Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ฟิสิกส์ ม. 4 เทอม 1 เนื้อหาการเรียน พร้อมเทคนิคเก็บเกรด

Posted By Plook TCAS | 07 ส.ค. 67
39 Views

  Favorite

การเรียนฟิสิกส์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาในชั้นเรียนที่สูงขึ้น ฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 นั้นถือเป็นขั้นแรกของการเรียนฟิสิกส์อย่างเข้มข้น ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเตรียมพร้อมสำหรับเนื้อหาที่ซับซ้อนมากขึ้นในเทอมถัดไป มาดูกันว่า ฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เรียนเนื้อหาอะไรบ้าง และควรเตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมที่สุด

 

ม. 4 เทอม 1 เรียนเรื่องอะไรบ้าง

1. ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์

2. การเคลื่อนที่แนวตรง

3. แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน

4. สมดุลของแรงและการเคลื่อนที่

5. งานและพลังงาน

 

1. ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์

"ฟิสิกส์" เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของสสารและพลังงาน รวมถึงการเคลื่อนที่และพฤติกรรมของวัตถุ การศึกษาในเรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจถึงเหตุผลที่สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอน เช่น การตกของวัตถุ การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ หรือการส่งผ่านคลื่นเสียงและแสง

- กระบวนการทางวิทยาศาสตร์: วิธีการศึกษาสิ่งต่าง ๆ ตามแนวทางทางวิทยาศาสตร์

- การวัดเชิงฟิสิกส์: การใช้เครื่องมือวัดที่ถูกต้อง และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน่วยการวัด

- เลขนัยสำคัญและค่าความคลาดเคลื่อน: การคำนวณที่แม่นยำในฟิสิกส์มักต้องคำนึงถึงความคลาดเคลื่อนของค่าที่วัดได้

- ปริมาณเวกเตอร์และสเกลาร์: การแยกแยะปริมาณที่มีทิศทางและไม่มีทิศทาง เช่น แรง ความเร็ว และมวล

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

การศึกษาสิ่งต่าง ๆ ตามแนวทางทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การตั้งคำถาม การรวบรวมข้อมูล การสร้างสมมติฐาน การทดลอง และการวิเคราะห์ผลลัพธ์ วิธีการเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อสันนิษฐานและสร้างความรู้ใหม่ ๆ

การวัดเชิงฟิสิกส์

การวัดในฟิสิกส์ต้องใช้เครื่องมือที่ถูกต้องและมีความแม่นยำ เช่น ไม้บรรทัด, เครื่องวัดความเร็ว, และเครื่องชั่งน้ำหนัก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน่วยการวัด เช่น เมตร (m), วินาที (s), และกิโลกรัม (kg) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถวัดและแปลผลข้อมูลได้อย่างถูกต้อง

เลขนัยสำคัญและค่าความคลาดเคลื่อน

การคำนวณในฟิสิกส์มักต้องพิจารณาถึงเลขนัยสำคัญ ซึ่งหมายถึงจำนวนหลักที่มีความสำคัญในผลลัพธ์และค่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการวัดที่ไม่แม่นยำ การจัดการกับค่าความคลาดเคลื่อนช่วยให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ปริมาณเวกเตอร์และสเกลาร์

ปริมาณในฟิสิกส์สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่:

- ปริมาณเวกเตอร์: มีทิศทางและขนาด เช่น แรง (Force) และความเร็ว (Velocity) การวิเคราะห์ปริมาณเวกเตอร์ต้องพิจารณาทั้งขนาดและทิศทางของมัน

- ปริมาณสเกลาร์: มีเพียงขนาดเท่านั้น เช่น มวล (Mass) และเวลา (Time) การวิเคราะห์ปริมาณสเกลาร์เพียงแค่พิจารณาขนาดของมัน

ตัวอย่างโจทย์

การคำนวณความเร็ว:

- วัตถุเคลื่อนที่ด้วยระยะทาง 100 เมตรในเวลา 20 วินาที ความเร็วเฉลี่ยของวัตถุคือเท่าไหร่?

- วิธีทำ: ใช้สูตรความเร็ว = ระยะทาง / เวลา

การวัดค่าความคลาดเคลื่อน:

- หากเครื่องชั่งน้ำหนักแสดงค่ามวลเป็น 5.00 กิโลกรัม และค่าความคลาดเคลื่อนที่สามารถรับได้คือ ±0.05 กิโลกรัม ค่าที่วัดได้สามารถอยู่ในช่วงใดบ้าง?

