เราอาจคุ้นตากันมามากแล้วกับหนังหรือซีรี่ส์แนวแข่งขัน เล่นเกมเพื่อเอาชีวิตรอด ที่มีการเดิมพันรางวัลของผู้ชนะเป็นเงินจำนวนมหาศาล หรือชีวิตของผู้เข้าร่วม แน่นอนว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังแนวนี้นั้นมีความตื่นเต้นลุ้นระทึก น่าติดตาม ถูกใจหลายคนที่ชอบแนวระทึกขวัญ สยองขวัญ หรือแนวใช้สมอง หักเหลี่ยมเฉือนคมกันอยู่ไม่น้อย
Squid Game ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มาในธีมเกมเอาตัวรอด โดยผู้กำกับชาวเกาหลี ฮวังดงฮยอก ผู้ฝากผลงานดี ๆ มาหลายเรื่องอย่าง Silenced (2011),The Fortress (2017) ฯลฯ โดยเน้นการตีแผ่ด้านมืดในจิตใจมนุษย์ ที่ถูกกดทับและบีบคั้นด้วยระบบทุนนิยมในสังคมปัจจุบัน และผสมผสานเกมการละเล่นชองเด็กจากวัฒนธรรมเกาหลี นำมาดัดแปลงเป็นเกมการแข่งขันที่เดิมพันกันด้วยชีวิต
ซองกีฮุน ชายติดพนันที่ใช้ชีวิตอย่างล้มเหลว ทำตัวสำมะเลเทเมาไปวัน ๆ ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมเล่นเกมเดินพันชีวิต แลกกับเงินรางวัลมหาศาล โดยที่ต้องแข่งขันกับผู้เข้าร่วมอีกสี่ร้อยกว่าชีวิต ทุกคนต่างก็มีปัญหาและภาระหนี้สินที่มีเหตุให้ต้องการเงินจำนวนมาก รวมทั้งหมด 6 เกมด้วยกัน ซึ่งเกมเหล่านี้ก็ดัดแปลงมาจากเกมการละเล่นพื้นบ้านของเกาหลีที่เด็ก ๆ ชอบเล่นกัน เพียงแต่หากพ่ายแพ้ในเกมคราวนี้ นั่นหมายถึงชีวิตของคุณที่ต้องจบลง
ถ้าเทียบกับหนังแนวเล่นเกมเอาชีวิตรอดเรื่องอื่น ๆ Squid Game นั้นถือว่าค่อนข้างเน้นไปทางการติดตามพื้นเพของตัวละครแต่ละตัว เล่าเรื่องราวชีวิต ความเป็นมา สาเหตุที่ทำให้ต้องมาเข้าร่วมเกม ซึ่งสะท้อนถึงสังคมทุนนิยมในเกาหลีที่กดทับคนเหล่านี้อยู่ แม้จะเน้นเนื้อด้านดราม่ามากกว่าการที่ตัวเอกจะเก่งแบบเทพ ๆ ใช้มันสมองหาช่องโหว่ของระบบเพื่อ เอาชนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการนำเสนอ วางบท พลอตต่าง ๆ ถูกปูมาได้น่าสนุกมาก จนเมื่อเริ่มดูแล้วจะไม่อยากหยุดจนกว่าจะรวดเดียวจบ 9 ตอนเลยจริง ๆ
ต้องบอกก่อนเลยว่าตัวหนังถือว่าภาพที่ค่อนข้างรุนแรง มีฉากนองเลือดเละเทะอยู่พอสมควร อาจไม่เหมาะกับเด็กหรือคนที่ไม่ชอบอะไรแนวนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่หวั่นและชอบแนวลุ้นระทึกตื่นเต้นชนิดที่หยุดดูไม่ได้ นี่ถือเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว นอกจากนั้นหนังยังเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของคน ดราม่าสไตล์เกาหลีหน่อย ๆ มีจำนวนทั้งหมด 9 ตอน ไม่ยาวจนเกินไป แค่วันสองวันก็ไล่ดูจนจบได้แล้ว