Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

กฎหมายสำคัญที่ควรรู้สำหรับช่างภาพและผู้เกี่ยวข้อง

Posted By รศ. คณาธิป ทองรวีวงศ์ | 05 ส.ค. 67
1,391 Views

  Favorite

          ช่างภาพถือว่ามีบทบาทสำคัญในกิจกรรมทางสังคมในชีวิตทั่วไป เช่น งานแต่ง งานเลี้ยง งานฉลองต่าง ๆ  เพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับโอกาสสำคัญแบบ “มืออาชีพ” ช่างภาพในยุคใหม่ยังเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ ที่ใช้ภาพ สำหรับทำคอนเทนท์ เพื่อการโฆษณา การตลาด ฯลฯ  

 

ช่างภาพกับกฎหมายที่จะกล่าวถึงในบทความนี้จะหยิบยกบางประเด็นที่น่าสนใจและพบได้ในชีวิตประจำวัน ว่าเข้าข่ายเสี่ยงผิดกฎหมายอะไร และควรมีข้อระมัดระวังอย่างไร ซึ่งช่างภาพนั้น ไม่มี พ.ร.บ. หรือ กฎเกณฑ์เฉพาะ แต่อาจมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ  ขึ้นอยู่กับกิจกรรม หรือแนวปฎิบัติในการประกอบธุรกิจของช่างภาพและผู้เกี่ยวข้อง  

 

ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายเป็นของใคร  

          ภาพถ่ายเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์  ซึ่งกำหนดรับรองว่าเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถ “ทำซ้ำ เผยแพร่ ดัดแปลง” โดยเป็นสิทธิ์ที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อ “สร้างสรรค์งาน” ซึ่งก็คือเมื่อทำการถ่ายภาพขึ้นมานั่นเอง โดยไม่ต้องไปจดทะเบียนหรือได้รับอนุญาตก่อน เหมือนกับ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เจ้าของลิขสิทธิ์ก็คือ  ผู้สร้างสรรค์งาน ซึ่งกรณีของภาพถ่ายก็คือช่างภาพนั่นเอง แต่เนื่องจากช่างภาพมีสถานะความสัมพันธ์กับเจ้าของงานที่ว่าจ้าง ในหลายลักษณะ นำไปสู่ผลทางกฎหมายต่างกัน เช่น 

 

- ช่างภาพที่เป็นพนักงานประจำบริษัท  

กรณีแบบนี้เมื่อถ่ายภาพขึ้นมาในการทำงานตามหน้าที่ กฎหมายกำหนดให้ลิขสิทธิ์ตกเป็นของ “ผู้สร้างสรรค์” ซึ่งก็คือช่างภาพ แต่นายจ้างมีสิทธินำภาพไปเผยแพร่ตามขอบเขตของงาน   ตัวอย่าง ช่างภาพที่เป็นพนักงานของบริษัทถ่ายภาพกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อใช้งานภายในหรือประชาสัมพันธ์ในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ  แบบนี้ ลิขสิทธิ์ในภาพเป็นของช่างภาพ เพียงแต่บริษัทก็สามารถนำไปใช้  แต่ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดว่าอาจมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้  กล่าวคือ หากนายจ้างทำสัญญาไว้ว่า ภาพต่าง ๆ ที่ช่างภาพถ่ายขึ้นในการปฎิบัติงานตามหน้าที่ถือเป็นลิขสิทธิ์ของนายจ้าง แบบนี้ช่างภาพก็ไม่มีสิทธิ์ในภาพนั้นอีกต่อไป 

 

- ช่างภาพอิสระ ฟรีแลนซ์  

อาจมีหน้าร้านเปิดเพจรับถ่ายภาพหรือรับงานตามที่แนะนำกันมา  แบบนี้เป็น “สัญญารับจ้างหรือจ้างทำของ”  กฎหมายกำหนดให้ผู้ว่าจ้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์   กรณีนี้พบเห็นในกิจกรรมทางสังคมทั่วไป เช่น  จ้างช่างภาพถ่ายงานแต่ง งานบวช งานศพ  ฯลฯ  ผู้ว่าจ้างมีลิขสิทธิ์ซึ่งสามารถจะนำไปใช้หรือเผยแพร่อย่างไรก็ได้ ช่างภาพไม่มีลิขสิทธิ์ใน “งานของลูกค้า” เหล่านี้   เว้นแต่ว่าจะทำข้อตกลงกันไว้เป็นแบบอื่น  เช่น ข้อตกลงรับจ้างถ่ายภาพมีข้อหนึ่งระบุว่า  ช่างภาพสามารถนำงานไปทำซ้ำ เผยแพร่ เพื่อใช้เป็นตัวอย่างหรือเป็นผลงาน   ซึ่งผู้จ้างและช่างภาพก็ต้องเจราจาตกลงเงื่อนไขให้เป็นที่รับได้ทั้งสองฝ่าย  

