“ผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้นย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ"
นี่คือคำกล่าวของพระพุทธเจ้าในการเลือกคู่ครองชีวิตที่เราเรียกรวม ๆ ว่า ‘คู่แท้’ นั้นจะต้องดูที่ศีลเสมอกันไหม แต่หลายคนก็จะสงสัยว่าศีลเสมอกันคืออะไร ? ต้องรักษาศีลเหมือนกันแบบนี้หรือเปล่า ซึ่งความจริงมันก็ใช่ คนสมัยก่อนเลือกคนที่ศีลเสมอกันเป็นคู่ครอง เช่น คนที่รักษาศีลจะรู้จักยับยั้งชั่งใจพากันไปสู่สิ่งที่ดีงาม สร้างชีวิตครอบครัวให้มีความสุข ซึ่งคนที่ศีลเสมอกันดูง่าย ๆ คือ ชวนกันทำแต่ความดี ชีวิตย่อมเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน ไม่มีใครฉุดดึงชีวิตอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่กับคนที่ศีลไม่เสมอกันคืออีกคนที่ชอบทำบุญ รักษาศีล แต่อีกคนไม่รักษาศีล หรือรักษาศีลน้อยกว่า ชอบการพนัน นอกใจ ตกเย็นก็เมาหัวราน้ำ ก็ย่อมทำให้มีเรื่องทะเลาะกันเนื่องจากทั้งสองคนมีศีลไม่เสมอกันก็เป็นเรื่องยากที่จะอยู่ด้วยกันได้
ปัจจุบันนี้คำว่าศีลเสมอกันได้ถูกนำมาตีความให้เข้าใจง่ายตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และไม่จำกัดวงอยู่แค่การรักษาศีล คำว่าศีลเสมอกันในยุคนี้จึงหมายถึง คนสองคนที่มีมาตรฐานในเรื่องต่าง ๆ เท่า ๆ กัน มีความคิดเรื่องความดีความชั่วเสมอกัน ดังนี้
• มีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งเดียวกัน
• มีมุมมองในเรื่องต่าง ๆ คล้ายกัน
• มีความชอบและรสนิยมตรงกัน
• รักษาศีลเสมอกัน ไม่ต่ำไม่สูงไปกว่ากัน
• มีจาคะเสมอกัน เป็นคนใจกว้าง แบ่งปันไม่มากหรือน้อยไปกว่ากัน
• มีความรู้ ปัญญา ความเชี่ยวชาญที่เกื้อหนุนกันและกันได้
เราทุกคนรู้ว่าคนจะเป็นคู่กัน เป็นเพื่อนกัน แค่ความรักมันไม่พอ เมื่อเราจะเลือกใครสักคนเข้ามาในชีวิต เราก็อยากจะเลือกคนที่พร้อมจะลุยชีวิตไปกับเรา อยู่ข้าง ๆ กัน คอยซัพพอร์ตกัน ยอมรับข้อเสียของเราได้ เราจะได้ไม่ต้องนั่งเกร็งตูด ประดิษฐ์ตัวเอง ยามมีปัญหาก็ไม่หนีหายให้เราต้องสู้เพียงลำพัง มีความสุขไปด้วยกัน ดังนั้นคำว่าศีลไม่เสมอกันจึงไม่ใช่ความหมายว่า ใครดี ใครเลว ใครถูก ใครผิด (เพราะคนไม่ดีคบกับคนไม่ดีก็แปลว่าพวกเขาศีลเสมอกัน) แต่หมายถึงมาตรฐานในเรื่องต่าง ๆ เท่ากันไหม มีความคิดไปในทางเดียวกัน เข้าใจสิ่งที่เห็นแล้วตีความหมายตรงกัน ยกตัวอย่างได้ดังนี้
มีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งเดียวกัน
บางคนรักกันมากแต่มีความเชื่อคนละชุดจากการถูกเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน เช่น เรื่องงานบ้าน ผู้ชายบางคนมีความเชื่อว่า ‘งานบ้านเป็นของผู้หญิง’ แต่ผู้หญิงบางคนก็อาจคิดว่านี่มันสมัยไหนแล้ว ผู้หญิงไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานบ้านอย่างเดียว คนที่รักสะอาดมาก ๆ ตอนเเรกอาจจะรักแฟนมาก คิดว่าตัวเองทำไหว เเต่พอเริ่มใช้ชีวิตด้วยกัน เราต้องทำงานบ้านทั้งของเราและของเขา งานบ้านเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หากมีลูกหรือมีสัตว์เลี้ยง ต่อให้เราชอบทำงานบ้านแค่ไหน มันก็ต้องมีจุดที่เราเหนื่อยเเล้วเผลอคิดว่าทำไมอีกคนไม่ช่วยเลย ทำไมเอาเปรียบเรา เเต่จริง ๆ เเล้วความเชื่อเรื่องงานบ้านเป็นของผู้หญิงที่มันฝังอยู่ในหัวของผู้ชายต่างหากที่เป็นปัญหา ซึ่งถ้าเราเจอคนที่ศีลเสมอกัน เขาก็จะมองเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกับเรา นั่นก็คืองานบ้านเป็นเรื่องของทุกคนและทุกเพศ
มีมุมมองในเรื่องต่าง ๆ คล้ายกัน
