมูลรองรับ

สมการบัญชี

สมการบัญชี เป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญในด้านการบัญชีและการเงิน ซึ่งช่วยให้การบันทึกและการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเป็นไปอย่างมีระเบียบและมีประสิทธิภาพ สมการบัญชีช่วยในการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้น โดยการเข้าใจสมการบัญชีจะช่วยให้สามารถจัดทำงบการเงินได้อย่างถูกต้อง

สมการบัญชีพื้นฐาน

สมการบัญชีพื้นฐานคือ:

ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

องค์ประกอบของสมการบัญชี

1. ทรัพย์สิน (Assets)

ทรัพย์สินหมายถึงสิ่งที่ธุรกิจเป็นเจ้าของและมีมูลค่าทางการเงิน ซึ่งแบ่งออกเป็น

- ทรัพย์สินหมุนเวียน (Current Assets): เงินสด, ลูกหนี้การค้า, สินค้าคงคลัง

- ทรัพย์สินถาวร (Non-current Assets): อาคาร, เครื่องจักร, อุปกรณ์

2. หนี้สิน (Liabilities)

หนี้สินหมายถึงภาระผูกพันที่ธุรกิจต้องชำระให้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งแบ่งออกเป็น

- หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities): เจ้าหนี้การค้า, เงินกู้ระยะสั้น

- หนี้สินระยะยาว (Non-current Liabilities): เงินกู้ระยะยาว, พันธบัตร

3. ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

ส่วนของผู้ถือหุ้นหมายถึงความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นในธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย

- ทุนจดทะเบียน (Share Capital): เงินลงทุนที่ผู้ถือหุ้นมอบให้

- กำไรสะสม (Retained Earnings): กำไรที่ยังไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผล

หลักการของสมการบัญชี

1. ความสมดุล (Balance)

- สมการบัญชีต้องมีความสมดุลเสมอ ซึ่งหมายความว่าทรัพย์สินทั้งหมดของธุรกิจจะต้องเท่ากับผลรวมของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

2. การบันทึกบัญชี

- การบันทึกบัญชีตามสมการบัญชีจะต้องทำในลักษณะของการเดบิตและเครดิต เช่น การเพิ่มทรัพย์สินจะต้องมีการเพิ่มหนี้สินหรือส่วนของผู้ถือหุ้นที่เท่ากัน

3. การจัดทำงบการเงิน

- งบการเงิน เช่น งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) จะจัดทำโดยการจัดระเบียบข้อมูลตามสมการบัญชี โดยแสดงทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้น

ตัวอย่างการใช้สมการบัญชี

ตัวอย่างที่ 1:

สมมุติว่าธุรกิจมีข้อมูลดังนี้

- ทรัพย์สิน: 600,000 บาท

- หนี้สิน: 350,000 บาท

- ต้องการคำนวณส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทรัพย์สิน − หนี้สิน  ส่วนของผู้ถือหุ้น = 600,000 − 350,000

ส่วนของผู้ถือหุ้น = 250,000

 

ตัวอย่างที่ 2:

สมมุติว่าธุรกิจมีการซื้ออุปกรณ์มูลค่า 100,000 บาทโดยการกู้เงิน

- การเพิ่มทรัพย์สิน (อุปกรณ์): 100,000 บาท

- การเพิ่มหนี้สิน (เงินกู้): 100,000 บาท

การบันทึกบัญชี:

- เดบิต: อุปกรณ์ 100,000 บาท

- เครดิต: เงินกู้ 100,000 บาท

ความสำคัญของสมการบัญชี

1. การควบคุมทางการเงิน

- สมการบัญชีช่วยในการควบคุมและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ

2. การวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน

- สมการบัญชีช่วยในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของธุรกิจ เช่น การตรวจสอบอัตราส่วนทางการเงิน เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น

3. การปฏิบัติตามข้อกำหนด

- การปฏิบัติตามสมการบัญชีช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางบัญชีและการเงินอย่างถูกต้อง

4. การตัดสินใจทางการเงิน

- ข้อมูลที่ได้จากการใช้สมการบัญชีช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีข้อมูลรองรับ

 

สมการบัญชี เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ การทำความเข้าใจสมการบัญชีและการประยุกต์ใช้งานในบัญชีและการเงินช่วยให้ธุรกิจสามารถบันทึก, วิเคราะห์, และรายงานข้อมูลทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้สมการบัญชีช่วยให้สามารถสร้างความสมดุลระหว่างทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะทางการเงินและดำเนินการได้อย่างราบรื่น

ความสัมพันธ์ทรัพย์สินหนี้สิน

การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินเป็นพื้นฐานสำคัญของการบัญชีและการเงิน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการทรัพยากรทางการเงินและวิเคราะห์สถานะทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการจัดทำงบการเงินและการวิเคราะห์ทางการเงิน สมการบัญชีพื้นฐานจะใช้เพื่อแสดงความสัมพันธ์นี้

