Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

คู่มือการปรับตัว เข้าสู่ชั้น ม. 1

Posted By Plook TCAS | 04 มี.ค. 67
4,276 Views

  Favorite

          การก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เด็ก ๆ หลายคนอาจรู้สึกตื่นเต้นกับการเริ่มต้นบทเรียนใหม่ ๆ เพื่อนใหม่ ๆ และประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่ก็อาจรู้สึกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บทความนี้จึงขอเสนอแนะแนวทางการปรับตัวในการเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนชั้น ม. 1 สามารถผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้อย่างราบรื่น

 

1. ปรับตัวกับรูปแบบการเรียนที่เปลี่ยนไป

การเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 นั้นมีความเข้มข้นและเนื้อหามากกว่าชั้นประถมศึกษา นักเรียนต้องเรียนรู้วิชาใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น  รูปแบบการสอนก็เปลี่ยนไปจากเน้นการฟังบรรยายเป็นเน้นการคิดวิเคราะห์  นักเรียนจึงต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับรูปแบบการเรียนใหม่นี้ ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ การหาข้อมูล การทำงานกลุ่ม และการนำเสนอผลงาน การเตรียมตัวให้พร้อม  ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ  และปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการเรียนใหม่  จะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียน  และมีความสุขกับการเรียนรู้ในระดับมัธยมศึกษา

สิ่งที่นักเรียนต้องเผชิญคือรูปแบบการเรียนที่เปลี่ยนไป  จากการเน้นฟังบรรยายในชั้นประถม  สู่การเน้นการคิดวิเคราะห์  การหาข้อมูล  การทำงานกลุ่ม  และการนำเสนอผลงาน

-  ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์:  ตั้งคำถาม  วิเคราะห์ข้อมูล  หาข้อสรุป

- เรียนรู้วิธีการหาข้อมูล:  ค้นหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ  สรุปประเด็นสำคัญ

- ฝึกฝนทักษะการทำงานกลุ่ม:  แบ่งหน้าที่  รับฟังความคิดเห็น  ทำงานร่วมกัน

- พัฒนาทักษะการนำเสนอผลงาน:  เตรียมเนื้อหา  ฝึกพูด  นำเสนออย่างมั่นใจ

- บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ:  จัดตารางเวลา  วางแผนล่วงหน้า  แบ่งเวลาให้เหมาะสม

- ตั้งใจเรียนในชั้นเรียน:  จดบันทึก  ถามคำถาม  คิดวิเคราะห์

- หาความรู้เพิ่มเติม:  อ่านหนังสือ  ค้นหาข้อมูลทางออนไลน์

- ขอความช่วยเหลือจากครูและเพื่อน:  เมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัย

- ฝึกฝนทักษะการคิดเชิงบวก:  มองโลกในแง่ดี  หาข้อดีจากสิ่งต่าง ๆ

- เชื่อมั่นในตัวเอง:  กล้าแสดงออก  คิดริเริ่ม  ลงมือทำ

 

2. บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ

นักเรียนชั้นม. 1 จะมีการบ้านมากกว่าชั้นประถมศึกษา  นักเรียนจึงต้องเรียนรู้วิธีการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ  จัดตารางเวลาเรียน ทำการบ้าน และพักผ่อนอย่างเหมาะสม  ฝึกฝนทักษะการจัดการเวลา  วางแผนล่วงหน้า  และรู้จักแบ่งเวลาให้กับกิจกรรมต่าง ๆ อย่างลงตัว การบริหารเวลาเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ฝึกฝนเทคนิคต่างๆ จนกลายเป็นนิสัย จะช่วยให้นักเรียนทุกคนมีเวลาเรียน ทำการบ้าน และทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสุข และประสบความสำเร็จ

ทำไมการบริหารเวลาจึงสำคัญ?

• ช่วยให้นักเรียนมีเวลาเรียน ทำการบ้าน และเตรียมตัวสอบอย่างเพียงพอ

• ช่วยให้นักเรียนมีเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ

• ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล

• ช่วยให้นักเรียนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี

• ช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียน

เทคนิคการบริหารเวลา

• ตั้งเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว วางแผน และลงมือทำ

• จัดทำตารางเวลา: จัดทำตารางเวลาเรียน ทำการบ้าน พักผ่อน และทำกิจกรรมต่างๆ

• จัดลำดับความสำคัญ: เรียงลำดับความสำคัญของงานจากมากไปน้อย

• โฟกัสกับงาน: จดจ่อกับงานที่ทำอยู่ ปิดการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ

• แบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อย: แบ่งงานใหญ่ๆ ออกเป็นงานย่อยๆ ทำให้ง่ายต่อการจัดการ

• ฝึกนิสัยการจดบันทึก: จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ นัดหมาย และ deadlines

• เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: เรียนรู้ที่จะปฏิเสธกิจกรรมที่ไม่จำเป็น

• ใช้เครื่องมือช่วย: ใช้แอปพลิเคชั่นหรือเครื่องมือช่วยบริหารเวลา

• ติดตามผล: ตรวจสอบและปรับตารางเวลาให้เหมาะสม

ตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยบริหารเวลา

• จัดทำตารางเวลาเรียนและทำการบ้าน

• ตั้งเวลาสำหรับการอ่านหนังสือ

• จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ

• ใช้แอปพลิเคชั่นจัดการเวลา

• ฝึกสมาธิ

• ออกกำลังกาย

• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
 

3. รู้จักสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครู

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครู  ช่วยให้นักเรียนรู้สึกอบอุ่นใจ  กล้าแสดงออก  และได้รับความช่วยเหลือเมื่อต้องการ  นักเรียนควรทักทาย  พูดคุย  และทำความรู้จักเพื่อนใหม่  เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม  และตั้งใจเรียนในชั้นเรียน การเข้าสู่ชั้น ม. 1 เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทาย การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่ และครูใหม่ ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี กับทั้งเพื่อนและครู จะช่วยให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประสบความสำเร็จในการเรียนและมีความสุขในชีวิต อย่าลังเลที่จะเปิดใจ

มิตรภาพที่ดี ช่วยให้นักเรียนรู้สึกอบอุ่นใจ มีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข แบ่งปันเรื่องราว ประสบการณ์ และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

การสร้างมิตรภาพที่ดี 

- การเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทาย แสดงความสนใจ และช่วยเหลือผู้อื่น

- การเป็นผู้ฟังที่ดี ตั้งใจฟัง เข้าใจ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

- การมีวุฒิภาวะ ควบคุมอารมณ์ รู้จักให้อภัย และรับผิดชอบต่อการกระทำของตน

- การรักษาคำพูด ซื่อสัตย์ จริงใจ และไว้ใจได้

 

ความสัมพันธ์ที่ดีกับครู ช่วยให้นักเรียนได้รับคำแนะนำ สนับสนุน และโอกาสในการเรียนรู้

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครู 

- การเคารพ แสดงกิริยามารยาทที่ดี ตั้งใจฟัง และปฏิบัติตามคำสอน
- การมีวินัย ตรงต่อเวลา ทำงานส่งครบ และรักษาความประพฤติดี
- การใฝ่รู้ ตั้งคำถาม แสดงความคิดเห็น และเรียนรู้อย่าง
- การมีส่วนร่วม ร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน ทำงานกลุ่ม และช่วยเหลือผู้อื่น

 

4. เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบตัวเอง

เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับ ม. 1  นักเรียนจะมีอิสระมากขึ้น  ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบที่มากขึ้น  นักเรียนควรเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง  รับผิดชอบต่อหน้าที่  จัดการกับปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่อยู่เสมอ

นักเรียนมีอิสระในการตัดสินใจมากขึ้น มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น และต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น การเป็นผู้รับผิดชอบต่อตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนและใช้ชีวิต การเป็นผู้รับผิดชอบต่อตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่หมายถึงการรู้จักพึ่งพาตัวเอง ตัดสินใจอย่างรอบคอบ และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ตามมา

- รับผิดชอบต่อการเรียน: นักเรียนมัธยมปลายมีหน้าที่หลักคือการเรียนรู้ จำเป็นต้องตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ทำการบ้าน ส่งงานตรงเวลา และทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ

- รับผิดชอบต่อเวลา: นักเรียนควรบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเวลาให้เหมาะสมกับการเรียน การเล่น และกิจกรรมอื่น ๆ รู้จักวางแผนและจัดลำดับความสำคัญ

- รับผิดชอบต่อหน้าที่: นักเรียนควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน แต่งกายสุภาพ เรียบร้อย ตรงต่อเวลา ช่วยเหลือผู้อื่น และรักษาความสะอาด

- รับผิดชอบต่อสุขภาพ: นักเรียนควรดูแลสุขภาพของตัวเอง ทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งเสพติด

