เมื่อผู้คนพบเจอกับความไม่แน่นอนในชีวิต นอกจากจะต้องวางแผนชีวิตให้ดีแล้ว หลายคนมักจะไปหาหมอดูเพื่อให้เขาทำนายหาคำตอบให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก หรือเรื่องธุรกิจ การดูดวงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การอ่านลายมือ การเปิดไพ่ยิปซี การใช้ตัวเลข ฯลฯ ทั้งรูปแบบการดูดวงแบบตัวต่อตัว ดูดวงออนไลน์ทางโทรศัพท์ และการแชร์คลิปลง YouTube ทำนายดวงรายเดือน รายสัปดาห์ หรือรายวัน ที่หลายคนเริ่มทำเป็นธุรกิจขนาดเล็ก SMEs
แต่ข้อกังขาของอาชีพนี้ก็คือ หลายคนไม่คิดว่ารายได้ของอาชีพหมอดูจะถึงขั้นทำเป็นอาชีพได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหมอดูหลายคนที่สร้างรายได้จากการทำอาชีพนี้มากมาย ดึงดูดให้คนอยากเข้ามาทำอาชีพหมอดูมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบันมหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็มีสอนวิชาโหราศาสตร์ เรียนดูดวงให้กับน้อง ๆ มัธยมปลายที่สนใจอีกด้วย
หมอดู หรือที่เราเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘นักพยากรณ์ที่มีความรู้ด้านโหราศาสตร์และการพยากรณ์’ เป็นอาชีพที่ต้องมีคุณสมบัติและใช้ความสามารถเฉพาะตัวเหมือนอาชีพอื่น ๆ ซึ่งหมอดูต้องรู้ เข้าใจ และมีจรรยาบรรณในการดูดวง เรียนรู้ศาสตร์การดูดวงของตัวเอง ไม่หลอกคนดู คุณสมบัติหนึ่งข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับอาชีพหมอดูก็คือ ‘ความแม่น’
คุณสมบัติอื่นที่เหมาะสมของอาชีพหมอดู
- มีความซื่อสัตย์และความยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรม
- มีสามัญสำนึก จริยธรรมสูง
- ชอบช่วยเหลือคนอื่น
- เป็นคนชอบสังเกต รักการเรียนรู้
- มีสมาธิดี โฟกัสอะไรนาน ๆ ได้
- มี EQ สูง มีความมั่นคงทางอารมณ์
ทักษะที่ควรมี
- มีความสามารถในการวิเคราะห์ดวงชะตาตามศาสตร์ต่าง ๆ ที่ตัวเองถนัด
- มีวาทศิลป์ เช่น หากเปิดไพ่ขึ้นมาแล้วไพ่มีความหมายไม่ดี ควรจะพูดอย่างไร
- ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ไม่แนะนำคนไปในทางที่ผิด
- ความคิดเชิงวิพากษ์และตัดสินใจบนพื้นฐานของการใช้เหตุผลและความจริง
- ทักษะทางจิตวิทยาเบื้องต้น เพราะคนที่มาดูดวงส่วนใหญ่มักจะมาด้วยความไม่สบายใจ มีทุกข์
- ทักษะการสร้างแรงจูงใจทางบวก สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี
มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรโหราศาสตร์และการพยากรณ์
- มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น หลักสูตรโหราศาสตร์และการพยากรณ์ (ศึกษาเพิ่มเติมได้ ที่นี่)
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หลักสูตรโหราศาสตร์ (วิชาเลือก)
1. การดูดวงด้วยไพ่