1. ความสัมพันธ์พื้นฐาน

สมการบัญชีพื้นฐาน:

ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

- ทรัพย์สิน (Assets): สิ่งที่ธุรกิจเป็นเจ้าของและมีมูลค่าทางการเงิน เช่น เงินสด, สินค้าคงคลัง, อุปกรณ์

- หนี้สิน (Liabilities): ภาระผูกพันที่ธุรกิจต้องชำระให้แก่บุคคลภายนอก เช่น เงินกู้, เจ้าหนี้การค้า

- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity): ความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นในธุรกิจ ซึ่งรวมถึงทุนจดทะเบียนและกำไรสะสม

 

2. การเพิ่มและลดทรัพย์สินและหนี้สิน

- การเพิ่มทรัพย์สิน

การเพิ่มทรัพย์สินจะต้องมีการเพิ่มในอีกด้านหนึ่งของสมการบัญชี เช่น การซื้ออุปกรณ์ด้วยเงินสด จะทำให้ทรัพย์สิน (อุปกรณ์) เพิ่มขึ้นและเงินสดลดลง

ตัวอย่าง: หากธุรกิจซื้ออุปกรณ์มูลค่า 50,000 บาทโดยใช้เงินสด:

- เดบิต: อุปกรณ์ 50,000 บาท (เพิ่มทรัพย์สิน)

- เครดิต: เงินสด 50,000 บาท (ลดทรัพย์สิน)

- การเพิ่มหนี้สิน

การเพิ่มหนี้สินมักเกิดจากการกู้ยืมเงินหรือการซื้อสินค้าที่ยังไม่ได้ชำระเงิน ซึ่งทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นและหนี้สินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

- การเพิ่มหนี้สิน

การเพิ่มหนี้สินมักเกิดจากการกู้ยืมเงินหรือการซื้อสินค้าที่ยังไม่ได้ชำระเงิน ซึ่งทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นและหนี้สินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่าง: หากธุรกิจกู้เงิน 100,000 บาทเพื่อซื้ออุปกรณ์:

- เดบิต: อุปกรณ์ 100,000 บาท (เพิ่มทรัพย์สิน)

- เครดิต: เงินกู้ 100,000 บาท (เพิ่มหนี้สิน)

 

- การลดทรัพย์สิน:

การลดทรัพย์สินอาจเกิดจากการขายทรัพย์สินหรือใช้ทรัพย์สินในการชำระหนี้สิน เช่น การขายอุปกรณ์อาจทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นและอุปกรณ์ลดลง

ตัวอย่าง: หากธุรกิจขายอุปกรณ์ที่มีมูลค่า 30,000 บาท:

- เดบิต: เงินสด 30,000 บาท (เพิ่มทรัพย์สิน)

- เครดิต: อุปกรณ์ 30,000 บาท (ลดทรัพย์สิน)

 

- การลดหนี้สิน:

การลดหนี้สินเกิดจากการชำระหนี้หรือการลดความรับผิดชอบทางการเงิน เช่น การชำระเงินกู้จะลดหนี้สินและเงินสดลดลง

ตัวอย่าง: หากธุรกิจชำระเงินกู้ 20,000 บาท

- เดบิต: เงินกู้ 20,000 บาท (ลดหนี้สิน)

- เครดิต: เงินสด 20,000 บาท (ลดทรัพย์สิน)

 

3. การวิเคราะห์สถานะทางการเงิน

การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินสถานะทางการเงินและวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

- อัตราส่วนหนี้สินต่อทรัพย์สิน: ช่วยให้ประเมินความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ โดยการเปรียบเทียบหนี้สินทั้งหมดกับทรัพย์สินทั้งหมด  

 

- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น: แสดงความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สินและทุนที่ผู้ถือหุ้นลงทุน

 

4. ความสำคัญในการจัดทำงบการเงิน

การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินช่วยในการจัดทำงบการเงินที่แม่นยำและเชื่อถือได้:

- งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet): แสดงทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีความสมดุลตามสมการบัญชี

- งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement): แสดงการเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินจากกิจกรรมดำเนินงาน, การลงทุน, และการจัดหาเงินทุน

 

การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทรัพย์สินและหนี้สินเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการจัดการทางการเงินและการบัญชี การใช้สมการบัญชีเพื่อแสดงความสัมพันธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดทำงบการเงินที่ถูกต้อง วิเคราะห์สถานะทางการเงิน และตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีข้อมูลรองรับ

ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) คืออะไร?

