การทำธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบัน บัญชีเงินดิจิทัล กลายเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ไม่ว่าค้าขายหรือให้บริการใด ๆ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีการ รับ จ่ายและโอนเงิน ซึ่งถ้าเป็นการใช้เงินโอนออนไลน์ ก็จะต้องอาศัยตัวกลาง คือ “บัญชีเงินฝาก” ของธนาคารต่าง ๆ รวมทั้ง “ดิจิทัลวอลเล็ต” ของผู้ให้บริการต่าง ๆ นอกจากนี้ หากใช้เงินพวกคริปโตในการซื้อขายหรือทำการค้าก็จะมี “บัญชีเงินดิจิทัล” เข้ามาด้วย
การทำธุรกรรมทางการเงิน บัญชีเงินดิจิทัล บัญชีเงินฝากที่จะกล่าวถึงในบทความนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ โดยเราจะมาดูกันตามขั้นตอนที่กฎหมายเข้ามาควบคุมตั้งแต่ เปิดบัญชี ใช้บัญชี ฯลฯ
ในขั้นตอนแรกก่อนการที่จะโอนเงินรับเงิน ก็ต้องเปิดบัญชีก่อน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากแบบมีสมุดหรือบัญชีดิจิทัล กฎหมายกลุ่มนี้ เช่น กฎหมายฟอกเงิน และประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนดเงื่อนไข “ยืนยันตัวตน” ด้วยภาพจำลองใบหน้า หรือสแกนหน้า (Biometric) เมื่อเข้าเงื่อนไขดังนี้
- การเปิดบัญชีแบบไม่พบเห็นผู้ใช้บริการต่อหน้า (Non-face-to-face) เช่น การเปิดบัญชีเงินฝากผ่านแอป หรือเปิดบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทำทั้งหมดผ่านออนไลน์
ข้อสังเกต
1. ไม่ใช่เจ้าของบัญชีทุกคนต้องสแกนหน้า ถ้าไปเปิดบัญชีธนาคารที่สาขาแล้วได้สมุดมาเป็นเล่มโดยไม่ได้ใช้แอป แบบนี้ไม่เข้าข่ายต้องสแกนหน้า ดังนั้น การสรุปว่า เปิดบัญชีทุกบัญชีต้องสแกนหน้า จึงเป็นการเหมารวมที่ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
2. ข้อมูลภาพจำลองใบหน้าลูกค้า เป็น “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” ตาม กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA จึงมีคำถามว่า ถ้าเจ้าของบัญชีไม่ยินยอมสแกนหน้าแต่จะเปิดบัญชีออนไลน์โดยอ้าง PDPA ได้หรือไม่ คำตอบคือ อ้างไม่ได้ กฎหมายดังกล่าวเป็นข้อยกเว้นของ PDPA
หลังจากมีบัญชีแล้ว ในการทำธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ ที่จะรับเงิน จ่ายเงินโดยการโอนผ่านแอป ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังกำหนดเงื่อนไข ยืนยันตัวตนด้วย ภาพจำลองใบหน้าหรือสแกนหน้า เมื่อจะทำธุรกรรมผ่าน Mobile banking หรือ e-Money เมื่อเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
- ทำธุรกรรมโอนเงินในแต่ละครั้งมีมูลค่าตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปหรือ
- ทำธุรกรรมโอนเงินมูลค่ารวมกัน ครบทุกๆ 200,000 บาท ในรอบระยะเวลา 1 วัน หรือ
- ปรับเพิ่มวงเงินการทำธุรกรรมโอนเงินต่อวัน ให้สามารถโอนได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
กฎหมายนี้มีข้อสังเกต คือ
1. ไม่ใช่การโอนเงินทุกกรณีต้องสแกนหน้า เช่น โอนเงินออนไลน์แต่ละครั้งไม่ถึงห้าหมื่น และไม่ถึงสองแสนในหนึ่งวัน แบบนี้ไม่เข้าข่ายต้องสแกนหน้า การสรุปว่า เจ้าของบัญชีทุกคนต้องมาสแกนหน้ามิฉะนั้นจะโอนเงินไม่ได้ จึงเป็นการเหมารวมไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
2. ข้อมูลภาพจำลองใบหน้าลูกค้า เป็น “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” ตาม กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงมีคำถามว่า ถ้าเจ้าของบัญชีไม่ยินยอมสแกนหน้าโดยอ้าง PDPA ได้หรือไม่ คำตอบคือ อ้างไม่ได้ กฎหมายดังกล่าวเป็นข้อยกเว้นของ PDPA แต่ถ้าไม่ยินยอมให้เก็บก็ทำได้โดยไม่ทำธุรกรรมที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น
รายได้ที่เกิดจากการขายของหรือทำธุรกิจใด ๆ ทางออนไลน์ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล เหล่านี้เป็นเรื่องตามกฎหมายภาษีทั่วไป แต่สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับ “บัญชีธนาคาร” ก็จะมีกฎหมายภาษีอากรที่จะเข้ามาตรวจสอบเมื่อมีเงิน “ขาเข้า” หรือรับเงินเข้าบัญชี ที่เข้าเงื่อนไขดังนี้
(1) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่สามพันครั้งขึ้นไป