 

การถ่ายภาพบุคคล: ความแตกต่างระหว่าง กฎหมายลิขสิทธิ์ กับ กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล

          ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์  ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ เป็นคนละเรื่องกับ ความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังจะเห็นได้จากกรณี ช่างภาพถ่ายภาพนางแบบหรือนายแบบ  

 

ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ถือว่าช่างภาพเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพ สามารถนำไปทำซ้ำเผยแพร่ได้  บุคคลในภาพจะมาเรียกร้องตามกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ได้   แต่ในอีกมุม ตามกฎหมาย PDPA  การถ่ายภาพที่ปรากฎบุคคลถือเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคล” และบุคคลในภาพ เช่น นางแบบนายแบบ เป็น “เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” สามารถโต้แย้งได้ว่า ช่างภาพเก็บรวบรวมข้อมูลของตนทำเป็นภาพถ่ายโดยไม่ได้ยินยอม 

 

ดังนั้น ในกรณีช่างภาพถ่ายภาพบุคคลในเชิงธุรกิจ เช่น ถ่ายโฆษณา ถ่ายทำคอนเทนท์ก็จะต้องมีข้อตกลงหรือสัญญาที่ระบุว่า คนเป็นแบบยินยอมให้นำภาพไปใช้ได้ในขอบเขตแค่ไหนตามตกลงกัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ช่างภาพเป็นพนักงานประจำหรือทำงานตามสัญญาจ้าง  ผู้ว่าจ้างอาจเตรียมสัญญาให้ทั้งฝ่ายช่างภาพและคนเป็นแบบแล้ว

 

กรณีการนำภาพที่ถ่ายเองนั้นไปลงในแพลตฟอร์มบางอย่าง เช่น เว็บขายภาพ อาจจะมีแบบฟอร์ม “Model Release” (MR)  ซึ่งจะต้องแนบก่อนจะส่งภาพเข้าไปได้ เอกสารแบบนี้มีแบบอย่างจากต่างประเทศที่มีกฎหมายหลายฉบับคุ้มครองสิทธิบุคคลในภาพ รวมทั้งมีความซับซ้อนในแง่ของภาพที่นำไปลงขายได้ทั่วโลก จึงต้องมีข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดกฎหมายไทยโดยตรง 

 

แต่ถ้าเป็นกรณีถ่ายภาพ ทิวทัศน์ หรือ น้องหมา น้องแมว สิ่งอื่นใดที่ไม่ใช่ มนุษย์ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับ PDPA  ช่างภาพก็พึงระวังเฉพาะในส่วนกฎหมายลิขสิทธิ์

 

ช่างภาพ ประกอบอาชีพ หรือทำในลักษณะกิจกรรมส่วนตัว  

          ความแตกต่างระหว่างช่างภาพอาชีพกับการถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก อาจมีความสำคัญในแง่ของกฎหมายบางฉบับ  เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA  ซึ่งมีข้อยกเว้นสำหรับการเก็บรวบรวมหรือเปิดเผยข้อมูลที่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ  ตามมาตรา 4 (1) ดังนั้น  การถ่ายภาพที่ไม่ได้ทำเป็นอาชีพหรือมีรายได้ เช่น ไปถ่ายภาพในงานทางสังคมของเพื่อนหรือญาติอันเป็นการช่วยเหลือกัน  แม้ว่าการถ่ายภาพนั้นจะติดภาพบุคคลอื่นก็ไม่ต้องเข้าข่ายบังคับตาม PDPA     

 

ซึ่งมีผลเหมือนกับกิจกรรมการโพสต์แชร์ของบุคคลทั่วไปที่ได้รับยกเว้นดั  แต่ถ้าการถ่ายภาพทำในลักษณะรับงานหรือประกอบอาชีพ เช่น ช่างภาพที่รับงานถ่ายอีเวนท์ต่าง ๆ  ก็ไม่ข้าข้อยกเว้นนี้ ทำให้ ช่างภาพมีสถานะเป็น “ผู้ควบคุมข้อมูล” ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ตาม PDPA เช่น ต้องขอความยินยอมจากคนที่จะถูกถ่ายภาพ  ต้องแจ้งรายละเอียดว่าจะเอาภาพไปใช้ทำอะไร ฯลฯ   

