การสอบวัดระดับภาษาอิตาลี เช่น CILS (Certificazione di Italiano come Lingua Straniera) และ CELI (Certificato di Conoscenza della Lingua Italiana) เป็นการสอบที่ออกแบบมาเพื่อประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอิตาลีของผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอิตาลีเป็นภาษาแม่ การสอบนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยใช้เพื่อการศึกษา ทำงาน และการย้ายถิ่นฐานในประเทศที่ใช้ภาษาอิตาลี การสอบจะวัดทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้สอบสามารถผ่านได้ในทุกระดับ
1. CILS A1 และ A2 คือระดับพื้นฐานสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียนภาษาอิตาลี เหมาะสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น การแนะนำตัว พูดคุยเรื่องง่าย ๆ
2. CILS B1 และ B2 คือระดับกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถใช้ภาษาอิตาลีได้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การสนทนาในที่ทำงานหรือการศึกษา ระดับ B1 ยังเป็นข้อกำหนดสำหรับการขอสัญชาติอิตาลีด้วย
3. CILS C1 และ C2 คือระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ภาษาอิตาลีอย่างคล่องแคล่วในระดับวิชาการหรือวิชาชีพ ระดับ C1 มักเป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในอิตาลี ในขณะที่ C2 เป็นระดับที่สูงสุดแสดงถึงความชำนาญใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา
1. CELI Impatto (A1) ระดับเริ่มต้น เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาอิตาลี ใช้สำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวันพื้นฐาน
2. CELI 1 (A2) ถึง CELI 3 (B2) ครอบคลุมตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับกลาง เน้นการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน การเรียน และการทำงานในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น
3. CELI 4 (C1) และ CELI 5 (C2) ระดับสูงและระดับใกล้เคียงเจ้าของภาษา ใช้สำหรับการศึกษาระดับสูง การทำงานที่ต้องใช้ทักษะภาษาอิตาลีเชิงวิชาการและวิชาชีพ
4. CELI Adolescenti และ CELI Immigrati ออกแบบเฉพาะสำหรับวัยรุ่นและผู้อพยพ ซึ่งเน้นเนื้อหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะของกลุ่มผู้สอบเหล่านี้
การเลือกสอบ CILS หรือ CELI ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะ เช่น การศึกษาต่อ การทำงาน หรือการย้ายถิ่นฐาน โดยแต่ละแบบจะมีระดับการสอบที่สอดคล้องกับความสามารถทางภาษาที่ต้องการในแต่ละบริบทการใช้งาน
ข้อสอบ CILS ประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก โดยแต่ละระดับจะมีเนื้อหาและความยากง่ายที่แตกต่างกันไปตามมาตรฐาน CEFR (Common European Framework of Reference for Languages)
1. การฟัง (Listening Comprehension) ข้อสอบในส่วนนี้จะมีคลิปเสียงให้ผู้สอบฟังแล้วตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคลิปเสียงจะมีความยาวและความซับซ้อนแตกต่างกันไปตามระดับ ตั้งแต่การสนทนาง่าย ๆ ในระดับ A1 ไปจนถึงการสัมภาษณ์หรือบทความข่าวในระดับ C2
2. การอ่าน (Reading Comprehension) ประเมินความสามารถในการเข้าใจข้อความต่าง ๆ เช่น บทความ โฆษณา หรือข้อความเชิงวิชาการ ผู้สอบต้องอ่านและตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง
3. การเขียน (Writing Production) ให้ผู้สอบเขียนข้อความตามโจทย์ที่กำหนด เช่น จดหมาย ข้อความสั้น ๆ หรือบทความยาว ขึ้นอยู่กับระดับการสอบ โดยจะประเมินทักษะการแสดงความคิดและการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง
4. การพูด (Speaking Production) ผู้สอบจะต้องสนทนากับผู้คุมสอบหรือพูดตามหัวข้อที่กำหนด อาจเป็นการแนะนำตัวเอง การอธิบายความคิดเห็น หรือการอภิปรายหัวข้อที่ซับซ้อนในระดับสูง
5. โครงสร้างการสื่อสาร (Analisi delle Strutture di Comunicazione) ส่วนนี้ประเมินความเข้าใจไวยากรณ์และการใช้โครงสร้างประโยค เช่น การเลือกคำหรือการเติมคำในประโยค ซึ่งจะมีความซับซ้อนตามระดับที่สอบ
ข้อสอบ CELI มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับ CILS โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักตามมาตรฐาน CEFR
1. การฟัง (Listening Comprehension) ข้อสอบส่วนนี้มีคลิปเสียงที่เป็นการสนทนาหรือบทความให้ผู้สอบฟังและตอบคำถาม ความยาวและเนื้อหาของคลิปจะเพิ่มขึ้นตามระดับการสอบ
2. การอ่าน (Reading Comprehension) ประเมินทักษะการอ่านผ่านข้อความที่หลากหลาย เช่น บทความสั้น ข้อความในชีวิตประจำวัน หรือบทความเชิงวิชาการในระดับสูง
3. การเขียน (Writing Production) ผู้สอบต้องเขียนข้อความตามโจทย์ เช่น การเขียนจดหมาย การเขียนข้อความให้คำแนะนำ หรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่กำหนด
4. การพูด (Speaking Production) ส่วนนี้ประกอบด้วยการสนทนากับผู้สอบหรือการพูดเดี่ยว โดยเนื้อหาจะปรับตามระดับ ตั้งแต่การพูดคุยเรื่องง่าย ๆ ไปจนถึงการอภิปรายหรือแสดงความเห็นอย่างมีโครงสร้าง
ความแตกต่าง
- ระดับความยาก : ทั้งสองข้อสอบใช้มาตรฐาน CEFR และมีระดับตั้งแต่ A1 ถึง C2 แต่ข้อสอบ CILS มักเน้นความซับซ้อนทางไวยากรณ์มากกว่า ขณะที่ CELI มีเนื้อหาที่เน้นบริบทการใช้งานจริง
- การประเมินการสื่อสาร : CILS จะมีส่วนโครงสร้างการสื่อสารที่เน้นไวยากรณ์และการใช้ภาษา ขณะที่ CELI จะเน้นการประเมินทักษะการใช้ภาษาผ่านสถานการณ์จริง
1. ศึกษารูปแบบและโครงสร้างของข้อสอบ ทำความเข้าใจรูปแบบข้อสอบแต่ละส่วน เช่น การฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด เพื่อให้รู้ว่าจะเจอคำถามแบบใดและต้องเตรียมตัวอย่างไร
2. ฝึกทำข้อสอบจำลอง (Mock Test) หาแบบฝึกหัดหรือข้อสอบเก่ามาทำเพื่อฝึกทักษะและความคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ ฝึกการจับเวลาเพื่อพัฒนาการบริหารเวลาในการทำข้อสอบ
3. พัฒนาทักษะการฟัง (Listening) ฟังภาษาอิตาลีจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ข่าว รายการทีวี พอดแคสต์ หรือเพลง เพื่อฝึกการฟังสำเนียงและจับใจความ ฝึกฟังบทสนทนาหรือข้อความที่ซับซ้อนมากขึ้นในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบ
4. เสริมทักษะการอ่าน (Reading) อ่านบทความ ข่าว หนังสือพิมพ์ หรือเนื้อหาต่าง ๆ ในภาษาอิตาลีเพื่อฝึกการอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาในบริบทที่แตกต่างกัน จดคำศัพท์ใหม่และฝึกการใช้คำเหล่านั้นในการเขียนและการพูด
5. ฝึกการเขียน (Writing) ฝึกเขียนข้อความสั้น ๆ จดหมาย หรือบทความตามหัวข้อที่หลากหลายตามระดับที่สอบ เพื่อพัฒนาทักษะการแสดงความคิดและการใช้ไวยากรณ์ให้ถูกต้อง ขอให้ผู้รู้หรือครูตรวจแก้ไขงานเขียนเพื่อรับคำแนะนำและปรับปรุงจุดบกพร่อง