- วิธีทำ: ค่ามวลที่วัดได้จะอยู่ในช่วง 4.95 ถึง 5.05 กิโลกรัม

การแยกแยะปริมาณเวกเตอร์:

- วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 10 เมตรต่อวินาทีไปทางทิศเหนือ และความเร็ว 15 เมตรต่อวินาทีไปทางทิศตะวันออก ค่าความเร็วรวมของวัตถุเป็นเท่าไหร่?

- วิธีทำ: ใช้หลักการของการรวมปริมาณเวกเตอร์ เช่น การใช้พีทาโกรัสเพื่อคำนวณขนาดของปริมาณรวม

 

2. การเคลื่อนที่แนวตรง

การเคลื่อนที่แนวตรง เป็นหัวข้อที่สำคัญในฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เพราะเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุในชีวิตประจำวัน โดยเนื้อหานี้จะเน้นไปที่การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง ซึ่งประกอบด้วยการกระจัด ความเร็ว ความเร่ง รวมถึงกราฟการเคลื่อนที่และการเคลื่อนที่แนวดิ่ง

- การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง: การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่และความเร่ง

- กราฟการเคลื่อนที่: การวิเคราะห์กราฟที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของความเร็วและการกระจัดเมื่อเวลาผ่านไป

- การเคลื่อนที่แนวดิ่งและความเร่งคงที่: การศึกษาเกี่ยวกับวัตถุที่ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลก

การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง

การกระจัด (Displacement):

คือ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดสิ้นสุด และเป็นปริมาณที่มีทิศทาง ซึ่งแตกต่างจากระยะทางที่เป็นการวัดรวมของทุกการเคลื่อนที่ที่วัตถุทำ

- ตัวอย่าง: หากวัตถุเคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ซึ่งอยู่ห่างจากกัน 10 เมตรทางทิศเหนือ การกระจัดของวัตถุคือ 10 เมตรทางทิศเหนือ

ความเร็ว (Velocity):

คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของการกระจัด ซึ่งสามารถเป็นความเร็วคงที่ (เมื่อความเร็วไม่เปลี่ยนแปลง) หรือความเร็วที่เปลี่ยนแปลง (เมื่อวัตถุมีการเร่งหรือชะลอ)

- ตัวอย่าง: หากวัตถุเคลื่อนที่ด้วยการกระจัด 50 เมตรในเวลา 10 วินาที ความเร็วเฉลี่ยคือ 5 เมตรต่อวินาที

ความเร่ง (Acceleration):

คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเร็ว ความเร่งสามารถเป็นค่าคงที่ (เมื่อการเปลี่ยนแปลงความเร็วเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ) หรือมีการเปลี่ยนแปลง

- ตัวอย่าง: หากความเร็วของวัตถุเพิ่มขึ้นจาก 0 ถึง 20 เมตรต่อวินาทีในเวลา 4 วินาที ความเร่งเฉลี่ยคือ 5 เมตรต่อวินาที^2

กราฟการเคลื่อนที่

กราฟการเคลื่อนที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงของความเร็วและการกระจัดเมื่อเวลาผ่านไป:

กราฟการกระจัด-เวลา:

แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการกระจัดกับเวลา หากกราฟเป็นเส้นตรง จะบ่งบอกถึงความเร็วคงที่

- ตัวอย่าง: กราฟแสดงการกระจัดของวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ 10 เมตรต่อวินาที จะเป็นเส้นตรงที่มีความชันคงที่

กราฟความเร็ว-เวลา:

แสดงการเปลี่ยนแปลงของความเร็วเมื่อเวลาผ่านไป หากกราฟเป็นเส้นตรงที่มีความชัน จะบ่งบอกถึงความเร่งคงที่

- ตัวอย่าง: กราฟแสดงความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นเส้นตรงที่มีความชันแสดงถึงความเร่ง

การเคลื่อนที่แนวดิ่งและความเร่งคงที่

การเคลื่อนที่แนวดิ่งอธิบายถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก:

การตกของวัตถุ:

วัตถุที่ตกลงมาจะมีความเร่งที่คงที่ (ประมาณ 9.8 เมตรต่อวินาที^2 บนพื้นผิวโลก) เนื่องจากแรงโน้มถ่วง

- ตัวอย่าง: หากวัตถุตกลงมาจากความสูง 20 เมตร ความเร็วของวัตถุเมื่อถึงพื้นจะสามารถคำนวณได้จากการเปลี่ยนแปลงความเร็วตามความเร่งคงที่

ตัวอย่างโจทย์

คำนวณความเร็ว:

- วัตถุเคลื่อนที่ไป 30 เมตรในเวลา 5 วินาที ความเร็วเฉลี่ยของวัตถุคือเท่าไหร่?

