วรรณกรรมเด็กชื่อดัง เรื่อง “Winnie the Pooh” (วินนี่เดอะพูห์) เป็นวรรณกรรมชื่อดังที่ถูกแต่งขึ้นโดยนักเขียนชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Alan Alexander Milne หรือ A. A. MILNE (เอ. เอ. มิลน์) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากลูกชายของเขาเองที่ชื่อว่า Christopher Robin (คริสโตเฟอร์ โรบิน) เราจะเห็นว่า คริสโตเฟอร์ โรบิน ในการ์ตูนนั้น จะเป็นเด็กผู้ชายที่มีความน่ารักสดใส มองโลกในแง่ดี กล้าหาญ ชอบช่วยเหลือเพื่อน ๆ และเป็นเพื่อนรักของหมีพูห์ แต่ในชีวิตจริงของคริสโตเฟอร์ โรบิน กลับไม่ได้สวยงามเหมือนเบื้องหน้าที่เราได้เห็นกันเท่าไหร่นัก
เอ. เอ. มิลน์ นั้นมีอาการป่วยเป็นโรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรืออาการเครียดหลังเจอเหตุการณ์สะเทือนใจจากการเข้าร่วมรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับภาพหลายอย่างที่เคยเห็นในสงคราม ทำให้เกิดภาพหลอนจากตอนเข้าร่วมรบในสงครามที่คอยหลอกหลอนทำร้ายเขาอยู่เสมอ มิลน์ยอมรับว่าเขาฝันร้ายแทบทุกคืน และมีอาการทางประสาทอยู่บ่อยครั้ง เขาเคยเขียนระบายเอาไว้ว่า “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะกลับมาเป็นปกติ เป็นคนก่อนหน้าที่จะไปสงครามได้ จิตวิญญาณของผมป่วยและถูกทำลายเสียแล้ว”
พ่อแม่ของคริสโตเฟอร์ โรบิน หวังอยากจะได้ลูกสาวมาโดยตลอด ถึงขั้นที่ว่าระหว่างที่ “เดฟนี่ เดอ เซลินคอร์ท” แม่ของคริสโตเฟอร์ตั้งท้องนั้น ก็ได้ตั้งชื่อลูกเอาไว้รอแล้ว และพวกเขาได้ตั้งชื่อว่า “โรสแมรี่” จนกระทั่งวันที่ 21 สิงหาคม 1920 วันที่คริสโตเฟอร์ โรบิน ได้ถือกำเนิดลืมตาดูโลกขึ้นมาและพบว่าเขาเป็นผู้ชาย จึงทำให้ทั้งคู่รู้สึกผิดหวังมาก แม้แต่ตอนที่คริสโตเฟอร์โตขึ้น เขาก็ยังถูกจับแต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิง และยังไว้ผมยาวให้ดูหน้าตาน่ารักอีกด้วย
หลังผ่านเหตุการณ์สงคราม มิลน์ได้เริ่มเขียนนิยายโดยใช้ลูกชายและตุ๊กตาของเขาเป็นต้นแบบในการเขียน มีตัวละครหลักคือ ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชื่อว่า “เอ็ดวาร์ด” ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “วินนี่” ตามชื่อหมีที่ไปเจอตอนไปเที่ยวสวนสัตว์ และใช้ป่า Ashdown ที่คริสโตเฟอร์ชอบวิ่งเล่นมาเป็นสถานที่ต้นแบบในการเขียน โดยใช้ชื่อป่าว่า “ป่าร้อยเอเคอร์” ตามที่เรารู้จักกัน
เรื่องราวในหนังสือกับชีวิตจริงของคริสโตเฟอร์ โรบิน นั้นสวนทางกันมาก คริสโตเฟอร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า “แม่เล่าให้พ่อฟังว่าผมชอบเล่นกับตุ๊กตาหมี พ่อก็เลยจินตนาการถึงวินนี่เดอะพูห์ เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าลูกชายจริง ๆ เป็นอย่างไร คริสโตเฟอร์ โรบิน ในหนังสือเป็นเพียงลูกชายในฝันที่พ่อสร้างขึ้นมาเท่านั้น ไม่ใช่ตัวผมจริง ๆ” ในวัยเด็กพ่อและแม่ของเขาไม่ค่อยสนใจเขาสักเท่าไหร่ คริสโตเฟอร์เติบโตขึ้นมากับ “โอลีฟ แรนด์” พี่เลี้ยงที่พ่อแม่ของเขาจ้างให้มาช่วยดูแล ในช่วง 8 ปีแรกของชีวิต เขาแทบไม่ได้อยู่ห่างจากพี่เลี้ยงคนนี้เลย และเขายังเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยพูดถึงพี่เลี้ยงของเขาอีกว่า “แรนด์เหมือนเป็นพ่อแม่ของผมมากกว่า”
วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง Winnie the Pooh ได้รับความนิยมและโด่งดังอย่างรวดเร็ว โดยเล่มแรกขายได้มากกว่า 50,000 เล่ม ภายในระยะเวลาเพียง 8 อาทิตย์เท่านั้น จึงทำให้คริสโตเฟอร์ โรบิน ในวัยเพียงแค่ 4 ขวบ กลายเป็นเด็กที่มีชื่อเสียงจนใคร ๆ ก็รู้จักกันไปทั่ว และมีแฟนคลับมากมายที่อยากพบเจอคริสโตเฟอร์ โรบินตัวจริง จนทำให้มิลน์เริ่มต้นตัดสินใจพาลูกชายของเขาไปทัวร์แจกลายเซ็นให้แฟนคลับ ไม่ใช่แค่นั้น เพราะคริสโตเฟอร์ยังต้องโดนถ่ายภาพจากสื่อต่าง ๆ รวมถึงต้องทำท่าทางเหมือนที่พ่อบรรยายไว้ในหนังสือ ร้องเพลงที่พ่อของเขาแต่งต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งในช่วงแรก ๆ คริสโตเฟอร์ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายและมีความสุขดี แต่เมื่อเขาอายุมากขึ้นก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาอยู่ภายใต้ความกดดันจากสังคมมากเกินไปถ้าเทียบกับเด็กวัยแบบเขา ทุกคนต่างตั้งความหวังให้เขาเป็นแบบในหนังสือ จนเริ่มส่งผลกระทบกับชีวิตของเขามากขึ้น เมื่อคริสโตเฟอร์ โรบิน อายุได้ 9 ขวบ พ่อของเขาก็เลิกพาไปออกทัวร์ เพราะมีความรู้สึกสงสารลูกที่ออกสื่อมากเกินไป และกลัวจะทำให้เขามีปัญหากับชีวิต
การที่คริสโตเฟอร์ โรบิน มีชื่อเสียงขึ้นมา ก็ทำให้เกิดผลกระทบกับเขาจริง ๆ เพราะเขาถูกเพื่อนร่วมชั้นข่มขู่ ล้อเลียน และทุบตีทำร้าย ด้วยเหตุผลที่เกิดจากความอิจฉา อีกทั้งลักษณะการแต่งกายและนิสัยของเขาที่คล้ายเด็กผู้หญิง ซึ่งเกิดจากที่พ่อแม่ของเขาปลูกฝังเอาไว้เพราะอยากได้ลูกสาว และยังล้อถึงตุ๊กตาหมีของเขาว่า “ตุ๊กตาหมีของนายไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เพื่อนบางคนก็เอาหนังสือเสียงที่คริสโตเฟอร์อัดไว้ มาเปิดล้อเลียนเขา ยิ่งไปกว่านั้นบางคนก้ลามล้อไปจนถึงพ่อของเขาด้วย เขาถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ซ้ำ ๆ ต่อเนื่องจนถึงอายุ 13 ปี ซึ่งเขาตัดสินใจไปเรียนชกมวยเพื่อปกป้องตัวเอง
คริสโตเฟอร์ โรบิน รู้สึกเกลียดพ่อมากที่ทำลายชีวิตของเขา เขารู้สึกแย่มากกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา คริสโตเฟอร์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ผมกลายเป็นคนดัง ชื่อของผมถูกพูดถึงไปทั่วโลก แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งมันทำให้ผมเศร้ามากที่ต้องเกิดมาเป็นลูกชายของพ่อ พ่อหลอกใช้ผมตั้งแต่ยังเป็นทารก เอาชื่อของผมไปใช้และไม่หลงเหลืออะไรไว้ให้ผมเลย” หลายครั้งที่เขาถูกถามถึงประวัติชีวิตและเรื่องราวต่าง ๆ คริสโตเฟอร์บอกว่าเขารำคาญมากที่ต้องทำลายความรู้สึกของผู้คน เพียงเพราะชีวิตจริงของเขาไม่ได้เป็นอย่างในหนังสือ
คริสโตเฟอร์ โรบิน ได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ตัดสินใจแต่งงานกับ “เลสลี่ย์ เดอ เซลินคอร์ท” ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง เลสลี่ย์เป็นลูกสาวของลุงของเขา (พี่ชายของแม่) แน่นอนว่าทุกคนในครอบครัวนั้นไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทั้งคู่ตัดสินใจ พ่อของเขาคัดค้านอย่างหนักที่ลูกชายจะแต่งงานกับคนในสายเลือดเดียวกัน และแม่ของเขาก็โกรธมากเนื่องจากเธอไม่ได้คุยกับพี่ชายมานานกว่า 30 ปีแล้ว และเลสลี่ย์ก็เป็นคนที่แม่ของเขาเกลียดมากอีกด้วย ทั้งคู่จึงแต่งงานกันโดยที่ยอมตัดขาดจากญาติพี่น้องทั้งหมด และย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยกัน โดยคริสโตเฟอร์เคยบอกเอาไว้ว่า “ผมอยากหนีออกไปจากชื่อเสียงของพ่อ และอยากหนีออกจากความเป็นคริสโตเฟอร์ โรบินด้วย”