 

การทำโปรไฟล์ของช่างภาพ โดยใช้ผลงานภาพถ่าย “ลูกค้า” 

          ผู้ที่มองหาช่างภาพที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้บริการมาก่อน อาจตัดสินใจจากการ เสิร์ชหาข้อมูลและดู “ผลงานที่ผ่านมา” ของช่างภาพ  เหมือนจะกินอาหารแล้วหาดู “รีวิว”   ซึ่งช่างภาพหลายคน มักจะทำ แฟ้มสะสมงาน โดยเก็บผลงานที่เคยทำไว้ ลงเป็นอัลบั้มและโพสต์ในเว็บหรือเพจของตัวเอง  อาจแยกเป็นหมวดงานแต่ง งานรับปริญญา ฯลฯ    

 

ปัญหาคือ แฟ้มสะสมงาน หรือ ตัวอย่างงาน ของช่างภาพ อาจมีข้อมูลผู้อื่น ทั้งที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้า เช่น ภาพรับปริญญาที่มีบัณฑิตเป็นผู้ว่าจ้างและเพื่อนอีกหลายคน บุคคลในแฟ้มงานเหล่านี้มีเหตุผล ความรู้สึกหลากหลาย   บางคนก็ยินดีให้ภาพสวย ๆ ในงานที่น่าดีใจของตัวเองปรากฎในแฟ้มงานช่างภาพและเผยแพร่ต่อสาธารณะ  แต่บางคนก็ไม่อยากให้ปรากฎหรือเผยแพร่  เช่น  แขกที่ปรากฎภาพในงานไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนมางานนี้   คู่แต่งงานบางคนเลิกกันไปไม่นานหลังจากงานแต่งก็ไม่อยากให้ภาพเผยแพร่ทางออนไลน์ต่อไป ประเด็นนี้แยกแยะข้อกฎหมายได้ว่า

1. กฎหมายลิขสิทธิ์  การว่าจ้างแบบนี้โดยหลักแล้ว คือจ้างทำของ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์คือผู้ว่าจ้าง ดังนั้น การที่ช่างภาพนำมา ทำซ้ำ เผยแพร่ ก็เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้

2. กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล  ช่างภาพที่นำภาพผู้อื่นมาเผยแพร่เพื่อเป็นตัวอย่างผลงาน เป็นการทำในลักษณะประกอบอาชีพ ไม่ได้รับยกเว้นในกรณีประโยชน์ส่วนตัว จึงต้องขอความยินยอม   ดังนั้น  ช่างภาพที่วางแผนจะนำภาพลูกค้ามาทำโปรไฟล์หรือแฟ้มสะสมงานเพื่อเป็นตัวอย่างจึงต้องเตรียมการทำข้อตกลงที่ครอบคลุมทั้งการยอมให้ใช้ลิขสิทธิ์และยินยอมตาม PDPA 

 

แต่ถ้าช่างภาพนำภาพถ่ายอื่น ๆ ที่ลูกค้าว่าจ้างมาโพสต์แชร์แสดงเป็นตัวอย่างผลงานของตน  จะไม่เกี่ยวกับ PDPA เช่น รับจ้างถ่ายรูปเครื่องประดับ พระเครื่อง อาหาร ฯลฯ  แบบนี้ก็ต้องดูข้อตกลงตามกฎหมายลิขสิทธิ์ว่าลูกค้าผู้ว่าจ้างยินยอมให้ช่างภาพนำไปเผยแพร่ได้หรือไม่  หากไม่ได้ตกลงไว้ช่างภาพก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ 

 

          สุดท้ายตัวช่างภาพ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในชิ้นงาน หรือแม้แต่ผู้ว่าจ้างก็ควรจะระมัดระวังเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่าย พูดคุยหรือทำสัญญาระบุกันให้ชัดเจนก่อนสร้างสรรค์งาน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทจนต้องใช้ตัวบทกฎหมายเข้ามาดำเนินการ
 

 

รศ. คณาธิป ทองรวีวงศ์

สถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล ม เกษมบัณฑิต

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • รศ. คณาธิป ทองรวีวงศ์
  • 0 Followers
  • Follow