ส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders' Equity)  หรือ ส่วนของผู้ถือหุ้น  เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของงบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) ซึ่งแสดงถึงส่วนที่เป็นเจ้าของของธุรกิจที่เหลืออยู่หลังจากหักหนี้สินออกจากทรัพย์สิน โดยเป็นเงินทุนที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นได้ลงทุนในธุรกิจ และยังรวมถึงกำไรสะสมหรือขาดทุนที่สะสมในอดีต

องค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้น

1. ทุนจดทะเบียน (Share Capital)

- ทุนจดทะเบียนคือเงินที่ผู้ถือหุ้นลงทุนในธุรกิจเมื่อซื้อหุ้นของบริษัท ส่วนนี้อาจประกอบด้วยหุ้นสามัญ (Common Shares) และหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Shares) ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้นที่บริษัทออก

2. กำไรสะสม (Retained Earnings)

- กำไรสะสมคือกำไรที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและภาษี รวมถึงที่ไม่จ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ส่วนนี้จะสะสมอยู่ในบัญชีเพื่อการลงทุนหรือการขยายธุรกิจ

3. กำไรสะสมจากการลงทุน (Additional Paid-In Capital)

- เป็นเงินที่ผู้ถือหุ้นจ่ายเกินจากมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น (Par Value) หรือเป็นทุนที่ได้รับจากการขายหุ้นในราคาสูงกว่ามูลค่าที่ตราไว้

4. ขาดทุนสะสม (Retained Deficits)

- เป็นขาดทุนที่สะสมมาจากการดำเนินงานในอดีต หากกำไรสะสมเป็นลบ จะแสดงถึงขาดทุนสะสมซึ่งลดลงในส่วนของผู้ถือหุ้น

5. หุ้นซื้อคืน (Treasury Shares)

- หุ้นซื้อคืนเป็นหุ้นที่บริษัทซื้อกลับจากผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้และถืออยู่ในบริษัท หุ้นเหล่านี้จะลดลงในส่วนของผู้ถือหุ้น เนื่องจากมันไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น

6. กำไรสะสมจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าสินทรัพย์ (Accumulated Other Comprehensive Income)

- เป็นกำไรหรือขาดทุนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินที่ไม่ได้รับการบันทึกในงบกำไรขาดทุน แต่จะถูกบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น

การคำนวณส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้นสามารถคำนวณได้จากสมการบัญชีพื้นฐาน:

ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทรัพย์สิน − หนี้สิน

ตัวอย่าง:

- หากธุรกิจมีทรัพย์สินรวม 500,000 บาท และหนี้สินรวม 300,000 บาท

ส่วนของผู้ถือหุ้น = 500,000 − 300,000

ส่วนของผู้ถือหุ้น = 200,000

ความสำคัญของส่วนของผู้ถือหุ้น

1. แหล่งทุนของบริษัท

- ส่วนของผู้ถือหุ้นแสดงถึงแหล่งทุนที่บริษัทได้รับจากผู้ถือหุ้นและยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการระดมทุนเพื่อการขยายธุรกิจ

2. การวิเคราะห์การเงิน

- การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้นช่วยในการประเมินความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท เช่น การคำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงิน

3. การจัดการกำไร

- การจัดการกำไรสะสมช่วยในการตัดสินใจทางการเงิน เช่น การตัดสินใจจ่ายเงินปันผลหรือการลงทุนในโครงการใหม่

4. การรายงานทางการเงิน

- ข้อมูลส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นข้อมูลที่สำคัญในการจัดทำงบแสดงฐานะการเงินและเป็นข้อมูลพื้นฐานในการรายงานให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน

การจัดทำงบแสดงฐานะการเงิน

งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) จะประกอบด้วย:

1. ทรัพย์สิน:

- แสดงสิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของ

2. หนี้สิน:

- แสดงภาระผูกพันของบริษัท

3. ส่วนของผู้ถือหุ้น:

- แสดงเงินทุนที่ผู้ถือหุ้นลงทุนและกำไรสะสมที่เหลืออยู่

 

ตัวอย่างการบันทึกบัญชี:

การออกหุ้นใหม่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนในส่วนของผู้ถือหุ้น และเพิ่มเงินสดในทรัพย์สิน:

เดบิต: เงินสด (เพิ่มทรัพย์สิน)

เครดิต: ทุนจดทะเบียน (เพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้น)

- การจ่ายเงินปันผลจะลดกำไรสะสมและเงินสด:

เดบิต: กำไรสะสม (ลดส่วนของผู้ถือหุ้น)

เครดิต: เงินสด (ลดทรัพย์สิน)

 

ส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทและช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบริษัท การเข้าใจส่วนของผู้ถือหุ้นและการบันทึกบัญชีที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญในการจัดทำงบการเงินและการบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Kung_nadthanan
  • 0 Followers
  • Follow