(2) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่สี่ร้อยครั้งและมียอดรวมของธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงินรวมกันตั้งแต่สองล้านบาทขึ้นไป
ข้อสังเกต
1. บัญชีใดที่เข้าเงื่อนไขนี้ ไม่ใช่จะมีความผิดทันที แต่ต้องถูกธนาคารส่งรายงานข้อมูลเหล่านี้ไปยังสรรพกร ซึ่งก็ยังไม่ได้บอกว่าจะต้องเสียภาษี แต่เป็นการแจ้งให้รู้ข้อมูลและตรวจสอบ ถ้าเงินที่รับเป็นรายได้จากการขายของออนไลน์หรือทำธุรกิจอื่น และไม่ได้ยื่นภาษีก็อาจมีความผิดฐานไม่ยื่นหรือต้องเสียค่าปรับ
2. ข้อมูลที่ธนาคารส่งให้สรรพากร ประกอบด้วย เลขประจำตัวประชาชนเจ้าของบัญชี จำนวนครั้งและจำนวนเงินที่ฝากหรือรับโอนทุกบัญชีรวมกัน จัดเป็นการ “เปิดเผย” ข้อมูลลูกค้า มีประเด็นว่า ต้องขอความยินยอมตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ต้อง เพราะการปฎิบัติตามกฎหมายภาษีถือเป็นข้อยกเว้นของ PDPA
3. กฎหมายนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะ“แม่ค้าออนไลน์” แต่ใช้กับทุกคนที่รับโอนเงินเข้าเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็น ผู้ทำธุรกิจบริการทางออนไลน์ต่าง ๆ การทำคอนเทนท์และได้ค่าตอบแทน ฯลฯ ถ้าถึงจำนวนก็อยู่ในข่ายกฎหมายนี้
ผู้ทำธุรกิจออนไลน์ ทำยังไงไม่ให้ผิดกฎหมายนี้ คำตอบคือ กฎหมายนี้ไม่ได้สั่งให้ผู้ค้าขายออนไลน์ต้องทำอะไร แต่ให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีให้สรรพากรเมื่อเข้าเงื่อนไขโดยไม่ต้องขอความยินยอม สิ่งที่ทำได้คือ การทำบัญชีสำหรับการขายของรับเงินอย่างเป็นระบบไว้ตลอดทั้งปี ยื่นภาษีแสดงรายได้ตรงกับเงินที่รับ ก็ลดความเสี่ยงในการผิดกฎหมายได้
ในการทำธุรกรรมทางการเงิน เปิดบัญชีเงินฝาก หรือ บัญชีเงินดิจิทัล ต่าง ๆ การใช้บัญชีเหล่านั้นรับเงินโอนเงิน หากเข้าข่ายเป็น “บัญชีม้า” จะมีความผิดตามพระราชกำหนดปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี ฯ 2566
สำหรับกรณีที่จะเข้าข่ายผิดคือ เปิดบัญชีหรือยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือเงินดิจิทัล โดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง เช่น เปิดบัญชีใหม่โดยมอบรหัสผ่านแก่ผู้อื่น หรือเปิดบัญชีแบบสมุดแล้วเอาสมุดพร้อมบัตรเอทีเอ็มให้ผู้อื่น ถ้าผู้ที่ได้รับเอาไปใช้ทำผิดกฎหมายเช่น ใช้รับโอนเงินจากการฉ้อโกงคนอื่น เจ้าของบัญชีจะมีความผิดฐาน “บัญชีม้า” มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ความเสี่ยงที่อาจเข้าข่ายเป็นบัญชีม้ามีหลายแบบ เช่น
(1) บัญชีม้าแบบมีเจตนา เช่น รับจ้างเปิดโดยรู้ว่าเปิดรับเงินให้พวกทำพนันออนไลน์หรือหลอกลวงโอนเงิน แบบนี้ชัดเจนว่ามีเจตนาทำผิด
(2) บัญชีม้าแบบเปิดให้เขาใช้โดยจะเอาไปทำอะไรไม่รู้ เช่น เขาให้เงิน 500 ไปเปิดบัญชีแล้วเอารหัสต่าง ๆ ให้เขาไป แบบนี้อาจเข้าข่ายความผิด เพราะกฎหมายใช้คำว่า “ควรรู้” ว่าจะมีคนเอาบัญชีนั้นไปใช้ทำผิด จะเถียงว่า รับจ้างเปิดแต่ไม่รู้ว่าเขาเอาไปทำอะไรอาจฟังไม่ขึ้น
(3) บัญชีม้าที่กลายเป็น “แพะ” เนื่องจากอาชญากรมักจะหา “คนอื่น” มารับเงินจากการทำผิดเพื่อปกปิดร่องรอยของตัวเอง จึงอาจแฮกข้อมูลผู้อื่นไปเปิดบัญชีและรับเงินผิดกฎหมาย เจ้าตัวอาจไม่รู้ว่าเป็น “ม้า
ผู้ทำธุรกิจออนไลน์ทำธุรกรรมการเงินยังไงไม่ให้ผิดกฎหมายนี้ คำตอบคือ ต้องระวังในการใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ในการรับหรือโอนเงินที่ไม่ใช่การค้า หรือธุรกิจของเรา
สุดท้ายขอย้ำสำหรับผู้ทำธุรกิจใหญ่หรือเล็ก ค้าขายออนไลน์หรือออฟไลน์ เมื่อต้องมีการทำธุรกรรมทางการเงินก็ให้เข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเงินดิจิทัลให้ชัดเจน และถึงแม้ไม่ได้ทำธุรกิจไม่ได้ค้าขาย เป็นเพียงแค่ผู้บริโภคใช้บริการ ผู้ใช้ก็ต้องเข้าใจเรียนรู้เรื่องของบัญชีเงินดิจิทัล บัญชีเงินฝาก การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงต่าง ๆ ของธนาคารให้ชัดเจน หมั่นตรวจสอบบัญชีของตนอย่างสม่ำเสมอ ละเอียดรอบคอบก่อนจะลงมือทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ และข้อสำคัญไม่ควรให้บุคคลที่ไม่รู้จัก ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเงินมาทำธุรกรรมแทนตัวเรา
รศ. คณาธิป ทองรวีวงศ์
สถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล ม เกษมบัณฑิต