- วิธีทำ: ใช้การคำนวณความเร็วเฉลี่ย = การกระจัด / เวลา

กราฟความเร็ว-เวลา:

- กราฟความเร็ว-เวลาแสดงเส้นตรงที่มีความชัน 2 เมตรต่อวินาที^2 หากเริ่มต้นจากความเร็ว 0 เมตรต่อวินาที ความเร็วของวัตถุหลังจาก 3 วินาทีจะเป็นเท่าไหร่?

- วิธีทำ: คำนวณจากความเร่งและเวลา

การเคลื่อนที่แนวดิ่ง:

- วัตถุตกจากความสูง 45 เมตร คำนวณความเร็วของวัตถุเมื่อถึงพื้น

- วิธีทำ: ใช้ค่าความเร่งของแรงโน้มถ่วงและระยะทางในการคำนวณความเร็วสุดท้าย

 

3. แรงเสียดทานและแรงตึงเชือก

แรงเสียดทานและแรงตึงเชือกเป็นแนวคิดสำคัญในการศึกษาแรงที่กระทำต่อวัตถุในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน นักเรียนจะได้เรียนรู้ว่าแรงเหล่านี้ส่งผลต่อการเคลื่อนที่และการหยุดของวัตถุอย่างไร

แรงเสียดทาน (Friction)

แรงเสียดทาน เป็นแรงที่เกิดขึ้นระหว่างพื้นผิวสองพื้นผิวที่สัมผัสกัน และมันจะขัดขวางการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานเกิดขึ้นได้ทั้งตอนที่วัตถุยังไม่เคลื่อนที่และเมื่อวัตถุเคลื่อนที่แล้ว ซึ่งแรงเสียดทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

1. แรงเสียดทานสถิต (Static Friction)

แรงเสียดทานสถิตคือแรงที่ขัดขวางไม่ให้วัตถุเริ่มเคลื่อนที่ แม้ว่าจะมีแรงภายนอกกระทำต่อวัตถุอยู่ แต่ถ้าแรงที่กระทำไม่มากพอที่จะเอาชนะแรงเสียดทานสถิต วัตถุก็จะยังคงอยู่ในสภาพหยุดนิ่ง ตัวอย่างเช่น การพยายามผลักกล่องใหญ่บนพื้น หากแรงที่ใช้ดันน้อยกว่าค่าแรงเสียดทานสถิต กล่องจะไม่ขยับ

2. แรงเสียดทานจลน์ (Kinetic Friction)

แรงเสียดทานจลน์คือแรงที่ขัดขวางการเคลื่อนที่ของวัตถุเมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่แล้ว แรงนี้จะมีค่าต่ำกว่าแรงเสียดทานสถิตเสมอ ตัวอย่างเช่น เมื่อกล่องเริ่มเคลื่อนที่ไปแล้ว การผลักกล่องให้เคลื่อนที่ต่อจะต้องเอาชนะแรงเสียดทานจลน์

แรงเสียดทานทั้งสองประเภทนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประเภทของพื้นผิวที่สัมผัสกัน น้ำหนักของวัตถุ และชนิดของวัสดุที่ใช้ทำพื้นผิว

แรงตึงเชือก (Tension Force)

แรงตึงเชือก เป็นแรงที่เกิดขึ้นในเชือกหรือสายที่ถูกดึงหรือยึดระหว่างวัตถุสองชิ้น แรงตึงนี้จะเกิดขึ้นตลอดความยาวของเชือกหรือสาย และมีทิศทางไปตามแนวเชือก แรงตึงเชือกเป็นปริมาณเวกเตอร์ ซึ่งหมายความว่ามีทั้งขนาดและทิศทาง ตัวอย่างเช่น หากมีการดึงวัตถุสองชิ้นด้วยเชือก แรงตึงเชือกจะส่งผ่านไปยังวัตถุทั้งสอง โดยทั้งสองจะถูกดึงเข้าหากัน

