เมื่อไหร่ที่ควรพิจารณาจดทะเบียนบริษัท ?
เมื่อธุรกิจที่ทำอยู่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับรายได้มากขึ้น ซึ่งรายได้ที่มากขึ้นหมายถึงรายได้หลักล้านขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอทุกปี (บ้างก็บอกกว่ามากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี บ้างก็บอกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงรายได้ที่ได้รับ + รายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงที่มีหลักฐานประกอบด้วย ) ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อรายได้มากขึ้นก็ย่อมต้องเสียภาษีมากขึ้น เมื่อถึงสิ้นปีและต้องเสียภาษีเงินได้ หากเราไม่จดทะเบียนบริษัท เราจะถูกคำนวณภาษีแบบเป็นเงินได้บุคคลธรรมดาคือเสียภาษีที่ 35%
แต่หากเราจดทะเบียนบริษัท เราจะถูกคำนวณภาษีแบบเป็นเงินได้นิติบุคคล ที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 20% เท่านั้น (ไม่รวมธุรกิจ SMEs นะ) ยกตัวอย่างเช่น รายได้ต่อปีของนาย A คือ 6,500,000 บาท กรณีที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คิดอัตราภาษี 35% นาย A ต้องเสียภาษี 2,275,000 บาท แต่ถ้าหากจดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล คิดอัตราภาษี 20% นาย A ต้องเสียภาษี 1,300,000 บาท ซึ่งชัดเจนว่าหากนาย A จดทะเบียนบริษัท นาย A ก็จะได้เสียภาษีต่อปีถูกกว่าถึง 975,000 บาทเลยทีเดียว
ดังนั้นหากมองแค่เรื่อง ‘รายได้’ กับ ‘ภาษี’ การจดทะเบียนบริษัทจึงอาจเป็นคำตอบที่ใช่เพราะช่วยเราเซฟเงินได้มากกว่า แต่นอกจากเรื่องรายได้และภาษีแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนที่จะตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทก็คือ ภาพรวมในอนาคตของธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ว่าในอนาคตเราต้องการขยายกิจการธุรกิจของเราให้โตขึ้นไหม เราพร้อมที่จะมีหุ้นส่วนเพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกันไหม และเรามีแผนที่จะกู้สินเชื่อสร้างเครดิตทางบัญชีหรือไม่ ?
การจดทะเบียนบริษัทมีกี่แบบ ?
รูปแบบของการจดทะเบียนบริษัทมีทั้งหมด 2 แบบ ดังนี้
1. จดทะเบียนบริษัทแบบทะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการคนเดียว มีเจ้าของคนเดียว ทำธุรกิจอย่างอิสระด้วยตัวเอง ส่วนธุรกิจที่เข้าข่ายต้องจดทะเบียนพาณิชย์คือธุรกิจค้าขายหรือให้บริการ ไม่ว่าจะทำในนามบุคคลธรรมดาหรือบริษัท ถ้าเริ่มค้าขายอย่างชัดเจนให้ไปจดทะเบียนพาณิชย์ได้เลย
2. จดทะเบียนบริษัทแบบทะเบียนนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2566 กฎหมายได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจที่ต้องการจะจดทะเบียนบริษัทแบบทะเบียนนิติบุคคลมีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (กฎหมายเดิมต้องมี 3 คน) ซึ่งการจดทะเบียนบริษัทแบบทะเบียนนิติบุคคลมีหลายรูปแบบ เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด
ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท (ภายในวันเดียว)
การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ถ้าได้ดำเนินการทุกขั้นตอนดังต่อไปนี้ภายในวันเดียวกับวันที่ผู้เริ่มก่อการจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ กรรมการจะจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนตั้งบริษัทไปพร้อมกันภายในวันเดียวก็ได้
ผู้เกี่ยวข้องในการจดทะเบียนบริษัทมีใครบ้าง
- ผู้เริ่มก่อการ คนที่ต้องการจัดตั้งบริษัท มีหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดตั้งบริษัท (ต้องมีไม่น้อยกว่า 3 คนและต้องเป็นผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 1 หุ้น)
- ผู้ถือหุ้น บุคคลหรือนิติบุคคลที่ถือหุ้นในบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
- กรรมการ บุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้ถือหุ้น เพื่อดำเนินงานใฐานะตัวแทนและมีอำนาจการกระทำแทนบริษัท
สิ่งที่ต้องทำภายในวันเดียวก่อนยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัท
1. จัดทำบริคณห์สนธิ ผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ร่วมกันจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ
2. จัดให้ผู้ซื้อหุ้นครบทุกหุ้น โดยจัดให้ตามจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทจะจดทะเบียน
3 ประชุมจัดตั้งบริษัท (โดยไม่ต้องออกหนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท) เพื่อพิจารณากิจการต่าง ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1108 โดยมีผู้เริ่มก่อการและผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคนเข้าร่วม
ประชุม (มอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนได้) และผู้เริ่มก่อการ และผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคน ให้ความเห็นชอบในกิจการที่ได้ประชุมกันนั้น
4. แต่งตั้งกรรมการ
5. ส่งมอบภารกิจให้กรรมการ ผู้เริ่มก่อการได้มอบกิจการทั้งปวงให้แก่กรรมการบริษัท
6. คณะกรรมการเรียกชำระค่าหุ้น กรรมการได้เรียกให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น ใช้เงินค่าหุ้น โดยจะเรียกครั้งเดียวเต็มมูลค่าหรือไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้นและมูลค่าหุ้นต้องไม่ต่ำกว่า 5 บาท/หุ้น
หมายเหตุ: หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมแล้วจะต้องดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 3 เดือน
การยื่นคำขอจดทะเบียน
1. จองชื่อนิติบุคคล โดยผู้เกี่ยวข้อง
กรณีที่ยื่นคำขอผ่านระบบ e-registration ผู้ใช้งานสามารถจองชื่อนิติบุคคล พร้อมยื่นคำขอจดทะเบียนได้ภายในขั้นตอนเดียว โดยการตั้งชื่อบริษัทคือ ต้องไม่เหมือน คล้าย หรือซ้ำกับนิติบุคคลอื่น ต้องมีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษที่มีความหมายหรือเสียงเรียกขานตรงกับชื่อภาษาไทย สามารถตรวจสอบชื่อบริษัทได้เองผ่าน ระบบจองชื่อนิติบุคคลอัตโนมัติ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
2. เตรียมเอกสารและข้อมูลเพื่อใช้ในการจดทะเบียนบริษัท
เอกสารหลักฐาน ข้อมูลและแบบฟอร์มที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัดมีดังนี้
1. คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด (แบบ บอจ.1)
2. แบบคำรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำกัด
3. หนังสือบริคณห์สนธิ (แบบ บอจ.2) ผนึกอากรแสตมป์ 200 บาท
4. รายการจดทะเบียนจัดตั้ง (แบบ บอจ.3)
5. แบบวัตถุที่ประสงค์ (แบบ ว.)
6. รายละเอียดกรรมการ (แบบ ก.)
7. แบบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคลที่ยังไม่ครบกำหนด
8. หลักฐานให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(ใช้เฉพาะในการประกอบธุรกิจที่มีกฎหมายพิเศษควบคุม เช่น ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กิจการข้อมูลเครดิต บริหารสินทรัพย์ กิจการคลังสินค้า กิจการไซโล
หรือกิจการห้องเย็น)
9. บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5)
10. สำเนาบัญชีรายชื่อผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นหรือผู้รับมอบฉันทะในการประชุมให้ความเห็นชอบในกิจการที่ได้ประชุมจัดตั้งบริษัทพร้อมลายมือชื่อ
11. สำเนารายงานการประชุมตั้งบริษัท
12. สำเนาข้อบังคับผนึกอากร 200 บาท (ถ้ามี)
13. สำเนาหลักฐานการรับชำระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้น
14. กรณีบริษัทจำกัดมีผู้ถือหุ้นเป็นคนต่างด้าวถือหุ้นในบริษัทจำกัดไม่ถึงร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน หรือกรณีบริษัทจำกัดไม่มีคนต่างด้าวเป็นผู้ถือหุ้น แต่คนต่างด้าวเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
หรือร่วมลงนามผูกพันบริษัท ให้ส่งเอกสารหลักฐานที่ธนาคารออกให้ เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินของผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยแต่ละรายประกอบคำขอจดทะเบียน โดยเอกสารดังกล่าวต้องแสดงจำนวนเงินที่สอดคล้องกับจำนวนเงินที่นำมาลงหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย
15. แบบ สสช.1 จำนวน 1 ฉบับ
16. แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และสถานที่สำคัญบริเวณใกล้เคียงโดยสังเขป
17. สำเนาบัตรประจำตัวของผู้เริ่มก่อการและกรรมการทุกคน *ดูหลักเกณฑ์เรื่องบัตรประจำตัว*
18. สำเนาหลักฐานการเป็นผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี) *ดูหลักเกณฑ์การลงลายมือชื่อผู้ขอจดทะเบียน*
19. หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนไม่สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ด้วยตนเองก็มอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนโดยทำหนังสือมอบอำนาจและผนึกอากรแสตมป์ด้วย)
3. ยื่นคำขอจดทะเบียน
ผ่านการ Walk in ได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ
หรือ E-registration ผ่านระบบ DBD e-Registration