การหย่า คือ การสิ้นสุดการสมรสในทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แบ่งสิทธิการเลี้ยงดูบุตรตามสถานะของบิดามารดา ออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
เมื่อบิดามารดาหย่ากัน ต้องมีการตกลงกันเองว่าใครจะเป็นคนเลี้ยงดูบุตรเป็นหลัก หรือจะร่วมกันเลี้ยงดูอย่างไร เช่น การตกลงวันที่จะสลับให้บุตรอยู่กับบิดามารดา หรือหากมีบุตร 2 คน ก็อาจจะแบ่งเลี้ยงดูคนละคน แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องดำเนินการให้ศาลตัดสิน
ในกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ให้ศาลซึ่งพิจารณาคดีฟ้องหย่านั้นชี้ขาดด้วยว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด ในการพิจารณาชี้ขาดถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุที่จะถอนอำนาจปกครองของคู่สมรสนั้นได้ (ตามมาตรา 1582 อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบก็ดี หรือประพฤติชั่วร้าย) ศาลจะถอนอำนาจปกครองของคู่สมรสและสั่งให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ปกครองก็ได้ ทั้งนี้ ให้ศาลคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรนั้นเป็นสำคัญ
ส่วนการตกลงในเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตร ตามมาตรา 1522 ได้ระบุไว้ว่า ถ้าสามีภรรยาหย่าโดยความยินยอม ให้ทำความตกลงกันไว้ในสัญญาหย่าว่าสามีภรรยาทั้งสองฝ่าย หรือสามีหรือภรรยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่ถ้าหย่าโดยคำพิพากษาของศาลหรือในกรณีที่สัญญาหย่ามิได้กำหนดเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไว้ ให้ศาลเป็นผู้กำหนด
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะหย่าด้วยความยินยอมหรือจากคำสั่งศาล พ่อหรือแม่ที่ไม่ได้เป็นฝ่ายได้สิทธิเลี้ยงดูลูก ก็จะยังมีสิทธิตามกฎหมายที่จะติดต่อหรือพบปะลูกได้ตามตกลง ตามมาตรา 1584/1 บิดาหรือมารดาย่อมมีสิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามควรแก่พฤติการณ์ ไม่ว่าบุคคลใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองก็ตาม เช่น ต้องได้เจอลูกสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
หากบุตรเกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และบิดาไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตร กฎหมายจะให้สิทธิ์ทั้งหมดเป็นของมารดาแต่เพียงผู้เดียว เพราะถือเป็นผู้ตั้งครรภ์และให้กำเนิด ดังนั้นมารดาก็จะได้สิทธิเลี้ยงดูลูกทันที หากบิดาต้องการสิทธิเลี้ยงดูบุตรสามารถทำได้ตามนี้
● จดทะเบียนรับรองบุตร โดยต้องไปจดทะเบียนที่อำเภอ/เขต ซึ่งจะต้องได้รับความยินยอมจากมารดาและตัวบุตรเองด้วย
● จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง แบบนี้ตัวบิดาก็จะมีสิทธิเลี้ยงดูลูกด้วย
● ฟ้องศาลเพื่อขอสิทธิเลี้ยงดูบุตร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
*มาตรา 1547 ระบุไว้ว่า เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
กรณีนี้สิทธิเลี้ยงดูลูกจะเป็นของมารดาแต่เพียงผู้เดียว โดยสามารถระบุชื่อมารดาในใบสูจิบัตรได้โดยไม่มีผลต่อการติดต่อราชการใด ๆ แต่หากพบว่ามีการขอหรือเป็นฝ่ายร้องขอให้บิดามารับรองบุตร ก็สามารถเพิ่มชื่อบิดาได้ภายหลัง ซึ่งนายทะเบียนจะออกเป็นใบสูจิบัตรให้ใหม่ แต่ต้องมีหลักฐานการตรวจ DNA ยืนยันความเป็นบิดาที่แท้จริงเท่านั้น
ทั้งนี้ หากมีคำสั่งศาลจากการขอหรือถูกร้องขอให้ตรวจ DNA สามารถทำได้ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 160 แต่ต้องได้รับการยินยอมจากทุกฝ่าย
แหล่งข้อมูล
- สิทธิ์เลี้ยงดูลูกจะอยู่ที่ใคร หากพ่อแม่แยกทางกัน?
- เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน ใครจะเป็นผู้มีสิทธิดูแลลูก