ตัวอย่างโจทย์

โจทย์ที่ 1: แรงเสียดทานสถิต
นักเรียนคนหนึ่งพยายามดันกล่องมวล 10 กิโลกรัมบนพื้น แต่กล่องไม่ขยับ ถ้าค่าของแรงเสียดทานสถิตคือ 50 นิวตัน จงอธิบายว่าเหตุใดกล่องจึงไม่ขยับ

วิธีทำ:
กล่องไม่ขยับเพราะแรงที่นักเรียนใช้ดันน้อยกว่าค่าแรงเสียดทานสถิต ซึ่งในที่นี้แรงเสียดทานสถิตมีค่าเท่ากับ 50 นิวตัน ดังนั้นหากแรงที่นักเรียนใช้ดันกล่องน้อยกว่า 50 นิวตัน กล่องจะไม่เริ่มเคลื่อนที่ เนื่องจากแรงเสียดทานสถิตขัดขวางการเคลื่อนที่นั้น

โจทย์ที่ 2: แรงเสียดทานจลน์
เมื่อกล่องเริ่มเคลื่อนที่แล้ว แรงที่นักเรียนใช้ดันกล่องคือ 60 นิวตัน และค่าแรงเสียดทานจลน์คือ 30 นิวตัน จงอธิบายว่ากล่องจะเคลื่อนที่อย่างไร

วิธีทำ:
เมื่อกล่องเคลื่อนที่ไปแล้ว แรงเสียดทานจลน์จะทำหน้าที่ขัดขวางการเคลื่อนที่ แต่เนื่องจากแรงที่นักเรียนใช้ดันคือ 60 นิวตัน ซึ่งมากกว่าแรงเสียดทานจลน์ที่มีค่า 30 นิวตัน กล่องจะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแรงดันมากกว่าแรงเสียดทานที่ขัดขวาง

โจทย์ที่ 3: แรงตึงเชือก
มีวัตถุสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมวล 5 กิโลกรัม และอีกชิ้นมวล 10 กิโลกรัม ถูกเชื่อมต่อกันด้วยเชือกที่ไม่ยืดหยุ่น ถ้ามีแรง 100 นิวตันดึงวัตถุทั้งสอง จงอธิบายว่าแรงตึงในเชือกที่เชื่อมต่อระหว่างวัตถุทั้งสองจะเป็นอย่างไร

วิธีทำ:
แรงตึงในเชือกที่เชื่อมต่อระหว่างวัตถุทั้งสองจะต้องมีค่าเท่ากันทั้งสองด้านของวัตถุ เนื่องจากเชือกไม่ยืดหยุ่นและส่งแรงได้เท่า ๆ กัน วัตถุทั้งสองจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเท่ากัน โดยแรงที่ถูกส่งผ่านเชือกจะช่วยดึงวัตถุที่มีมวลมากกว่าให้เคลื่อนที่ไปพร้อมกับวัตถุที่มีมวลน้อยกว่า

 

4. สมดุลของแรงและการเคลื่อนที่

ในฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 การเรียนรู้เรื่อง สมดุลของแรงและการเคลื่อนที่ จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจการที่วัตถุสามารถคงที่ หรือเคลื่อนที่ได้โดยไม่เปลี่ยนแปลงความเร็วหรือทิศทาง หลักการนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับแรงและการเคลื่อนที่

1. สมดุลต่อการเคลื่อนที่

สมดุลของแรง เกิดขึ้นเมื่อแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ หากวัตถุอยู่ในสมดุล มันจะอยู่ในสภาพที่ไม่เคลื่อนที่ หรือหากมีการเคลื่อนที่อยู่แล้ว วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่

สมดุลสถิต (Static Equilibrium):

สมดุลสถิตเกิดขึ้นเมื่อวัตถุหยุดนิ่ง ซึ่งหมายความว่าแรงทุกแรงที่กระทำต่อวัตถุมีค่าเท่ากันและหักล้างกันหมด ทำให้ไม่มีการเคลื่อนที่ ตัวอย่างเช่น วัตถุที่ถูกวางบนพื้นและไม่เคลื่อนที่ วัตถุจะอยู่ในสภาพสมดุล

สมดุลจลน์ (Dynamic Equilibrium):

สมดุลจลน์เกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ในทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงความเร็วหรือทิศทาง เช่น รถที่วิ่งด้วยความเร็วคงที่ในทางตรง โดยที่แรงขับเคลื่อนและแรงเสียดทานหักล้างกันพอดี