6. พัฒนาทักษะการพูด (Speaking) ฝึกพูดในหัวข้อที่หลากหลาย โดยพยายามใช้ประโยคที่ซับซ้อนและคำศัพท์ใหม่ ๆ หาเพื่อนฝึกพูดภาษาอิตาลีด้วย หรือเข้าร่วมชั้นเรียนสนทนากับเจ้าของภาษาเพื่อเพิ่มความมั่นใจและความคล่องแคล่ว
6. ทบทวนไวยากรณ์และคำศัพท์ ใช้แอปพลิเคชันการเรียนภาษา เช่น Duolingo, Memrise หรือ Anki เพื่อทบทวนไวยากรณ์และคำศัพท์ในแต่ละระดับ ทำบันทึกคำศัพท์ที่พบบ่อยในข้อสอบและฝึกการใช้คำเหล่านั้นในประโยคต่าง ๆ
1. ใช้ในการศึกษาต่อในประเทศอิตาลี ผลคะแนน CILS และ CELI เป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาในอิตาลี โดยเฉพาะระดับ B2 ขึ้นไป มักใช้เป็นข้อกำหนดในการเข้าศึกษาต่อหลักสูตรปริญญาตรี ปริญญาโท และหลักสูตรระยะสั้นในภาษาอิตาลี
2. ใช้ในการสมัครงานในประเทศอิตาลีและองค์กรที่ใช้ภาษาอิตาลี ใบประกาศ CILS และ CELI สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงทักษะภาษาอิตาลีในการสมัครงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องการความสามารถทางภาษา เช่น งานบริการ การสื่อสาร และงานวิชาชีพต่าง ๆ ผลคะแนนระดับสูง เช่น B2 หรือ C1 เป็นที่ต้องการในองค์กรที่ต้องการบุคลากรที่สามารถสื่อสารภาษาอิตาลีได้ดี
3. ใช้ในการขอวีซ่าและการย้ายถิ่นฐานไปอิตาลี ผลสอบ CILS ระดับ A2 เป็นข้อกำหนดสำหรับผู้ที่ต้องการขอสัญชาติอิตาลีผ่านการแต่งงานหรือการพำนักถาวร ใช้ประกอบการขอวีซ่าเพื่อศึกษาต่อ หรือทำงานในอิตาลี โดยบางประเภทของวีซ่าอาจกำหนดให้ต้องมีทักษะภาษาในระดับที่กำหนด
4. ใช้เพื่อยกระดับในอาชีพการงานและการเลื่อนตำแหน่ง การมีใบประกาศ CILS หรือ CELI ระดับสูงเป็นข้อได้เปรียบในการทำงานในบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับอิตาลีหรือประเทศที่ใช้ภาษาอิตาลี เป็นหลักฐานแสดงความสามารถในการใช้ภาษาในบริบทการทำงาน การสื่อสารกับลูกค้า หรือการจัดการงานที่ต้องการภาษาอิตาลี
5. ใช้ในการสอบเทียบวุฒิการศึกษา ผลสอบ CILS และ CELI สามารถใช้ในการเทียบวุฒิการศึกษาหรือยืนยันทักษะภาษาสำหรับการเรียนต่อในหลักสูตรที่สอนด้วยภาษาอิตาลี
- ใบประกาศไม่มีวันหมดอายุ: ทั้ง CILS และ CELI ไม่มีวันหมดอายุ แต่บางสถาบันหรือบริษัทอาจขอให้ผลสอบมีอายุไม่เกิน 2-3 ปี ณ เวลาสมัคร
- เลือกระดับที่เหมาะสม: การเลือกสอบในระดับที่เหมาะสมกับความสามารถทางภาษาจะช่วยให้ใช้ผลคะแนนได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด
ศูนย์สอบ CILS ในประเทศไทย
- สถาบันภาษาและวัฒนธรรมอิตาเลียน (Dante Alighieri Bangkok)
ศูนย์สอบ CELI ในประเทศไทย
- ศูนย์วัฒนธรรมอิตาลี (Italian Cultural Institute)
การสอบวัดระดับภาษาอิตาลี เช่น CILS และ CELI เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบและพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอิตาลี การเตรียมตัวอย่างมีระบบ การฝึกฝนทักษะอย่างต่อเนื่อง และการประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสอบผ่านได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการศึกษา การทำงาน หรือการใช้ในชีวิตประจำวัน หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบภาษาอิตาลีและเคล็ดลับในการเตรียมตัว สามารถติดตามบทความเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของเราเพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และคำแนะนำที่จะช่วยให้การสอบภาษาอิตาลีของคุณเป็นเรื่องง่ายและประสบความสำเร็จ
แหล่งข้อมูล