เคยเจอบางคู่ที่ไปด้วยกันไม่ได้ อย่างเรื่องไม่กินเนื้อ เนื่องจากคนหนึ่งเป็นวีแกน แต่อีกคนไม่เป็นวีแกน แม้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นวีแกนเต็มตัวเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็ไม่รอดเพราะน้องแมว การเลี้ยงสัตว์มันขัดต่อหลักของวีแกนที่จะไม่ไปเบียดเบียนเป็นเจ้าของชีวิตสัตว์ตัวไหน และแมวเป็นสัตว์ที่ไล่ล่าสัตว์อื่น เช่น นก หนู แถมยังกินเนื้ออีก ทำให้คนที่เป็นวีแกนบอกให้แฟนเลือกระหว่างเธอกับแมว หรือบางคนมีมุมมองต่อสิ่งแวดล้อมที่มุ่งมั่น แยกขยะในบ้าน แต่แฟนเป็นคนไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย มันก็ยากก็จะไปด้วยกันได้ ปัญหาที่คนสองคนมีมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ไม่ตรงกัน นำมาซึ่งปรัชญาและรูปแบบในการใช้ชีวิตที่สวนทางกันได้
แบ่งปันได้ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน
คือการมีจาคะเท่ากันนั่นเอง คำว่า ‘จาคะ’ หมายถึง การสละสิ่งของและความสุขส่วนตัวเพื่อผู้อื่นได้ ดังนั้นคนที่มีจาคะย่อมเสียสละเพื่อส่วนรวมเมื่อเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากหรือสังคมวุ่นวาย พวกเขาจะคอยให้ความช่วยเหลือผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากคู่ของเรามีจาคะไม่เสมอกันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงต้องไปช่วยเหลือคนอื่นขนาดนั้น เพราะบางคนก็แค่ใช้ชีวิตเอาตัวเองให้รอดก็เพียงพอ ดังนั้นหากเราเลือกแฟนที่มีจาคะเสมอกัน มีน้ำใจได้ไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่ากัน สามารถช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนได้เหมือน ๆ กันทั้งคู่ก็จะคบกันได้ยาวนาน
มีความชอบและรสนิยมตรงกัน
บางคู่มีความชอบไม่เหมือนกันอย่างใหญ่หลวงจนกลายเป็นปัญหาให้เลิกกันได้ เช่น ผู้หญิงชอบท่องเที่ยวมาก ชีวิตของเธอมีความสุขที่สุดเมื่อได้ไปท่องโลก แต่เธอไปคบผู้ชายที่เชื่อว่าการเก็บเงินคือความมั่งคั่งในชีวิตเพื่อชีวิตบั้นปลายจะได้สบาย ทำให้ทุกครั้งที่ผู้หญิงชวนผู้ชายไปเที่ยวต่างประเทศ ผู้ชายก็จะปฏิเสธตลอด เนื่องจากรสนิยมไม่เหมือนกันอย่างแรง เมื่อปรัชญาการใช้ชีวิตแตกต่างกันมันก็ทำให้ไปด้วยกันได้ยาก ในเมื่อความสุขของอีกคนไม่เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
สุดท้ายหากดูแล้วไม่มีคนที่ศีลเสมอกันกับเราเลย พระท่านบอกว่าให้เลือกเดินคนเดียวเพราะหากเราไปคบคนที่ศีลไม่เสมอกัน ต่ำกว่าหรือสูงกว่าในขณะที่เราไม่มีสติ เราก็อาจจะไปซึบซับสิ่งที่ไม่ดีจากอีกคนเข้าหาตัวเองได้ หรือใจเราก็อาจจะป่วยพัง ดังนั้นพระท่านจึงบอกอีกว่า คบคนอย่างไร เราจะกลายเป็นคนแบบนั้นไปด้วย หากไม่มีใครแมทช์ศีลของเราในตอนนี้ก็จงเดินคนเดียวแล้วมีสติเป็นเพื่อน จนกว่าจะเจอคนที่ศีลเสมอกันพอดี
บทความที่เกี่ยวข้อง
• 5 บทเรียนราคาแพง ‘ความรักก็เหมือนผีเสื้อ’ จากซีรีส์ Nevertheless
• คนนี้คือคนที่ใช่หรือเปล่า วิธีพิสูจน์คู่แท้แบบวิทยาศาสตร์
• ระหว่าง 'สมอง' กับ 'หัวใจ' ใช้อะไรในการตัดสินใจถึงจะดีที่สุด
• Imago Theory ทฤษฎีที่จะตอบได้ว่าทำไมถึงตกหลุมรักคนนิสัยเดิม ๆ
• สบตาเธอแล้วโลกหยุดหมุน รักแรกพบมีจริงหรือแค่คิดไปเอง
• ‘เขาชอบเราจริงไหม’ หรือแค่หาคนคุยแก้เบื่อ
• รู้จักรูปแบบของความผูกพัน เรามีความสัมพันธ์แบบไหนกับคนรอบข้าง
• เรากำลังมีความรัก มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่หรือเปล่า ?
• รู้จักอาการคลั่งรัก ‘Limerence’ คุณกำลังคลั่งรักใครอยู่หรือเปล่า
• จีบกันยังไงดี ในช่วง COVID-19 ที่ต้องใช้ชีวิตแบบ Social Distancing
• ทำไมสาวเปิ่น ๆ โก๊ะ ๆ ถึงได้ใจพระเอกซีรีส์เกาหลี
แหล่งข้อมูล