1. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว ลงสู่พระครรภ์ของพระพุทธมารดา
2. เมื่ือเสด็จอยู่ในครรภ์แห่งพุทธมารดานั้น ทรงนั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ของพระพุทธมารดา ผันพระพักตร์ออกด้านหน้าของพระพุทธมารดา
3. พระพุทธมารดายืนประสูติ จะไม่นั่งประสูติเหมือนสามัญสัตว์ทั้งปวง
4. ประสูติจากพระครรภ์พระพุทธมารดาในป่าเท่านั้น (ไม่ประสูติในเมือง หรือ ในอาคารบ้านเรือน)
5. เมื่อประสูติแล้ว จะวางพระบาทลงบนแผ่นทอง (ที่เทวดามารองรับ) ผันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ย่างพระบาท 7 ก้าว เหลือบแลดูทั้ง 4 ทิศ แล้วเปล่งสีหนาทว่า
“เราเป็นผู้เลิศในโลก
เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี”
6. เมื่อพระองค์ทรงวัฒนาเจริญขึ้น สมควรแก่การราชาภิเษกแล้ว พระองค์เสวยสิริราชสมบัติอยู่ตราบเท่าจนเห็นจตุนิมิตร ๔ ประการ คือ
1.) เห็นคนแก่
2.) เห็นคนป่วย
3.) เห็นคนตาย
4.) เห็นเพศบรรพชิต
เมื่อพระองค์เห็นนิมิตร 4 ประการฉะนี้แล้ว เมื่อทรงเห็นพระราชโอรสที่ประสูติจากครรภ์เมื่อใด พระองค์จึงเสด็จออกบวชเมื่อนั้น
7. ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ผนวช (ไม่ใช่มีเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างอื่น) แล้วทรงบำเพ็ญเพียรอย่างต่ำที่สุด 7 วันจึงจะได้ตรัสรู้ (ไม่ตรัสรู้ก่อน 7 วันนับจากทรงผนวช)
8. เสวยข้าวมธุปายาส ในเช้าวันที่จะทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ
9. เมื่อได้ประทับนั่งเหนือเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้าแล้ว จึงบรรลุพระธรรม
10. เมื่อทรงนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ร่มไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ ทรงบริกรรมอานาปานสติกัมมัฏฐานเป็นเบื้องต้นในการที่จะได้ตรัสรู้ พิจารณาลมอัสสาสะปัสสาสะ
11. ทรงกำจัดกองกำลังของมารให้พ่ายแพ้หนี ด้วยพระสมตึงสบารมีโยธาทั้ง 30 ทัส
12. ทรงได้บรรลุธรรมที่ไม่มีผู้ใดสามารถมีได้ทำได้เสมอเหมือน (มีได้เฉพาะพระพุทธเจ้า) ตั้งแต่วิชชา 3 เป็นต้นไป
คือ ปุพเพนิวาสญาณ ทิพพโสตญาณ ทิพพจักขุญาณ ก่อนแล้วจึงได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ อันประดับด้วยคุณ มี อสาธารณญาณ เป็นต้น ณ โพธิบัลลังก์คือสถานที่ตรัสรู้นั้นเท่านั้น (คือบรรลุเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งหมด ณ ที่นั้น)
13. หลังจากตรัสรู้แล้วจะประทับเสวยวิมุตติสุข ณ บริเวณสถานที่ตรัสรู้ 7 แห่ง ๆ ละ 7 วัน
14. เมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงดำริ จะไม่ตรัสแสดงธรรมเทศนา จนเมื่อท้าวสหบดีพรหมลงมาอาราธนา เพื่อให้ทรงแสดงธรรม
15. ทรงประกาศปฐมธรรมเทศนา พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
16. ในวันมาฆบูรณมี วันเพ็ญเดือน 3 ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ณ ที่ประชุมบริษัทมีองค์ ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
17. จะประทับอยู่ประจำ ณ ที่พระวิหารเชตวัน ถึงเวลาอรุณจะใกล้ขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมเสด็จมาสู่พระเชตวัน เพื่อมารับอรุณในพระเชตวัน
18. ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ เพื่อทรมานเดียรถีย์ ณ ต้นไม้คัณฑามพฤกษ์ ใกล้ประตูกรุงสาวัตถี
19. เสด็จขึ้นไปจำพรรษาในดาวดึงสเทวโลก ตรัสธรรมเทศนา พระอภิธรรม ทั้ง 7 พระคัมภีร์ เพื่อสนองพระคุณแห่งพระพุทธมารดา
20. เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยบันไดแก้ว แล้วลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร
21. ทรงเข้าผลสมาบัติต่อเนื่องกัน ทุกทิวาราตรี
22. ทรงตรวจดูสัตว์โลกที่ที่มีวาสนาบารมีแก่กล้า เพื่อจะพึงเสด็จไปโปรดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
23. เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นสมควรต่อการบัญญัติสิกขาบท จึงทรงบัญญัติสิกขาบท
24. เมื่อเหตุการณ์สมควรจะตรัสเทศนาพระชาติชาดก จึงตรัสชาดก
25. ตรัสแสดงเรื่องพุทธวงศ์ ในที่ประชุมแห่งพระประยูรญาติ
26. เมื่อมีภิกษุอาคันตุกะมาเข้าเฝ้า จะทรงทำปฏิสันถารต้อนรับด้วยพระองค์เอง
27. เมื่อพระพุทธองค์ได้รับนิมนต์ให้จำพรรษา ณ ที่ใด ก่อนจากไป ก็จะต้องบอกผู้รับนิมนต์นั้นก่อนเสมอ
28. ทรงทำกิจ 5 (คือ หน้าที่ของพระพุทธเจ้า) 5 เวลา คือ บิณฑบาต, แสดงธรรม, ประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ, ตอบปัญหาเทวดา, ทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่ ทุกวันมิได้ขาด
29. เสวยรสมังสะ ในวันปรินิพพาน
30. ทรงเข้าสมาบัติ ยี่สิบสี่แสนโกฏิสมาบัติ แล้วจึงปรินิพพาน