2. การเคลื่อนที่แบบหมุน

การเคลื่อนที่แบบหมุนหมายถึงการที่วัตถุหมุนรอบแกนกลาง เช่น กังหันลม หรือการหมุนของล้อ การเคลื่อนที่แบบนี้เกี่ยวข้องกับแรงบิดหรือโมเมนต์ของแรงที่ทำให้วัตถุหมุน

แรงบิดหรือโมเมนต์ของแรง (Torque):

แรงบิดคือแรงที่กระทำต่อวัตถุที่ทำให้เกิดการหมุนรอบแกนหมุน ยิ่งระยะห่างระหว่างแรงที่กระทำกับจุดหมุนมากขึ้น แรงบิดก็จะมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การเปิดประตู ถ้าเราผลักประตูจากขอบที่ห่างจากบานพับ ประตูจะหมุนได้ง่ายกว่าเมื่อผลักใกล้บานพับ

สมดุลของการหมุน:

สำหรับวัตถุที่หมุนอยู่ในสมดุล ต้องมีแรงบิดที่กระทำในทั้งสองทิศทางหักล้างกัน ซึ่งหมายความว่า แรงบิดรวมที่กระทำรอบแกนหมุนจะต้องมีค่าเป็นศูนย์

ตัวอย่างโจทย์

โจทย์ที่ 1: สมดุลของแรงในแนวราบ
กล่องมวล 5 กิโลกรัม วางอยู่บนพื้นเรียบ โดยมีแรง 10 นิวตันกระทำไปทางขวา และแรงเสียดทานขนาด 10 นิวตันกระทำไปทางซ้าย กล่องจะเคลื่อนที่หรือไม่?

วิธีทำ:
แรงที่กระทำในแนวราบมีค่าเท่ากันแต่ในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้แรงลัพธ์ที่กระทำต่อกล่องมีค่าเป็นศูนย์ ดังนั้นกล่องจะอยู่ในสภาวะสมดุล และจะไม่เคลื่อนที่ หรือหากมีการเคลื่อนที่มาก่อน กล่องจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่

โจทย์ที่ 2: การเคลื่อนที่แบบหมุน
กังหันลมยาว 3 เมตร ถูกแรงลมกระทำขนาด 50 นิวตันที่ขอบปลายใบพัด จงหาว่าแรงบิดที่เกิดจากแรงลมนี้มีค่าเท่าใด

วิธีทำ:
แรงบิดสามารถคำนวณได้จากแรงที่กระทำกับวัตถุและระยะห่างจากจุดหมุน ยิ่งระยะห่างจากจุดหมุนมาก แรงบิดก็จะมากขึ้น ดังนั้นแรงลมที่กระทำบนขอบปลายของกังหันจะทำให้เกิดแรงบิดสูง และทำให้กังหันหมุนได้

โจทย์ที่ 3: สมดุลในการหมุน
มีคานยาว 2 เมตร วางอยู่ในแนวราบ โดยมีแรง 100 นิวตันกระทำที่ปลายด้านหนึ่ง และแรง 50 นิวตันกระทำที่ปลายอีกด้านหนึ่ง หากจุดหมุนอยู่ตรงกลางคาน คานจะอยู่ในสมดุลหรือไม่?

วิธีทำ:
การหาว่าสมดุลหรือไม่สามารถทำได้โดยการคำนวณแรงบิดที่กระทำทั้งสองด้านของคาน หากแรงบิดทั้งสองด้านมีค่าเท่ากัน คานจะอยู่ในสมดุลและไม่หมุน แต่หากแรงบิดทั้งสองด้านไม่เท่ากัน คานจะหมุนไปในทิศทางของแรงบิดที่มากกว่า

 

5. งานและพลังงาน

งานและพลังงาน เป็นหัวข้อที่สำคัญมากในฟิสิกส์ ซึ่งการเรียนรู้แนวคิดนี้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและการใช้พลังงานในระบบต่าง ๆ งาน (Work) เกิดขึ้นเมื่อมีแรงกระทำต่อวัตถุและทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางของแรงนั้น ส่วนพลังงาน (Energy) คือความสามารถในการทำงานหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ

งาน (Work)

งานเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกระทำต่อวัตถุและวัตถุมีการเคลื่อนที่ในทิศทางเดียวกับแรงที่กระทำ หากแรงและการเคลื่อนที่อยู่ในทิศทางเดียวกัน จะเกิดงานสูงสุด แต่ถ้าแรงที่กระทำตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ งานที่เกิดขึ้นจะเป็นศูนย์ เช่น เมื่อถือวัตถุและเดินไปตามพื้นราบ งานจากแรงที่ยกวัตถุจะไม่มีผลต่อการเคลื่อนที่ในแนวราบ