- รับผิดชอบต่ออารมณ์: นักเรียนควรเรียนรู้ควบคุมอารมณ์ จัดการกับความเครียด รู้จักผ่อนคลาย และแสดงออกอย่างเหมาะสม

- รับผิดชอบต่อการตัดสินใจ: นักเรียนควรคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ตามมา

- รับผิดชอบต่อสังคม: นักเรียนควรเคารพผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อยู่ในภาวะยากลำบาก และร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม

- รับผิดชอบต่ออนาคต: นักเรียนควรตั้งเป้าหมายในชีวิต วางแผนการศึกษา และเตรียมตัวสำหรับอนาคต

การเป็นผู้รับผิดชอบต่อตัวเองไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่นักเรียนสามารถฝึกฝนและพัฒนาตนเองได้ เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ใฝ่เรียนรู้ พัฒนาตนเอง และรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับ มั่นใจว่านักเรียนทุกคนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จในชีวิต

ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมการรับผิดชอบต่อตัวเอง

• จดบันทึกการบ้านและตารางเรียน

• ตื่นนอนและเข้านอนตรงเวลา

• เก็บเงินออม

• ทำงานบ้าน

• ดูแลน้อง

• เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม

• อาสาสมัคร

 

5. ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่

โรงเรียนมัธยมมักมีขนาดใหญ่กว่าโรงเรียนประถม  นักเรียนต้องใช้เวลาเรียนรู้เส้นทาง  ทำความคุ้นเคยกับสถานที่ต่าง ๆ  และปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบของโรงเรียนใหม่

นักเรียนจะได้พบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ ครูใหม่ กฎระเบียบใหม่ วิชาเรียนใหม่ และสภาพแวดล้อมใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนและใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน

- เปิดใจรับสิ่งใหม่: สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดใจพร้อมรับสิ่งใหม่ ๆ อย่ากลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ พบปะผู้คนใหม่ ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และอย่ากังวลว่าจะทำผิดพลาด เพราะทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลานี้มา

- ฝึกฝนทักษะการเรียนรู้: ระดับมัธยมปลายมีเนื้อหาการเรียนที่เข้มข้นขึ้น นักเรียนจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ที่ดี เช่น การจดบันทึกอย่างมีประสิทธิภาพ การอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ การทำการบ้านให้ตรงเวลา และการทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ

- บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ: นักเรียนมัธยมปลายมีภาระงานที่มากขึ้น จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเวลาให้เหมาะสมกับการเรียน การเล่น และกิจกรรมอื่น ๆ

- หาเพื่อนใหม่: การมีเพื่อนที่ดีจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกสบายใจและสนุกกับการเรียน รู้จักเข้าหาเพื่อนใหม่ แสดงความเป็นมิตร ร่วมกิจกรรมกลุ่ม และสร้างมิตรภาพที่ดี

- ปรึกษาครูและผู้ปกครอง: เมื่อนักเรียนพบปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ อย่าลังเลที่จะปรึกษาครูและผู้ปกครอง พวกเขาพร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือให้นักเรียนผ่านพ้นอุปสรรคไปได้

- ดูแลสุขภาพ: สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ นักเรียนควรทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งเสพติด

- ตั้งเป้าหมาย: การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียนและใช้ชีวิต ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว วางแผน และลงมือทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

- เชื่อมั่นในตัวเอง: สิ่งสำคัญที่สุดคือการเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในศักยภาพของตัวเอง กล้าที่จะแสดงออก และอย่ากลัวที่จะเผชิญกับความท้าทาย

การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ความพยายามและความอดทน จงอดทน เรียนรู้ และเติบโตจากประสบการณ์ นักเรียนทุกคนสามารถประสบความสำเร็จและมีความสุขในรั้วโรงเรียนได้

 

6. ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต

การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม  รูปแบบการเรียน  และความรับผิดชอบที่มากขึ้น  อาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียน  นักเรียนจึงควรดูแลตัวเอง  ทานอาหารครบ 5 หมู่  พักผ่อนให้เพียงพอ  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  และหาเวลาผ่อนคลายความเครียด

วัยเรียนมัธยม เปรียบเสมือนช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม นักเรียนต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งการเรียน การสอบ เพื่อน ครอบครัว และกิจกรรมต่าง ๆ

การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่น มีความสุข และประสบความสำเร็จในการเรียน

สุขภาพกาย:

- ทานอาหารครบ 5 หมู่: เน้นผักผลไม้ เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ของหวาน และน้ำอัดลม

- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เลือกกิจกรรมที่ชื่นชอบ ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์

- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อคืน

- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สุขภาพจิต:

- จัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ฝึกสมาธิ

- คิดบวก: มองโลกในแง่ดี หาข้อดีจากทุกสถานการณ์

- พูดคุยระบายความรู้สึก: หาคนรู้ใจ เพื่อน ครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพูดคุยระบายความรู้สึก

- ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ: หากิจกรรมที่ชื่นชอบ ผ่อนคลาย และสร้างความสุข

- ขอความช่วยเหลือ: หากรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต เป็นสิ่งที่นักเรียนทุกคนควรให้ความสำคัญ หาเวลาให้กับตัวเอง ทานอาหารดี ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อน พูดคุยกับคนรู้ใจ และหากิจกรรมที่ชื่นชอบ จำไว้ว่า สุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ จะช่วยให้นักเรียนมีพลัง มีความสุข และประสบความสำเร็จในการเรียนและชีวิต

 

7. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

หากนักเรียนรู้สึกกังวล  เครียด  หรือมีปัญหาในการปรับตัว  ควรขอความช่วยเหลือจากครู  ผู้ปกครอง  หรือเพื่อน  การพูดคุยและระบายความรู้สึก  ช่วยให้นักเรียนรู้สึกสบายใจ  และสามารถหาทางออกสำหรับปัญหาต่าง ๆ ได้ การขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนและใช้ชีวิต

ทำไมต้องขอความช่วยเหลือ?

• นักเรียนทุกคนมีจุดอ่อน มีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ หรือไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

• การขอความช่วยเหลือ แสดงถึงความกล้าหาญ และความรับผิดชอบต่อตัวเอง

• การได้รับความช่วยเหลือ จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ เติบโต และประสบความสำเร็จ

เมื่อไหร่ควรขอความช่วยเหลือ?

• เมื่อไม่เข้าใจเนื้อหาการเรียน

• เมื่อมีปัญหาในการทำการบ้าน

• เมื่อรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า

• เมื่อมีปัญหาในการปรับตัวกับเพื่อนใหม่

• เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว

• เมื่อมีปัญหาอื่น ๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง

ใครบ้างที่สามารถช่วยเหลือได้?

• ครู: ครูเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ สามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือในการเรียน

• เพื่อน: เพื่อนสามารถช่วยเหลือในเรื่องการเรียน การปรับตัว และให้กำลังใจ

• พ่อแม่: พ่อแม่เป็นผู้ที่รักและหวังดีต่อลูก สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในทุกเรื่อง

• นักจิตวิทยา: นักจิตวิทยาสามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในเรื่องปัญหาสุขภาพจิต

• สายด่วน: มีสายด่วนมากมายที่ให้บริการช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพจิต ปัญหาการกลั่นแกล้ง

การขอความช่วยเหลือ ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ แต่แสดงถึงความฉลาด และความกล้าหาญที่จะเผชิญปัญหา จงอย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ เมื่อจำเป็น เพราะการได้รับความช่วยเหลือ จะช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นอุปสรรค เรียนรู้ เติบโต และประสบความสำเร็จในชีวิต

ตัวอย่างสถานการณ์ที่ควรขอความช่วยเหลือ

• ไม่เข้าใจเนื้อหาการเรียน: นักเรียนสามารถถามครู เพื่อน หรือติวเตอร์

• มีปัญหาในการทำการบ้าน: นักเรียนสามารถถามเพื่อน ครู หรือค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

• รู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า: นักเรียนสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ เพื่อน ครู หรือปรึกษานักจิตวิทยา

• มีปัญหาในการปรับตัวกับเพื่อนใหม่: นักเรียนสามารถพูดคุยกับครู เพื่อน หรือปรึกษานักจิตวิทยา

• มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว: นักเรียนสามารถพูดคุยกับครู เพื่อน หรือปรึกษานักจิตวิทยา

• มีปัญหาอื่น ๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง: นักเรียนสามารถหาสายด่วนที่ให้บริการช่วยเหลือในเรื่องนั้น ๆ

 

          การปรับตัวในการเรียน เมื่อก้าวสู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  เป็นสิ่งที่สำคัญ  นักเรียนควรเตรียมตัวให้พร้อม  ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการเรียนใหม่  บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ  สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครู  เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบตัวเอง  ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่  ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต  และขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น  เพียงเท่านี้  นักเรียนก็จะสามารถผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้อย่างราบรื่น  และประสบความสำเร็จในการเรียน

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook TCAS
  • 29 Followers
  • Follow