การที่คริสโตเฟอร์ โรบิน แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง ซึ่งมี DNA ที่ใกล้เคียงกันมากเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะลูกสาวของทั้งคู่เกิดมาพร้อมกับโรคสมองพิการอย่างรุนแรง เธอเดินไม่ได้และต้องการพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชม. ก่อนลูกของเขาจะคลอด เขาได้ปฏิเสธไม่ยอมรับเงินทองของผู้เป็นพ่อเลย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จึงทำให้คริสโตเฟอร์หมดทางเลือกและต้องยอมติดต่อกับทางครอบครัวของเขาเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือจากพ่อมาดูแลลูกสาวเพราะจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก จนกระทั่งมิลน์เสียชีวิตลง เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับแม่ของเขาอีกเลย เพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่พังจนเกินจะเยียวยาได้ จนกระทั่งวาระสุดท้ายของแม่ คริสโตเฟอร์พยายามติดต่อและขอร้องให้เจอกันเป็นครั้งสุดท้าย แต่แม่ของเขายังยืนกรานว่าไม่อยากเห็นหน้าลูกชายอีก แม้แต่ช่วงเวลาใกล้ตายก็ไม่ยอมให้คริสโตเฟอร์ใกล้ชิด
คริสโตเฟอร์ได้ทิ้งตุ๊กตาหมีตัวโปรดและตุ๊กตาสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อของเขาเขียนเรื่องวินนี่เดอะพูห์ไป หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต เขาก็ได้ยกลิขสิทธิ์ทั้งหมดให้กับสำนักพิมพ์ รวมถึงตุ๊กตาที่เขารักมาก ๆ ด้วย หลังจากนั้น 40 ปีต่อมา คริสโตเฟอร์ โรบิน ในช่วงวัย 60 ปี ได้กล่าวไว้ว่า เขาสามารถเปิดหนังสือ Winnie the Pooh ได้โดยไม่รู้สึกแย่กับมันแล้ว และเริ่มปรากฎตัวกับสื่ออีกครั้ง สำนักพิมพ์ได้เสนอจะคืนตุ๊กตาให้กับเขา แต่เขาปฏิเสธ และขอบริจาคให้กับห้องสมุดนิวยอร์กแทน เขาได้เขียนสุนทรพจน์เอาไว้ว่า “ผมอยากมีความสุขกับปัจจุบัน ไม่ใช่หลงอยู่กับอดีตเมื่อหลายปีก่อน” ซึ่งตุ๊กตาสัตว์ที่เป็นต้นแบบเหล่านั้นก็ยังมีจัดแสดงอยู่ในปัจจุบัน คริสโตเฟอร์ได้เสียชีวิตลงวันที่ 20 เมษายน 1996 ด้วยวัย 75 ปี
แม้ว่า “วินนี่เดอะพูห์” จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนบางกลุ่ม แต่มันก็ทำให้เด็ก ๆ ทั่วโลกนั้นได้มีความสุข และมันยังเป็นแบบนั้นต่อไป ในปัจจุบันนอกจากจะมีหนังสือและการ์ตูนวินนี่เดอะพูห์ให้ได้อ่าน ได้รับชมกันแล้ว ยังมีภาพยนตร์เกี่ยวกับวินนี่เดอะพูห์และคริสโตเฟอร์โรบินให้ได้ดูกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “Christopher Robin” ที่บอกเล่าเรื่องราวของคริสโตเฟอร์ โรบินในวัยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือจะเป็นเรื่อง “Goodbye Christopher Robin” ซึ่งเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของคริสโตเฟอร์ โรบิน ที่นำเสนอออกมาได้ครบรสทั้งสนุกและเศร้า ชวนน่าติดตามไปพร้อมกันเลย
บทความที่เกี่ยวข้อง
• 6 งานศิลปะและดีไซน์ที่เกิดจากความสิ้นหวังแต่ส่งพลังให้คนรุ่นใหม่
• ความตลกร้ายของวัฒนธรรมการข่มขืนในนิยายรักวัยรุ่น
• วิเคราะห์ชีวิตของ “มารี อ็องตัวเนตต์” ราชินีแห่งฝรั่งเศส แย่จริง หรือ แค่แพะ ?
• “เมดูซ่า” เหยื่อของอำนาจทางเพศที่ถูกมองข้าม
• “วันทอง” หญิงปากร้ายยืนหนึ่งแห่งเมืองสุพรรณ
• เรื่องราวของ “กามนิต” (ภาคพื้นดิน)
• เรื่องราวเบื้องหลังสุดเจ๋งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนจากซีรีส์เกาหลีในดวงใจ
• Lucid Dream เมื่อคนเราควบคุมความฝันตัวเองได้
• 5 ปัญหาของเด็กไทยที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ “เด็กใหม่” Girl From Nowhere ซีซั่น 2
แหล่งข้อมูล
- 10 เรื่องจริงสุดดราม่าของคริสโตเฟอร์ โรบิน ตัวละครเอกจากวรรณกรรมเด็กชื่อดัง วินนี่เดอะพูห์
- ต้นแบบการ์ตูนหมีพูห์: ประวัติ คริสโตเฟอร์ โรบิน กับชีวิตจริงนอกนอกป่าร้อยเอเคอร์