พลังงาน (Energy)

พลังงานคือความสามารถในการทำงานหรือการกระทำ โดยพลังงานมีหลายรูปแบบ เช่น:

- พลังงานจลน์: เป็นพลังงานที่วัตถุมีเมื่อมันเคลื่อนที่ ยิ่งวัตถุมีความเร็วสูง พลังงานจลน์ก็ยิ่งมาก

- พลังงานศักย์โน้มถ่วง: เป็นพลังงานที่วัตถุสะสมไว้เมื่อมันอยู่ที่ตำแหน่งสูงจากพื้น ยิ่งวัตถุอยู่สูง พลังงานศักย์ก็ยิ่งมาก

พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ เช่น พลังงานจลน์อาจเปลี่ยนไปเป็นพลังงานศักย์ และกลับกัน ตามกฎการอนุรักษ์พลังงานที่กล่าวว่า พลังงานในระบบที่ปิดจะคงอยู่เท่าเดิม ไม่สามารถถูกสร้างหรือทำลายได้ แต่สามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

ตัวอย่างโจทย์

โจทย์ที่ 1: การคำนวณงาน
นักเรียนออกแรงดึงวัตถุมวล 10 กิโลกรัมไปในระยะทาง 5 เมตร โดยใช้แรง 50 นิวตันในทิศทางที่ทำมุม 30 องศากับแนวราบ จงคำนวณงานที่เกิดขึ้น

วิธีทำ:
ในการคำนวณงาน เราจะต้องนำแรงที่ทำมุมกับแนวราบมาคำนวณร่วมกับระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ โดยพิจารณาเฉพาะแรงที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ในแนวราบ ดังนั้นจากข้อมูลที่ให้มา เราสามารถคำนวณงานได้โดยใช้ค่าแรงที่สัมพันธ์กับทิศทางการเคลื่อนที่

โจทย์ที่ 2: พลังงานจลน์
วัตถุมวล 2 กิโลกรัม เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 10 เมตรต่อวินาที จงหาพลังงานจลน์ของวัตถุนี้

วิธีทำ:
พลังงานจลน์สามารถคำนวณได้โดยใช้มวลและความเร็วของวัตถุ ยิ่งวัตถุมีความเร็วมาก พลังงานจลน์ก็จะมากขึ้น

โจทย์ที่ 3: พลังงานศักย์โน้มถ่วง
วัตถุมวล 5 กิโลกรัม ถูกยกขึ้นไปที่ความสูง 10 เมตรจากพื้นดิน จงหาพลังงานศักย์โน้มถ่วงของวัตถุนี้

วิธีทำ:
พลังงานศักย์โน้มถ่วงจะขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุ ความสูงที่วัตถุถูกยกขึ้น และแรงโน้มถ่วง ยิ่งวัตถุอยู่สูง พลังงานศักย์ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

 

วิธีการเตรียมตัวสำหรับฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1

การเรียนฟิสิกส์ต้องการความเข้าใจในแนวคิดพื้นฐาน และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง นี่คือคำแนะนำบางประการที่จะช่วยให้นักเรียนเตรียมตัวได้ดี:

- ทบทวนคณิตศาสตร์: ฟิสิกส์เชื่อมโยงกับคณิตศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ดังนั้น การเข้าใจสมการ การแก้โจทย์ และการอ่านกราฟเป็นทักษะที่สำคัญ

- ฝึกวิเคราะห์โจทย์: การทำแบบฝึกหัดและโจทย์เป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความเข้าใจ การวิเคราะห์ปัญหาจากโจทย์จะช่วยให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีได้ดีขึ้น

- ทำความเข้าใจแนวคิดก่อนท่องจำ: ฟิสิกส์เป็นเรื่องของความเข้าใจ ไม่ใช่การท่องจำ ดังนั้นควรพยายามเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของแต่ละบทให้ดี

 

การเรียนฟิสิกส์ ม.4 เทอม 1 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเรียนฟิสิกส์ระดับมัธยมปลาย การเข้าใจเนื้อหาพื้นฐานในเทอมนี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้นในปีถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมฝึกฝนและตั้งใจเรียนอย่างต่อเนื่องเพื่อความสำเร็จในการศึกษาวิชาฟิสิกส์

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook TCAS
  • 29 Followers
  • Follow