ในแต่ละวันเราเป็นทุกข์ ไม่มีความสุขเพราะความคิดของตัวเองวันละกี่ครั้ง ?

ในอดีตเชื่อกันว่ามีเพียงความเชื่อ ความศรัทธา ค่านิยม และศาสนาเท่านั้นที่จะทําให้ชีวิตคนเปลี่ยนแปลงได้ 200 กว่าปีที่ผ่านมามนุษย์ตระหนักว่า เทคโนโลยีต่างหากคือตัวการสําคัญที่ทําให้ชีวิตไม่เหมือนเดิม ยุคสมัยที่เราอาศัยและหายใจอยู่นี้มันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากหน้ามือเป็นหลังมือและปั่นป่วน หรือที่เราเรียกว่า Digital Disruption โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีก 40 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ มักมาจากเทคโนโลยี (เช่น Google Facebook และ Instagram) ทําให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนับเป็นนาที ชนิดที่ว่าหากสังคมใดที่ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทันก็มีโอกาสถูกทิ้งไปแบบไม่เห็นฝุ่น การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเทคโนโลยีที่รวดเร็วนี้ ส่งผลให้วิธีการคิด การเรียน เป้าหมายการใช้ชีวิตของเราต้องเปลี่ยนไปตาม เช่น สิ่งที่เราเรียน ๆ กันอยู่ในตอนนี้อาจใช้ไม่ได้แล้วในอนาคตก็ได้ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนจะรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมาก ฉันตามไม่ทันแล้วโกโก้และรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาดื้อ ๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร เมื่ออดคิดไม่ได้ว่าสักวันอาจจะเป็นตัวเราเองที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในอนาคต 

ถ้าไม่อยากถูกการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคนี้ทำร้าย เราต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงประหนึ่งเป็นเพื่อนซี้

คนตกงานเป็นเบือ สถิติมากมายเผยว่าเด็กไทยจบปริญญาว่างงานมากสุดถึง 1.4 แสนคน ใครที่เห็นข่าวแบบนี้ทุกวันแล้วไม่อดคิดถึงตัวเองได้ถือว่ามีจิตใจที่แข็งแกร่งมาก แต่สำหรับคนที่คิดไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ที่จะคิดในแง่ลบไปบ้างเพื่อความอยู่รอด แต่การคิดในแง่ลบตลอดเวลาต่างหากที่น่ากลัว คนที่เป็นทุกข์เพราะมักจะหลงอยู่ในความคิดด้านลบ หรืออารมณ์ด้านลบของตัวเองบ่อย ๆ ในทางพุทธเขาว่าเป็นคนที่ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังหลับหรือละเมอ เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหัวเหมือนคนกำลังหลับฝันแต่กายตื่น ซึ่งทำให้เกิดความเครียด นำไปสู่ความรู้สึกแย่ ไม่มีความสุข มูฟออนเป็นวงกลมเพราะสะบัดไล่สิ่งที่อยู่ในหัวออกไปไม่ได้

ถ้าเราต้องการที่จะมีความสุขอย่างน้อย ๆ ก็สบายใจ ปลอดภัยต่อความคิดแง่ลบที่สาเหตุมาจากยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเทคโนโลยี เราต้องทำจิตใจของเราให้ตื่น มีสมดุล เริ่มจากการมีความรู้สึกตัว อยู่แบบไม่ใช่คนหลับใหลหรือคนละเมอ คือต้องตื่นทั้งกายและใจ 

มอร์เฟียส ตัวละครในหนังเรื่อง The Matrix เคยกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า 

“เคยไหมที่ฝันแล้วมันเหมือนจริงจนเราไม่แน่ใจ แล้วถ้าเราไม่สามารถตื่นขึ้นจากฝันนั้น 
เราจะบอกได้ยังไงว่าอันไหนคือโลกในความฝัน อันไหนคือโลกในความจริง”

คนที่เครียดกับสิ่งที่อยู่ในหัวก็ไม่ต่างกับคนที่กำลังนอนหลับแล้วเข้าใจว่าตัวเองกำลังตื่น มีแต่คนที่ตื่นแล้วเท่านั้นที่จะเข้าใจว่าชีวิตที่ผ่านมาคือความฝัน การตื่นรู้คือการเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก จิตที่รู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จิตที่เท่าทันอารมณ์ จิตที่อยู่กับปัจจุบัน เป็นการเปลี่ยนจากจิตสำนึกเก่าไปสู่จิตสำนึกใหม่ เป็นการก้าวข้ามจากโลกเดิมแห่งมายาที่ลวงตาเราอยู่ อย่างความคิดแง่ลบ การคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด หรือคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วแต่กลับไปแก้ไขไม่ได้ Plook Friends จะพาไปสู่โลกใหม่แห่งความเป็นจริงที่แท้ เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเองที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนอกตัวเรา เหมือนเราได้เปิดประตูเดินออกจากห้องที่มืดมิดเพื่อออกไปสัมผัสกับแสงแดด ความโปร่งโล่งเบาสบายทั้งกายและจิตใจ  

วิธีสร้างการตื่นรู้ เรียกคืนสติในโลกยุค Disruption 

การปฏิบัติเหล่านี้แสนง่ายแต่ต้องใช้พลัง ความตั้งใจอย่างสม่ำเสมอที่จะฝึกฝน เพื่อที่จะพัฒนาความคิดในระดับจิตสำนึกให้หัวใจของเราตื่นจากความคิดแง่ลบเพื่อการยอมรับและลงมือแก้ไข

 

การใกล้ชิดธรรมชาติ

ในธรรมชาตินั้นมีพลังงาน การใกล้ชิดกับธรรมชาติย่อมสร้างพลังด้านบวกให้เกิดขึ้นกับคนเรา คนที่ฝึกบ่อย ๆ เมื่อใกล้ชิดธรรมชาติก็ย่อมเข้าถึงสมาธิ มีสติได้ง่าย ในขณะเดียวกันธรรมชาติก็ย่อมแสดงให้คนเราเห็นถึงสัจธรรมความจริงแท้ที่ทำให้เกิดการตื่นรู้ได้เช่นเดียวกัน ธรรมชาติมักจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะทำให้เราเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ใครจะดูสารคดีเกี่ยวกับธรรมชาติหรือโลกแทนก็ได้

 

 

 

การทำงานศิลปะและการทำงานด้วยจิตว่าง 

การทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง เช่น การทำงานศิลปะ ทำสวน ทำงานบ้าน หรือการวิ่งที่ต้องมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า ย่อมทำให้ใจสงบเพราะจิตจะไม่วอกแวก วิ่งไล่ล่าหาอดีต อนาคต ความสุข หรือความคิดในหัวมีเพียงแต่การจดจ่ออยู่กับสภาวะปัจจุบัน ณ ขณะนั้นเท่านั้น การฝึกนี้เองที่จะทำให้เราได้สัมผัสกับโหมดแห่งความสงบนิ่ง ไร้สิ่งรบกวนที่แท้จริง แล้วเมื่อใจเราไม่สงบนิ่งเมื่อไหร่ ครั้งต่อไปเราจะกลับมามีสติได้เร็วขึ้น

 

 

 

การทำงานอาสา การเสียสละ  และการทำงานร่วมกันเป็นชุมชน

การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงสามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงจิตใจภายในตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เกิดสมดุลของการพัฒนาปัญญาทั้งกาย ใจ และความคิด จนเห็นถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งทำให้เกิดความรักในการเรียนรู้ในชีวิตและการสร้างสัมพันธ์ที่ยั่งยืนร่วมกับผู้อื่นในสังคมโดยไม่แบ่งแยก อีกนัยหนึ่งคือทำให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น มีเมตตามากขึ้น จิตใจอ่อนโยนมากขึ้น เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นจนความกังวลบางอย่างลดน้อยลง

 

 

 

การพิจารณาความตาย

การพิจารณาความตายบ้าง หรือการตระหนักถึงความตายที่ย่อมเกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนที่เรารัก ย่อมทำให้คนเกิดการตื่นรู้ได้ว่า ทุกสิ่งเป็นเพียงของชั่วคราว เกิดขึ้นมาแล้วจากไป ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ทนถาวร ให้เรานึกถึงดอกไม้ที่งดงามเบ่งบาน นึกต่อไปอีกว่าดอกไม้ดอกนั้นค่อย ๆ โรยกลีบร่วงหล่นทีละกลีบ ชีวิตของเราก็เหมือนดอกไม้ที่สักวันหนึ่งก็ต้องร่วงโรย เช่นเดียวกันกับอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า ไม่นานเราก็ต้องลาจากโลกนี้ไป ใบหน้าของพ่อแม่ คนรัก เพื่อนฝูงที่เราเคยเห็นทุกวัน เรากำลังจะจากเขาไป ให้คิดซะว่าเราได้ดูแลเขามามากแล้ว เราได้ฝากความทรงจำที่ดีไว้กับคนที่เรารักแล้ว หน้าที่ที่สมควรทำ เราก็ได้ทำมามากพอแล้ว หากคิดได้แบบนี้บ่อย ๆ การพิจารณาความตายยังทำให้เราไม่ประมาทและลงมือทำทุกสิ่งในปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ไปกังวลกับอนาคตที่ยังไม่เกิดมากจนเกินไป

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

• Teen’s Guide ทุกปัญหาของวัยรุ่นมีทางออกเสมอ

• 18 เคล็ดลับที่จะช่วยให้เราบาลานซ์ชีวิตให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน

• เป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักคนตรงหน้าให้มากขึ้นด้วยเทคนิค Deep Listening

• 8 วิธีคลายเครียดแบบเร่งด่วน ทำแล้วหายเครียดทันที !

• เมื่อสิ่งที่คิดไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เราจะรับมือกับความผิดหวังยังไงดี

• 16 อาชีพน่าสนใจ และเป็นที่ต้องการในโลกอนาคต

• 12 Soft Skills สำคัญที่ควรมีติดตัวก่อนเรียนจบ

• วิธีเยียวยาใจตัวเอง เมื่อโดนปฏิเสธบ่อย ๆ

• เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย จะรับมือกับอารมณ์ตัวเองยังไงดี

• Emotional Agility ทักษะการจัดการอารมณ์ให้สมดุลจากนักจิตวิทยา

• ไม่ Productive สักวันก็ไม่เป็นไร ใช้ชีวิตยากไปเดี๋ยวเครียด !

• ทำไมคน Gen Z ถึงไม่มีศาสนามากขึ้น

• วิธีปรับ Mindset ปลุก Passion ปลดล็อคความสามารถเจ๋ง ๆ ในตัวเอง

• 3 วิธี ‘ฝึกสมาธิ’ เรียกคืนสติในทุกสถานการณ์

• คำถามจิตวิทยา 10 ข้อ ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่

 

แหล่งข้อมูล

หัวใจตื่นรู้. ธรากร กมลเปรมปิยะกุลและณฐันภ ตระกลธนภาส. กรุงเทพฯ: SOOK Publishing ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). 2562