ทฤษฎี Heckscher-Ohlin อธิบายว่าประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน หรือทุนที่มีอยู่มาก จะมีความได้เปรียบในการผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้ทรัพยากรเหล่านั้นเป็นปัจจัยการผลิตหลัก ส่วนประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรหรือแรงงานจะมีแนวโน้มที่จะนำเข้าสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตเหล่านั้น เพื่อสนองความต้องการในตลาดภายในประเทศ
1. การกระจายปัจจัยการผลิต
ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าการกระจายของปัจจัยการผลิต เช่น แรงงานและทุน เป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดรูปแบบการค้าโลก ประเทศที่มีปัจจัยการผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งในปริมาณมาก จะผลิตสินค้าและบริการที่ใช้ปัจจัยการผลิตนั้นในต้นทุนต่ำกว่า และสามารถส่งออกได้ในราคาที่แข่งขันได้ในตลาดโลก
2. การค้าระหว่างประเทศและความได้เปรียบในการแข่งขัน
ประเทศที่มีความได้เปรียบในการผลิตสินค้าบางประเภทเนื่องจากมีปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม จะสามารถใช้ทฤษฎีนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้า และขยายส่วนแบ่งการตลาดในระดับโลก
3. การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้าง
ทฤษฎี Heckscher-Ohlin ยังมีบทบาทในการช่วยวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างของประเทศ เมื่อปัจจัยการผลิตเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ
หากเราพิจารณาประเทศจีนที่มีแรงงานมากและค่าจ้างแรงงานต่ำ จีนจึงสามารถผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น เสื้อผ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าและส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยังตลาดโลก ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาที่มีทุนมากและเทคโนโลยีสูง จะเน้นการผลิตสินค้าที่ใช้ทุนและเทคโนโลยี เช่น ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์ไอที ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำทฤษฎี Heckscher-Ohlin มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การค้าระหว่างประเทศ