เช่น ไพ่ทาโรต์หรือไพ่ยิบซี คือการพยากรณ์ด้วยไพ่ชนิดเดียวกัน แต่เรียกชื่อคนละแบบ คนไทยมักเรียกไพ่ทาโรต์ว่าไพ่ยิปซี แต่ต่างประเทศจะเรียกไพ่ยิปซีว่าไพ่ทาโรต์ การดูดวงด้วยไพ่จะต้องใช้สมาธิจิตรวมไว้ที่ไพ่โดยให้ไพ่เป็นสื่อกลาง รูปและสัญลักษณ์บนไพ่ที่หยิบได้จะสื่อสารบอกเล่าความหมายและดวงชะตา เรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยหมอดูจะเป็นผู้ทำนายไพ่ที่ถูกหยิบออกมา
2. การดูดวงด้วยโหราศาสตร์ดวงดาว
การทำนายแบบโหราศาสตร์จะมีทั้งแบบโหราศาสตร์ไทย โหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน และโหราศาสตร์ตะวันตก เป็นการทำนายโดยใช้ตำแหน่งดวงดาวจริงบนท้องฟ้า โดยนำวันเดือนปีเวลาสถานที่มาคำนวณตำแหน่งดาวทางดาราศาสตร์รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ มาผูกดวงชะตาและทำนาย โดยสามารถทำนายได้ทุก ๆ วันตามดวงดาวที่เคลื่อนตัว ทุกองศา ทุกลิปดา เพราะเชื่อว่าดวงดาวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนโลกได้
3. การดูดวงทางกายภาพ
หรือสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในการทำนาย เป็นการดูดวงทำนายดวงชะตาจากการดูร่างกาย เช่น ดูลายมือ ลายเท้า โหงวเฮ้ง หรือฮวงจุ้ย หมอดูที่เชี่ยวชาญศาสตร์นี้จะสามารถทำนายดวงโดยใช้ร่องรอย จุดเด่น เช่น ฝ่ามือ ลายมือ ลายเท้า ใบหน้า เพื่อบอกว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ควรทำอะไรถึงจะร่ำรวยเหมาะสมกับพื้นดวงของคนที่มีลักษณะแบบนี้
ตามงานวิจัยชิ้นหนึ่งของนิด้าเผยว่า ความถี่ของการมารับบริการจากหมอดูส่วนใหญ่มารับบริการปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย และคนส่วนใหญ่จะมาดูดวงเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจหรือเจอเรื่องไม่แน่นอน ค่าใช้จ่ายในการไปรับบริการจากหมอดูส่วนใหญ่มีตั้งแต่หลัก 100 ไปจนถึงหลักหมื่น หลักแสน ซึ่งหมอดูหลายคนอาจตั้งราคาดูดวงลงท้ายด้วยตัวเลขมงคล เช่น 59 บาท, 99 บาท, 199 บาท, 500 บาท, 999 บาท ฯลฯ หรือตัวเลขสวย ๆ อื่น ๆ เช่น 789 บาท เป็นต้น นอกจากนี้หากลูกค้าศรัทธาก็จะมีมอบเงินค่าครูให้ตามจิตศรัทธาอีกด้วย
เป็นหมอดูก็ต้องเสียภาษีเหมือนผู้ที่ทำอาชีพอื่น ๆ ถ้าดูดวงแบบไม่ได้เปิดสำนักก็เสียภาษีเงินได้มาตรา 40(2) แต่ถ้าเปิดสำนักชัดเจนก็เป็นภาษีเงินได้ มาตรา 40(8) ดังนี้
1. ธุรกิจดูดวงแบบจัดตั้งบริษัท : เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษี VAT
หากบริษัทมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย เพราะฉะนั้นต้องเสียทั้ง ‘ภาษีเงินได้นิติบุคคล’ และ ‘ภาษี VAT’
2. ธุรกิจดูดวงแบบไม่จัดตั้งบริษัท : เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับธุรกิจที่มีรายได้เกินกว่า 60,000 บาทต่อปี จะต้อง ‘ยื่นแบบภาษี’ แต่ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากรายได้สุทธิไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ทั้งนี้ หากมีรายได้สุทธิ 150,000 บาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษี โดยคำนวณจากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได